บทที่ 342 เล่นใหญ่จัดหนัก

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 342 เล่นใหญ่จัดหนัก

ความรู้สึกของทุกคนเหมือนขึ้นรถไฟเหาะตีลังกา ความเป็นตายของชีวิตขึ้น ๆ ลง ๆ จากการนึกสนุกของฉู่ชวิ๋น

บางคนแอบติดต่อกันและบอกว่า “เห็นไหม คิดอยู่แล้วเชียวว่าจอมมารฉู่ยังไม่ตายจริง ๆ โชคดีนะที่พวกเราไม่ได้พูดอะไรออกไป”

“นั่นน่ะสิ เจ้าเล่ห์เหลือเกิน”

แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่ปากกล้าอยู่เช่นกัน คนกลุ่มนั้นท้าทายด้วยการบอกว่าฉู่ชวิ๋นอีกไม่นานก็ต้องตาย และพวกเขาหวังว่าฉู่ชวิ๋นจะไม่ได้กลับมาตายในแผ่นดินเกิด

ความจริงแล้วคนกลุ่มนี้เป็นอดีตสมาชิกของสำนักปีศาจ สำนักดาบพิฆาต และปราสาทเทียนหลง ที่เคยมีอดีตบาดหมางกับฉู่ชวิ๋นมาก่อนนั่นเอง

นายกรัฐมนตรีของเวียดนามนั่งไม่ติดอีกต่อไป เขาทั้งหวาดกลัวฉู่ชวิ๋นและโกรธแค้นในเวลาเดียวกัน ไฟแค้นนั้นสะสมอยู่ในจิตใจของท่านนายกรัฐมนตรีเพิ่มขึ้นในทุก ๆ วัน

แต่พวกเขาไม่มีทางต่อสู้ได้เลย เวียดนามทำได้แต่เพียงขอความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาเท่านั้น

สหรัฐอเมริกาเดินหน้าออกประกาศต่อสาธารณชนว่า “ฉู่ชวิ๋นละเมิดสิทธิมนุษยชน ทุกคนบนโลกนี้มีสิทธิ์เท่าเทียมกันหมด ในเมื่อเวียดนามร้องขอความช่วยเหลือจากเรา อเมริกาก็จะช่วยเวียดนามกำจัดจอมมารฉู่คนนี้เอง!”

ไม่มีใครทราบเลยว่ารัฐบาลของอเมริกาให้ผลตอบแทนอะไรกับวิหารดวงตะวัน สหพันธ์ศาสตร์มืด และสำนักอื่น ๆ จากยุโรปเอาไว้บ้าง

แต่ทุกสำนักเหล่านั้นก็ทยอยส่งคนไปที่เวียดนาม โดยให้เหตุผลว่าพวกเขาทนต่อความอยุติธรรมไม่ไหว พวกเขาอยากจะปกป้องผู้บริสุทธิ์และฆ่าฉู่ชวิ๋นให้ตายไปซะ

แม้แต่วาติกันก็ยังส่งนักสู้มาเพื่อช่วยเหลือเวียดนาม เช่นเดียวกับสมาชิกจากกลุ่มประเทศยุโรปที่ก็เคลื่อนไหวเช่นกัน

ในที่สุด ฉู่ชวิ๋นก็มาโพสต์ทิ้งไว้ในอินเทอร์เน็ตด้วยข้อความประโยคเดียวที่แสนร้ายกาจว่า “ถ้าไม่เสียดายชีวิตแล้วก็มา!”

ถ้อยคำเหล่านี้ทำให้บรรดาจอมยุทธ์จีนเลือดลมสูบฉีด พวกเขาโห่ร้องสรรเสริญฉู่ชวิ๋นเป็นวีรบุรุษ

สวนทางกับนักสู้ยุโรปที่พิมพ์ข้อความตอบกลับด้วยความดุเดือด บอกว่าฉู่ชวิ๋นโหดเหี้ยมเกินไป ไม่ช้าก็เร็ว ฉู่ชวิ๋นจะต้องถูกสังหารอย่างแน่นอน

แต่อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากนั้น รูปถ่ายรูปหนึ่งก็ถูกโพสต์ลงในโลกออนไลน์

