ตอนที่ 160 ปราสาทใต้พิภพ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ทุกคนจ้องมองไปยังจุดที่มังกรเหมันต์ถูกฝังกลบอยู่โดยไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา

ภาพที่มังกรเหมันต์กำลังรวบรวมพลังไว้ในก้อนแสงขนาดใหญ่ทว่ายังไม่ทันได้ปล่อยออกมาก็ถูกหิมะฝังร่างไปเสียก่อน ช่างเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนแทบจะหยุดหายใจ

อย่างไรก็ตาม เพียงไม่นานนักเสียงดังสนั่นก็ดังขึ้นใต้กองหิมะหนา พริบตาต่อมาพื้นหิมะใหม่ของที่ราบระหว่างหุบเขาก็ระเบิดออก มังกรเหมันต์ที่ถูกหิมะถล่มลงมาทับร่างระเบิดพลังของมันออกมา หิมะจำนวนมหาศาลสาดกระจายไปทุกทิศทาง

ช่างเป็นพลังที่มหาศาลยิ่งนัก เหล่านักเรียนสัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวที่อาจจะมากกว่าเดิมของมังกรเหมันต์ แรงปะทะพัดเอาหิมะบางส่วนพุ่งเข้ามากระทบร่างของพวกเขา ความรุนแรงของมันมากเสียจนทำให้หลายคนกระเด็นออกไปไกล

— แคร็ก ! —

— ครืน~  —

เสียงคล้ายบางอย่างปริแตกและพื้นดินถล่มดังขึ้นมาติด ๆ กัน ก่อนที่ทุกคนจะมองเห็นว่าแผ่นน้ำแข็งและหิมะบนพื้น ณ บริเวณที่ไม่ไกลจากจุดที่มังกรเหมันต์อยู่เกิดการพังทลายลง

ในตอนนั้นเอง ลำแสงเรืองรองก็สาดส่องออกมาจากใต้พื้นหิมะที่พังถล่มนั้น เพียงพริบตาทั่วบริเวณหุบเขาก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างเจิดจ้าจนเหล่ามนุษย์ทั้งหลายยากจะลืมตามองได้

ในตอนที่แสงเริ่มจางหายไป คนทั้งหมดก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พวกเขามองลงไปยังพื้นเบื้องล่างด้วยความใคร่รู้ และสิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็เป็นสิ่งที่พวกเขายากจะลืมเลือน

บัดนี้ฉากอันงดงามตระการตากำลังสะกดหัวใจของเหล่านักเรียนทั้งหลาย

มันคือปราสาทขนาดใหญ่ที่งดงามอย่างไร้สิ่งเปรียบเทียบ ตัวปราสาทสร้างขึ้นจากน้ำแข็งทั้งหมด ภายใต้แสงอาทิตย์รำไรแห่งแดนเหมันต์ ผิวสะท้อนของน้ำแข็งแวววาวกำลังเปล่งประกายระยิบระยับชวนหลงใหล และด้วยรัศมีอันเจิดจรัสราวกับสามารถส่องแสงออกมาได้เองนั้น ปราสาทหลังนี้จึงดูคล้ายอัญมณีน้ำดีขนาดมโหฬารที่วางเด่นอยู่ใต้พื้นพิภพ

แม้ว่าปราสาทใหญ่ดังกล่าวจะสร้างขึ้นจากน้ำแข็งและใสดุจแก้ว ทว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่กลับไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในได้เลย มีเพียงตัวปราสาทด้านนอกเท่านั้นที่มองเห็นได้ นับว่าปราสาทหลังนี้เป็นสถาปัตยกรรมล้ำค่าที่ถูกสร้างด้วยความประณีตบรรจงอย่างแท้จริง

“โอ้ สวรรค์ เป็นปราสาทที่งดงามยิ่งนัก !”

ใครบางคนประหลาดใจในความวิจิตรงดงามของมันจนอดอุทานออกมาไม่ได้

สตรีที่มีความทรงจำของโลกสองใบอย่างฉินอวี้โม่เองก็ยังนึกทึ่งในความงามตรงหน้าเช่นกัน ผู้ที่สร้างปราสาทอลังการเช่นนี้ไว้กลางป่าเป็นคนอย่างไร และผู้ใดกันที่ยอมปล่อยให้ปราสาทที่สวยงามขนาดนี้จมลึกอยู่ใต้แผ่นน้ำแข็งที่ถูกปิดผนึกด้วยกองหิมะมานานแสนนานจนยากจะประมาณแบบนี้

“นายหญิง นั่นก็คือปราสาทของราชินีเหมันต์ !”

ทันใดนั้นร่างบอบบางของมารยาก็ปรากฏข้างกายของฉินอวี้โม่

ความตื่นเต้น ความยินดี รวมถึงความประหลาดใจฉายชัดอยู่บนใบหน้าของอสูรสาว

ปราสาทเหมันต์หลังนี้สูญหายไปนับพันปีแล้ว ไม่คิดเลยว่ามันจะปรากฏขึ้นมาให้เห็นอีกครั้งในวันนี้ ที่สำคัญมารยาเองก็คิดไม่ถึงว่าปราสาทที่มันเฝ้าตามหามาชั่วชีวิตที่แท้ก็ถูกฝังไว้ใต้พสุธาของป่าเหมันต์นี้เอง

เป็นไปได้ว่าก่อนที่จะเข้าร่วมสู้ศึกใหญ่ในครานั้น ราชินีเหมันต์ได้ซ่อนปราสาทของนางไว้ใต้ดินไม่ให้ผู้ใดพบเจอได้ บางทีราชินีผู้ยิ่งใหญ่อาจมีความต้องการที่ว่า ถ้าหากนางตายไปในสงคราม ปราสาทเหมันต์ก็จะได้สูญหายไปพร้อมกับนาง

ครั้งนี้ หากไม่ใช่เพราะการต่อสู้ดุเดือดรุนแรงระหว่างกองทัพจอมยุทธ์รุ่นเยาว์แห่งโรงเรียนราชสำนักและมังกรเหมันต์ ปราสาทหลังนี้ก็คงไม่มีทางปรากฏให้เห็นได้ หรือไม่ก็อาจจะถูกฝังให้หลับใหลอยู่ใต้ดินไปตลอดกาล เพราะหากดูจากสภาพแวดล้อมของพื้นที่แห่งนี้แล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดคาดเดาได้ว่า ลึกลงไปในพื้นเบื้องล่างมีปราสาทขนาดใหญ่ซ่อนตัวอยู่

“แล้วมังกรเหมันต์เล่า มันไปไหนแล้ว ?”

หลินซิวหยาดึงสติกลับมาได้และคิดถึงสิ่งสำคัญที่พวกเขาต้องจัดการก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อครู่หลังจากมังกรยักษ์ระเบิดหิมะจำนวนมหาศาลให้กระจายออกไป แสงสว่างเจิดจ้าก็สาดส่องไปทั่วจนพวกเขาไม่สามารถลืมตาได้ เมื่อการมองเห็นของทุกคนกลับมาเป็นปกติอีกครั้งอสูรเผ่าพันธุ์มังกรขนาดมหึมาก็หายตัวไปแล้ว

สิ้นเสียงของหลินซิวหยาทุกคนก็ชะงักไป

มังกรขนาดใหญ่เช่นนั้น ไม่มีทางที่มันจะบินหนีขึ้นฟ้าไปในเวลาเพียงชั่วพริบตาโดยที่พวกเขาไม่รับรู้เลยแม้แต่น้อยเช่นนี้ได้เป็นแน่ ข้อสันนิษฐานเดียวที่เป็นไปได้มากที่สุดที่มังกรเหมันต์จะหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคนได้อย่างว่องไวเช่นนี้มีเพียงการหลบลงไปใต้ดินและเข้าไปในปราสาทที่อยู่เบื้องล่างนี้เท่านั้น

“มันต้องเข้าไปข้างในแล้วแน่ รีบไล่ตามไปเถอะ”

นักเรียนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างเร่งร้อน

ในตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องคิดว่าภายในปราสาทมีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ เพราะถ้าหากสมมติฐานว่ามังกรเหมันต์เข้าไปในปราสาทเป็นเรื่องจริง นั่นย่อมแสดงว่าภายในนั้นมีสิ่งที่อสูรผู้ทรงพลังต้องการ อย่างไรก็เห็นได้ชัดว่ามังกรเหมันต์นั้นแข็งแกร่งกว่ากองทัพชั่วคราวของพวกเขามาก การที่อสูรจอมกระหายเลือดที่โกรธจัดถึงเพียงนั้นยอมทิ้งเหยื่ออันโอชะจำนวนนับร้อยเพียงเพราะเกียจคร้านจะสู้ต่อก็ยิ่งไม่มีความเป็นไปได้เลย นี่ชี้ชัดแล้วว่าภายในปราสาทอลังการจะต้องมีสิ่งเลอค่าซ่อนอยู่