ในรูปภาพนั้น ฉู่ชวิ๋นกำลังย่างบาร์บีคิว เนื้อไก่และน่องไก่เสียบไม้กำลังส่งควันหอมฉุยอยู่บนเตาย่าง มันคงไม่มีอะไรถ้าจะไม่มีคนตาดีพบว่าสถานที่ที่ชายหนุ่มกำลังนั่งปิ้งบาร์บีคิวอยู่นี้ มันคือดาดฟ้าของตึกทำเนียบรัฐบาลเวียดนาม

เมื่อนายกรัฐมนตรีเวียดนามเห็นภาพนี้ เขาก็เป็นลมน้ำลายฟูมปากไปทันที บรรดาผู้ติดตามต้องคอยปฐมพยาบาลกันยกใหญ่

เมื่อส่งทหารขึ้นไปตรวจสอบบนดาดฟ้า พวกเขาก็พบเจอเพียงแต่ขนไก่กองใหญ่กับรอยของเตาย่างบาร์บีคิวเท่านั้น

“ฮ่าๆ นายท่านฉู่ชวิ๋นร้ายกาจเหลือเกิน นี่เป็นการบอกให้พวกเวียดนามรู้ว่าการฆ่าพวกมันง่ายยิ่งกว่าฆ่าไก่เสียอีก”

“ปิ้งบาร์บีคิวบนดาดฟ้าของตึกทำเนียบรัฐบาล ช่างเลือกสถานที่ได้ไม่เหมือนใครยิ่งนัก นับว่านายท่านฉู่ชวิ๋นมีรสนิยมล้ำเลิศจริงๆ”

“ฉันหวังว่าคราวหน้านายท่านฉู่ชวิ๋นคงชวนนายกของเวียดนามมานั่งกินบาร์บีคิวด้วยนะ แล้วก็ให้เจ้าชายกับเจ้าหญิงมาคอยรินน้ำเสริฟน้ำชา”

กลุ่มจอมยุทธ์ชาวจีนแสดงความคิดเห็นด้วยความลิงโลด

รูปถ่ายรูปนี้ทำให้ฉู่ชวิ๋นตบหน้าบรรดานักสู้ยุโรปได้อย่างจัง

ฝ่ายนักสู้ยุโรปรู้สึกเสียหน้า เพิ่งจะพิมพ์ข้อความโต้ตอบกลับไป รูปถ่ายใบนี้ก็ถูกโพสต์ในโลกออนไลน์ ช่างน่าหงุดหงิดเหลือเกิน

ในเวลาเพียงไม่กี่วัน เวียดนามก็ถูกฉู่ชวิ๋นก่อกวนจนวุ่นวายไปทั้งประเทศ

กลุ่มนักสู้จากยุโรปรีบเร่งเดินทางและมาถึงเวียดนามแล้ว

ทางด้านฝั่งของเวียดนาม นายกรัฐมนตรีภายใต้การคุ้มกันของกองทหารอย่างแน่นหนา ก็ได้ออกมาประกาศว่า “นี่คือจุดสิ้นสุดของจอมมารฉู่ชวิ๋น เมื่อกลุ่มนักสู้ยุโรปมาถึงแล้ว ฉู่ชวิ๋นจะมีชีวิตรอดอยู่ได้อีกเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น!”

แต่ผลที่ได้ก็คือ ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะพูดจบ แส้เส้นหนึ่งก็พุ่งออกมาฟาดหน้าเขาจากทิศทางใดไม่ทราบ เลือดสาดกระจายเป็นสาย ริมฝีปากแตก ใบหน้าของท่านนายกบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด

นักสู้จากยุโรปมากันแล้ว

ขณะนี้ วิหารดวงตะวันซึ่งเป็นเจ้าลัทธิแสงอาทิตย์ได้ส่งรองหัวหน้าใหญ่มาควบคุมงานด้วยตัวเอง เขาคือคนที่มีอำนาจระดับสูง เป็นเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถควบคุมพลังแสงอาทิตย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังเป็นคนที่มีความสามารถรอบด้านอีกด้วย

แล้วสหพันธ์ศาสตร์มืดจะน้อยหน้าได้ยังไง? ครั้งนี้ พวกเขาได้ส่งผู้อาวุโสมา 2 คน ประกอบด้วยแอตกินส์ ผู้อาวุโสลำดับที่ 8 กับ อาบู โซเรน ผู้อาวุโสลำดับที่ 9 ชายชราทั้งสองคนนี้ หนึ่งถนัดบู๊ หนึ่งถนัดบุ๋น มีพลังเทียบเท่าจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 8