“ข้ามั่นใจกว่าแปดส่วนว่าผลเยือกมณีจะซ่อนอยู่ในปราสาทหลังนั้น ทางที่ดีพวกเรารีบตามมันไปดีกว่า”

ลั่วเฉินยอดฝีมืออันดับที่สองแห่งทำเนียบนภากล่าวแสดงความคิดเห็นขึ้น

และวาจานั้นก็ตรงใจคนทั้งหมด จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีกลุ่มใดที่ได้เบาะแสของผลเยือกมณี และจุดที่ยังไม่มีใครสำรวจเลยก็เหลือเพียงปราสาทเหมันต์หลังนี้ ดังนั้นโอกาสที่ผลเยือกมณีจะอยู่ข้างในนั้นจึงมีสูงมาก พยายามมาถึงจุดนี้แล้วเหลือแต่เพียงต้องเดินหน้าต่อจนสุดทางเท่านั้น

“ทุกคน เกาะกลุ่มกันไว้ ใช้ความระมัดระวังให้มาก พวกเราไม่รู้ว่าสถานการณ์ภายในปราสาทเป็นอย่างไร คอยสอดส่องเป็นหูเป็นตาให้กันและกัน ระวังอย่าแยกตัวออกไป อย่าให้ตัวเองตกเป็นเป้านิ่งให้มังกรเหมันต์โจมตีได้ !”

ปิงเสวียนตะโกนดังลั่น แต่เมื่อเห็นหลายกลุ่มที่ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงเตือนของเขาก็กระโดดลงไปใต้ดินเพื่อหาทางเข้าประสาทแล้ว ผู้นำกองทัพชั่วคราวก็รู้ในทันทีว่าคำเตือนของเขาน่าจะไร้ประโยชน์

ในตอนนี้มีกลุ่มหนึ่งไปถึงทางเข้าปราสาทแล้ว

“นั่นทางเข้า !”

เสียงอุทานด้วยความประหลาดดังขึ้นมา ภายในชั่วอึดใจกลุ่มของคนผู้ค้นพบประตูปราสาทก็รีบวิ่งผ่านเข้าไปด้านในโดยไม่ลังเล

“รีบไปกันเถอะ อย่าให้กลุ่มอื่นตัดหน้าไปได้ !”

จีหย่งตะโกนสั่งคนในกลุ่มก่อนที่ร่างของเขาจะหายวับไปอย่างฉับพลัน กลุ่มพันธมิตรจีหย่งทั้งหมดพุ่งตามผู้เป็นหัวหน้าเข้าไปในตัวปราสาทอย่างรวดเร็ว

“ทุกคน พวกข้าขอล่วงหน้าไปก่อนล่ะนะ !”

ลั่วเฉินยิ้มให้ปิงเสวียนและคนอื่น ๆ ก่อนจะพาคนในกลุ่มของเขาเข้าไปข้างในโดยไม่ลังเล

ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเรื่องความร่วมมือกันอีกแล้ว แต่ละกลุ่มต่างก็กลัวว่าจะถูกกลุ่มอื่นตัดหน้าชิงผลเยือกมณีไปจึงพากันเข้าไปในปราสาทอย่างรีบเร่ง

ภายในอึดใจก็เหลือกลุ่มที่ยังไม่เคลื่อนไหวอีกเพียงห้ากลุ่มซึ่งก็คือกลุ่มของฉินอวี้โม่ กลุ่มปิงเสวียน กลุ่มเพ่ยหลง กลุ่มเยว่ชิงเฉิงและกลุ่มของฉีอวี้

ปิงเสวียนส่ายศีรษะพลางถอนหายใจแรง ๆ บุรุษผู้รับหน้าที่ผู้นำชั่วคราวกล่าวอย่างอับจนปัญญา

“คนพวกนั้นทำตัวไม่ต่างจากเด็ก ๆ หวังสมบัติกันจนไม่ห่วงชีวิต ยังไม่รู้อีกรึไงว่าเจ้ามังกรเหมันต์นั่นอันตรายมากแค่ไหน !”