ยังมีอีกหลายสำนักที่ส่งนักสู้ของตัวเองมาจำนวนมาก

โดยเฉพาะอัศวินโต๊ะกลม ที่ดูจะโกรธแค้นมากเป็นพิเศษ

ทางด้านของวาติกัน สมเด็จพระสันตะปาปาได้ส่งบุตรบุญธรรมของตนเองมาสองคน ทั้งคู่ต่างก็เป็นนักสู้ยอดฝีมือ

ทุกฝ่ายต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือการฆ่าฉู่ชวิ๋น นับเป็นการร่วมมือที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“ฉู่ชวิ๋น จงออกมายอมรับความตายซะดีๆ” อาบู โซเรน ผู้อาวุโสลำดับที่ 9 ของสหพันธ์ศาสตร์มืดประกาศผ่านข้อความด้วยความแข็งกร้าว

กลุ่มคนจากยุโรปเหล่านี้จะมีที่พักแตกต่างกันไป พวกเขาไม่เคยรวมกลุ่มอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว รัฐบาลเวียดนามจึงมีหน้าที่คอยจัดหาที่พักให้กับทุกฝ่าย

รัฐบาลและสำนักจอมยุทธ์ทั่วโลก ต่างก็เฝ้าติดตามการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยความตื่นเต้น

รองหัวหน้าวิหารดวงตะวันมีนามว่าแองกัส เป็นชายผิวขาวหน้าตาหล่อเหลา มีผมสีบลอนด์ มีราศีแผ่ออกมาจากร่างกายตลอดเวลา เขาประกาศออกมา “เรามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อมาฆ่าฉู่ชวิ๋น ในฐานะตัวแทนของวิหารดวงตะวัน เราจะมอบความเป็นธรรมให้กับฉู่ชวิ๋น เรายินดีให้เขาวางดาบที่ฆ่าคน และหันหน้ามาซาบซึ้งไปกับความศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์”

แต่กลุ่มจอมยุทธ์ชาวจีนกลับหัวเราะเยาะให้กับข้อความนี้ ทุกคนต่างบอกว่าแองกัสควรพูดแบบนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าฉู่ชวิ๋น แล้วมาดูกันเถอะว่า ฉู่ชวิ๋นจะจัดการกับใบหน้าหล่อเหลาของเขายังไงบ้าง

บุตรชายบุญธรรมทั้งสองคนของสมเด็จพระสันตะปาปาแห่งวาติกัน ประกาศสงครามโดยตรงด้วยความดุร้าย “ถ้าจอมมารฉู่ชวิ๋นกล้าออกมาปรากฏตัว พวกฉันนี่แหละที่จะกำจัดปีศาจร้ายและผดุงความยุติธรรมในนามขององค์สมเด็จพระสันตะปาปา”

อัศวินโต๊ะกลมไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ฉู่ชวิ๋นฆ่าเคร็บส์ พวกเขาเพียงแต่กล่าวย้ำว่าฉู่ชวิ๋นจะต้องชดใช้สิ่งที่ทำไปด้วยชีวิต

แต่ผ่านไป 3 วันแล้ว ไม่มีใครได้ข่าวคราวจากฉู่ชวิ๋น ชายหนุ่มหายตัวไป

กลุ่มนักสู้ยุโรปเริ่มหัวเราะเยาะเขาอีกครั้ง โดยบอกว่าฉู่ชวิ๋นหวาดกลัวจนไม่กล้าเสนอหน้าออกมาแล้ว ฉู่ชวิ๋นหวาดกลัวจนหัวหด

บางคนถึงกับใช้ถ้อยคำที่รุนแรงมากกว่านั้น แม้แต่ญาติพี่น้องหรือเพื่อนสนิทของฉู่ชวิ๋นก็ถูกลากมาก่นด่าด้วย

ปกติจอมยุทธ์ชาวจีนจะไม่ปล่อยให้ใครมาดูถูกฉู่ชวิ๋นอยู่แล้ว พวกเขารวมตัวกันออกมาโจมตีผู้โพสต์ข้อความเหล่านั้น และเกิดเป็นสงครามน้ำลายอยู่ในโลกออนไลน์