ฉินอวี้โม่เองก็รู้สึกเอือมระอากับพฤติกรรมของสหายร่วมสถาบันอยู่ไม่น้อย เมื่อถูกสมบัติและผลเยือกมณียั่วยวนก็แทบจะลืมเหตุผลและหลักความเป็นจริงทั้งหลายไปเลย

“ฉินอวี้โม่ เพ่ยหลง เยว่ชิงเฉิง ฉีอวี้ ตอนนี้เหลือแค่พวกเราห้ากลุ่มแล้ว ข้าอยากเสนอว่าให้เราทั้งหมดร่วมมือกัน ถ้าหากพบสมบัติเราจะแบ่งกันอย่างเท่าเทียม แบบนี้พวกเจ้าคิดเห็นเช่นไร ?”

เมื่อปัดความหงุดหงิดงุ่นง่านที่เกิดจากการกระทำของเหล่านักเรียนที่ล่วงหน้าไปก่อนออกไปได้แล้ว ปิงเสวียนก็หันมากล่าวเสนอความคิดเห็นกับรุ่นน้องทั้งหลายด้วยรอยยิ้ม

อย่างน้อย ๆ ถ้าพวกเขาห้ากลุ่มร่วมมือกันก็น่าจะเพียงพอรับประกันความปลอดภัยของทุกคนในกลุ่มได้ ถึงแม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับมังกรเหมันต์ ด้วยศักยภาพของทุกคน ปิงเสวียนประเมินแล้วว่าคงจะเอาตัวรอดได้อย่างไม่มีปัญหา

“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับรุ่นพี่ปิงเสวียน”

ฉินอวี้โม่มองคนอื่น ๆ และเมื่อได้เห็นพวกเขาพยักหน้านางก็กล่าวตอบผู้เป็นรุ่นพี่

ในบรรดาทุกคนที่อยู่ตรงนี้ ปิงเสวียนคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด การได้เขาเป็นผู้นำถือเป็นเรื่องดี ยิ่งกว่านั้นภารกิจนี้ปิงเสวียนก็เป็นผู้บัญชามาตั้งแต่ต้น ทุกคนเชื่อมั่นและยินดีทำตามคำสั่งการของเขา

สิ่งที่ปิงเสวียนเสนอมานับว่าดีที่สุดแล้ว หากร่วมมือกันทั้งหมดห้ากลุ่มก็จะมียอดฝีมือขอบเขตมายาบรรพชนดาราสูงจำนวนหลายคน ต่อให้ต้องรับมือกับมังกรเหมันต์โดยตรงพวกเขาก็น่าจะปลอดภัยและหนีเอาตัวรอดได้

เมื่อตกลงกันได้ สมาชิกกลุ่มใหม่ทั้งยี่สิบห้าคนก็เคลื่อนพล พวกเขาค่อย ๆ มุ่งหน้าเข้าไปในปราสาทเหมันต์อย่างระมัดระวัง

โครงสร้างของปราสาทน้ำแข็งหลังนี้ประกอบไปด้วยหอคอยสูงหลายแห่ง หอคอยตรงกลางขนาดใหญ่ที่สุดและหอขนาดเท่ากันทั้งสี่ทิศ รวมไปถึงห้องโถงขนาดยักษ์และพื้นที่ใช้สอยอื่น ๆ อีกมากมาย ฉินอวี้โม่ผู้มาจากศตวรรษที่ 21 อดคิดไม่ได้ว่ามันช่างเหมือนปราสาทของเจ้าหญิงเจ้าชายในการ์ตูนฝั่งยุโรปค่ายดังที่*‘เธอ’*เคยเห็นผ่านจอโทรทัศน์ไม่ผิดเพี้ยน

ในที่สุดคณะเดินทางก็มาถึงยังตัวปราสาท

ทันทีที่เข้ามาถึงพื้นที่ด้านใน ทุกคนต่างก็ต้องตกตะลึง

ในตอนแรกที่อยู่ข้างนอก ฉินอวี้โม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นอยู่บ้าง ซึ่งนั่นก็เป็นปกติวิสัยของดินแดนเหมันต์ ทว่าหลังจากก้าวเข้ามาภายในตัวปราสาทแล้ว ความเหน็บหนาวที่เคยรู้สึกกลับหายไปจนหมดสิ้น และการที่จู่ ๆ ความเย็นจัดชวนสั่นสะท้านที่เผชิญมาตลอดเวลาเกือบหนึ่งเดือนก็หายไปในฉับพลันเช่นนี้ มันก็ทำให้พวกนางรู้สึกราวกับว่าภายในนี้ออกจะร้อนเกินไปเลยด้วยซ้ำ

“ประสาทเหมันต์แปลกประหลาดยิ่งนัก ตัวประสาทก็สร้างมาจากน้ำแข็ง ปกติแล้วมันควรจะหนาวเย็น ทว่าพอเข้ามาแล้วกลับรู้สึกอุ่นกว่าข้างนอกเสียอีก”

เหย่าเซียนเอ๋อร์อดอุทานออกมาไม่ได้ อันที่จริงนางรู้สึกได้ถึงความอุ่นสบายตั้งแต่ยังเดินอยู่ในทางเดินด้านนอกแล้ว อาณาเขตของปราสาทน้ำแข็งที่ดูอบอุ่นแสนสบาย ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกอัศจรรย์

ก่อนหน้าที่ระหว่างที่เดินอยู่นอกตัวปราสาททุกคนตกลงกันว่าจะเดินมุ่งหน้าสู่ใจกลางปราสาทเพราะเมื่อมองจากระยะไกล ณ จุดนั้นเป็นที่ตั้งของหอคอยหลักที่มีขนาดและความสูงมากที่สุด อีกทั้งยังดูโดดเด่นที่สุดในหมู่หอคอยทั้งหมด ดังนั้นหลังจากเข้ามายังด้านในแล้วพวกเขาก็เลือกเดินไปในเส้นทางหนึ่งที่คิดว่าน่าจะมุ่งตรงเข้าไปสู่ใจกลางปราสาท

และด้วยความใหญ่โตของปราสาทเหมันต์หลังนี้ คนทั้งห้ากลุ่มจึงบอกไม่ได้เลยว่าเส้นทางที่จะพาพวกเขาไปให้ถึงยังจุดหมายที่ต้องการได้เร็วที่สุดคือทางใด พวกเขาทั้งหมดจึงทำได้เพียงเดินไปตามสัญชาตญาณ

“นายหญิง เมื่อถึงทางแยกด้านหน้าให้เลี้ยวซ้าย หลังจากนั้นตรงไปอีกไม่นานก็น่าจะเจอสมบัติ”

มารยาเข้ามากระซิบข้างหูฉินอวี้โม่ แน่นอนว่าน้ำเสียงของมันไม่อาจจะปิดบังความตื่นเต้นได้เลย

ฉินอวี้โม่พยักหน้าดูเหมือนว่าพวกนางจะมาถูกทางแล้ว

“รุ่นพี่ปิงเสวียนแยกหน้าทางด้านซ้าย ข้าสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ลึกลับจากทิศทางนั้น บางทีหอคอยหลักของปราสาทอาจจะอยู่ตรงนั้นก็ได้”

ฉินอวี้โม่ร้องบอกปิงเสวียนเสียงไม่ดังไม่เบา แน่นอนว่านางต้องการให้คนอื่น ๆ ที่เหลือในกลุ่มได้ยินด้วย คุณหนูตระกูลฉินให้เหตุผลออกมาโดยหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงมารยา

ปิงเสวียนพยักหน้า คนอื่นเองก็พยักหน้าเช่นกัน

“เช่นนั้นรุ่นน้องอวี้โม่ก็ช่วยนำทางพวกเราด้วย อย่างไรข้าก็ไม่รู้จักปราสาทเหมันต์นี่เลย ข้าเองก็ไม่รู้ว่าควรจะไปทางไหน”

ฉินอวี้โม่ไม่ได้ปฏิเสธ นางออกเดินนำหน้าพาทุกคนไปตามทางที่มารยาบอก

ยิ่งเดินลึกเข้ามาเรื่อย ๆ คนทั้งหมดก็ยิ่งพบว่าปราสาทแห่งนี้แปลกประหลาดอย่างเหลือเชื่อ น้ำแข็งที่ใช้สร้างเป็นตัวปราสาทนั้นใสอย่างเห็นได้ชัดก็จริง แต่ทว่าทุกคนกลับสามารถมองเห็นเงาของตัวเองที่สะท้อนมาจากผนังโดยรอบได้อย่างชัดเจนราวกับว่าผนังเหล่านั้นมิใช่น้ำแข็งแต่เป็นกระจกเงาก็มิปาน