แต่ในเย็นวันที่ 4 นั้นเอง

เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นในภูเขาลูกหนึ่งทางฝั่งยุโรป เปลวไฟลุกโชติช่วง แรงระเบิดก่อให้เกิดคลื่นแรงสั่นสะเทือนที่รู้สึกได้ไกลถึงหลายกิโลเมตร

ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วอินเทอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่กำลังเป็นกระแสอยู่นั้น ภาพถ่ายจากที่เกิดเหตุก็ถูกโพสต์ตามมา

เมื่อบางคนได้วิเคราะห์สถานที่เกิดเหตุระเบิด ก็มีเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บใจดังกังวานขึ้น

โลกสั่นสะเทือนด้วยเสียงร่ำร้องของสหพันธ์ศาสตร์มืด

เนื่องจากสถานที่ที่เกิดเหตุระเบิด เป็นที่ตั้งสาขาหนึ่งของสหพันธ์ศาสตร์มืด

สาขาของสหพันธ์ศาสตร์มืดถูกวางระเบิด? ใครเป็นคนทำ?

ยิ่งไปกว่านั้น ต้องใช้ระเบิดมากมายขนาดไหน ถึงจะทำให้เกิดแรงระเบิดมหาศาลขนาดนี้ได้?

เมื่อมีการวิเคราะห์ดูให้ดี ก็ปรากฏว่าระเบิดเหล่านั้นเป็นของสหพันธ์ศาสตร์มืดเอง มันเป็นระเบิดที่รวบรวมมาจากการเก็บไว้ในทุกแผนกขององค์กรแห่งความมืดแห่งนั้น

ในขณะที่ทุกคนกำลังสืบสวนหาตัวมือระเบิด ฉู่ชวิ๋นก็ออกมาประกาศตัวว่า

“ฉันยินดีประกาศให้ทุกคนทราบว่า การระเบิดครั้งนี้คือฝีมือของฉันเอง หวังว่าพวกแกจะซาบซึ้งไปกับความศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์นะ”

นี่มันมากเกินไปแล้ว! เรื่องตลกร้ายนี้ทำให้ทุกคนแทบคลั่งตาย

ก่อนหน้านี้ รองหัวหน้าวิหารดวงตะวันแองกัส ได้ประกาศขอให้ฉู่ชวิ๋นวางอาวุธและหันหน้าเข้าสู่ความศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์

ฉู่ชวิ๋นกลับเดินทางไปโจมตีที่สาขาหนึ่งของสหพันธ์ศาสตร์มืด และใช้การโจมตีของเขาเป็นการตอบโต้วิหารดวงตะวันไปพร้อมกัน

สองผู้อาวุโสของสหพันธ์ศาสตร์มืดแทบจะบ้าตาย มีใครไม่รู้บ้างว่าวิหารดวงตะวันกับสหพันธ์ศาสตร์มืดเป็นคู่แข่งกันโดยตรง? นี่เท่ากับฉู่ชวิ๋นลากพวกเขามาตบหน้ากลางสี่แยกชัดๆ

ในคฤหาสน์ที่หรูหราแห่งหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาของแองกัสกำลังเต้นระริก จอโทรทัศน์แอลซีดีที่อยู่ตรงหน้า ถูกทุบทำลายแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

“เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ได้โปรดให้อภัยพวกมดแมลงที่ลบหลู่แสงสว่างของท่านด้วยเถิด”

หลังจากนั้น แองกัสก็ระเบิดเสียงหัวเราะ การที่สาขาหนึ่งของสหพันธ์ศาสตร์มืดถูกวางระเบิดแบบนี้ เป็นเรื่องที่ควรค่าต่อการจิบไวน์ฉลองอยู่ไม่น้อย

ทุกคนที่เดินทางมายังเวียดนามต่างก็แสดงความไม่พอใจต่อฉู่ชวิ๋น กล่าวหาว่าเขาเป็นหมาลอบกัด ทำตัวเป็นโจรป่า ชี้ขลาดเป็นเต่าหดหัว

นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาอุตส่าห์ดั้นด้นเดินทางมาตั้งไกล แต่ฉู่ชวิ๋นกลับเดินทางย้อนไประเบิดฐานของพวกเขาถึงยุโรป

นี่คือเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดจริงๆ

ประธานใหญ่ของสหพันธ์ศาสตร์มืดได้รับทราบเรื่องนี้ และถึงกับล้มโต๊ะกลางวงประชุม สุดท้ายคฤหาสน์ทั้งหลังก็ต้องพังทลายไปเพื่อรองรับกับอารมณ์เดือดดาลของเขา

ประธานใหญ่โกรธจัด ออกคำสั่งให้ผู้อาวุโสลำดับที่ 6 และผู้อาวุโสลำดับที่ 7 ตรงไปยังจุดเกิดเหตุ หมายฆ่าฉู่ชวิ๋นให้จงได้

บรรดาผู้ที่สนิทสนมกับฉู่ชวิ๋นตกตะลึงไปไม่น้อย ชายหนุ่มแกล้งทำเป็นหวาดกลัวความตาย เมื่อเผชิญกับนักสู้จากยุโรป

แต่แท้จริงแล้วนั่นเป็นการล่อเสือออกจากถ้ำ ในขณะที่บรรดานักสู้จากยุโรปพุ่งความสนใจมาที่เวียดนาม เขาก็เดินทางย้อนไปที่ยุโรปและจัดการทำลายล้างสาขาหนึ่งของสหพันธ์ศาสตร์มืดเสียสิ้นซาก

แม้แต่จักรพรรดิอ๋าวฮวงตอนที่ได้รับทราบข่าวนี้ ก็ถึงกับหัวเราะในลำคอ และพูดพร้อมกับยิ้มว่า “ไอ้หนู เริ่มมีลูกเล่นใหม่ ๆ แล้วเหรอ ดีมาก ๆ”

หัวหน้าหมายเลข 1 ถือหนังสือพิมพ์แล้วหัวเราะอย่างมีความสุข เดี๋ยวนี้เขาเองก็ได้เป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ์แล้ว ร่างกายจึงคึกคักกระปรี้กระเปร่า “เจ้าหนุ่มคนนี้ ฉันชอบจริงๆ”

ในกระท่อมน้อยที่เมืองชายแดน หยานหวูซวงอ่านข่าวบนอินเทอร์เน็ตก็งุนงงไม่น้อย เป็นเวลาอึดใจใหญ่กว่าที่เขาจะพึมพำออกมาได้ว่า “ไอ้จอมมารเอ๊ย! เจ้าเล่ห์แสนกล เชื่อใจไม่ได้จริงๆ”

แต่ถางโร้วอดพูดออกมาด้วยความชื่นชมไม่ได้ว่า “พี่ฉู่ชวิ๋นเก่งมาก”

อี้เสี่ยวซูและพวกตกตะลึงพูดไม่ออก หัวใจของพวกเขาแทบหยุดเต้นไปแล้วด้วยซ้ำ เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีแค่เพียงฉู่ชวิ๋นคนเดียวเท่านั้นถึงจะทำได้

ในขณะนี้ ฉู่ชวิ๋นกำลังใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เขาอยู่ในภูเขาที่เขียวขจี ห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ชายหนุ่มจับเป็ดป่าตัวใหญ่มาย่างกินพร้อมด้วยปิ้งปลาที่ตกขึ้นมาได้จากในแม่น้ำ

เป็ดย่างมีผิวหนังเหลืองกรอบดูน่ารับประทาน เช่นเดียวกับปลาย่างตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอาหารคู่กัน

หลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็โพสต์รูปภาพอาหารทั้งสองจานนี้ลงบนอินเทอร์เน็ต พร้อมกับแคปชั่นว่า “อร่อยที่สุด แต่หาไวน์ดื่มไม่ได้ ช่างน่าเสียดาย!”

เป็นอีกครั้งที่โลกอินเทอร์เน็ตลุกเป็นไฟ รูปภาพนี้ถูกส่งต่อกันไปหลายล้านคนในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที

เกือบจะทุกสำนักในยุโรปโกรธแค้นฉู่ชวิ๋น ต่อว่าเขาว่าทำตัวไร้ยางอาย

โดยเฉพาะสหพันธ์ศาสตร์มืดที่สั่นสะเทือนไปทั้งองค์กร

พวกเขาส่งคนออกไปตามล่าฉู่ชวิ๋น แต่ชายหนุ่มกลับปิ้งบาร์บีคิวสบายใจเฉิบอยู่ท่ามกลางภูเขาและแม่น้ำ บ่นเสียดายที่ไม่มีไวน์ให้ดื่มกิน

ในขณะที่จอมยุทธ์ชาวจีนพร้อมใจกันเชิดชูกลยุทธ์ของฉู่ชวิ๋น

“นายท่านฉู่ชวิ๋น ไอดอลของผม ผมมีไวน์ดี ๆ ติดบ้านอยู่บ้าง ถ้าคุณมีเวลา เรามาดื่มด้วยกันดีไหม?”

“นายท่านฉู่ชวิ๋น ครั้งต่อไปที่คุณทำลายสาขาของพวกมัน อย่าลืมพกหม้อปรุงน้ำซุปไปด้วยนะครับ เตรียมเครื่องปรุงรสจัดจ้านไปด้วย และห้ามลืมพกไวน์ติดตัวไปเด็ดขาด”

ข้อความเหล่านี้ได้รับการตอบกลับจากฉู่ชวิ๋นว่า ถึงชาวจีนที่น่ารักทุกคน กล่าวขานกันไว้ไม่มีผิดว่าเมืองจีนไม่เคยขาดผู้มีพรสวรรค์ ไม่เคยขาดแคลนอาหารและผู้ที่มีความเข้าใจต่อการดำรงชีวิตจริง ๆ

ชาวจีนกำลังปลื้มปิติยินดี แต่ชาวยุโรปกำลังโกรธแค้นถึงขีดสุด

“ฉู่ชวิ๋น ฉันขอสาบานว่าต้องหั่นศพแกเอามาให้หมากินให้ได้”

“ฉู่ชวิ๋น แกมันเป็นปีศาจร้าย คอยดูเถอะ ฉันไม่ปล่อยแกไปแน่”

สองผู้อาวุโสจากสหพันธ์ศาสตร์มืดที่มาประจำการอยู่ในเวียดนาม แทบจะกระอักเลือดด้วยความช้ำใจตายแล้ว

ฉู่ชวิ๋นตอบกลับอย่างนุ่มนวลว่า “รออยู่ที่นั่นแหละ เดี๋ยวฉันจะกลับไปเด็ดหัวพวกแกเอง”

“ได้เลย พวกเราจะรอแกอยู่ที่เวียดนาม!”

ณ ฐานบัญชาการใหญ่ของสหพันธ์ศาสตร์มืด หลายคนกำลังวิเคราะห์ถึงตำแหน่งที่อยู่ของฉู่ชวิ๋น ในไม่ช้า พวกเขาก็ทราบว่าฉู่ชวิ๋นถ่ายภาพมาจากที่ไหน

ผู้อาวุโสลำดับที่ 6 และลำดับที่ 7 ของสหพันธ์ศาสตร์มืด พร้อมด้วยลูกสมุน รีบรุดเดินทางไปยังที่นั่นทันที

ฉู่ชวิ๋นกินดื่มจนอิ่มหนำแล้ว ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของเขาก็สั่นครืดคราด นี่คือข้อความจากหัวหน้าหมายเลข 1 เขาส่งรูปภาพที่มีวงกลมสีแดงระบุถึงตำแหน่งของอะไรบางอย่างเอาไว้ชัดเจน

แถมด้วยข้อความอีกหนึ่งประโยคว่า “ระวังตัวด้วย!”

ฉู่ชวิ๋นจดจำแผนที่เอาไว้จนขึ้นใจ ก่อนที่จะกดลบรูปภาพ และไม่มีใครหาตัวเขาเจออีก

หลังจากนั้น คนของสหพันธ์ศาสตร์มืดก็เดินทางมาถึงและพบว่าฉู่ชวิ๋นทิ้งเตาย่างบาร์บีคิว กระดูกเป็ดกับก้างปลาเอาไว้ให้พวกเขาดูต่างหน้าเท่านั้น

แต่ก็ยังมีตัวอักษรจีนถูกเขียนเอาไว้บนพื้นดิน

เนื่องจากทุกคนเป็นชาวยุโรป ไม่คุ้นเคยกับตัวอักษรจีน จึงยากต่อการอ่านออก พวกเขาไม่รู้ว่ามันมีความหมายว่าอะไร สุดท้ายก็ต้องถ่ายรูปส่งไปให้คนในฐานบัญชาการแปลความหมาย

เป็นอย่างที่คิด ประธานใหญ่ของสหพันธ์ศาสตร์มืดคำรามสวนกลับมาด้วยความเดือดดาล

ผู้อาวุโสทั้งสองคนเกือบจะบ้าตายแล้ว พวกเขายิงพลังใส่เตาย่างบาร์บีคิว พื้นดินระเบิดตูมตามกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่