หลังจากเดินต่อไปอีกไม่นานนัก คณะเดินทางก็พบกับห้องโถงไม่เล็กไม่ใหญ่แต่กลับงดงามมากปรากฏอยู่เบื้องหน้า ทุกคนหันไปมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าแล้วก้าวเข้าไปด้านใน

ห้องโถงแห่งนี้มีพื้นที่ภายในที่เกือบจะว่างเปล่า หากไม่นับกล่องขนาดเล็กที่วางอยู่ตรงกลางแล้วก็ไม่มีสิ่งใดอื่นนอกเหนือจากนั้นอีกเลย

เหล่าพันธมิตรสำรวจปราสาทมองหน้ากันและกัน ก่อนจะเดินตรงไปยังจุดที่กล่องปริศนาวางอยู่ด้วยความสงสัย

ฉินอวี้โม่ที่อยู่ใกล้ที่สุดลองยกมันขึ้นมาดู สิ่งที่ดูเหมือนกล่อง แท้จริงแล้วมันคือหีบขนาดย่อมหน้าตาประหลาด แม้จะดูแปลกแต่อดีตนักฆ่าสาวกลับไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายใด ๆ

“ลองเปิดมันดูเถอะ”

ปิงเสวียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม ทุกคนต่างก็สงสัยเช่นกันว่าหีบใบน้อยในมือของฉินอวี้โม่จะมีสิ่งใดซ่อนอยู่ด้านใน

ฉินอวี้โม่พยักหน้า ก่อนจะเปิดหีบอย่างไม่ลังเล

ทันทีที่หีบถูกเปิดออก แสงสว่างเจิดจ้าก็สาดกระจายออกมา เพียงชั่วพริบตาทุกคนก็มองเห็นว่าภายในนั้นมีหินก้อนกลมขนาดไม่ใหญ่วางอยู่อย่างเป็นระเบียบ ลูกหินนั้นมีจำนวนทั้งหมดห้าก้อน

“นี่มัน ศิลาเยือกแข็ง !”

เมื่อได้เห็นก้อนหินในหีบ เยว่ชิงเฉิงก็อุทานออกมาเสียงดัง ใบหน้าของคุณหนูตระกูลช่างหลอมฉายแววตื่นตะลึงเป็นล้นพ้น

*‘ศิลาเยือกแข็ง’*เป็นสิ่งที่หายากมากและจัดเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างหนึ่งเพราะมันคือวัตถุดิบระดับสูงที่ถูกใช้ในการหลอมอุปกรณ์ แม้ว่าศิลาชนิดนี้จะไม่ค่อยมีประโยชน์กับช่างหลอมโดยส่วนใหญ่ แต่สำหรับช่างหลอมระดับสูง มันถือเป็นสมบัติที่ล้ำค่ายิ่งกว่าล้ำค่า

ปกติแล้วการหลอมอุปกรณ์ทุกชนิดทุกระดับจะมี*‘โอกาสในการล้มเหลว’*อยู่ส่วนหนึ่ง ซึ่งโอกาสในการล้มเหลวนั้นก็จะเพิ่มมากขึ้นเมื่อระดับของสิ่งหลอมที่ต้องการจะสร้างสูงขึ้น กล่าวให้เข้าใจง่ายก็คือยิ่งระดับของสิ่งหลอมสูงความยากในการหลอมก็จะมีมากและก็เป็นส่งผลให้โอกาสในการล้มเหลวมีมากขึ้นตามไปด้วย

ศิลาเยือกแข็งนี้คือสิ่งที่มีคุณสมบัติช่วยลดโอกาสในการล้มเหลวลงได้ ต้องทราบก่อนว่าหากผู้หลอมหลอมอุปกรณ์ล้มเหลว วัตถุดิบทั้งหมดที่ถูกใช้ในการหลอมก็จะสูญเสียคุณค่าไปอย่างไม่อาจหวนคืน  ดังนั้นในการหลอมอุปกรณ์ระดับสูงที่ใช้วัตถุดิบล้ำค่าราคาแสนแพงก็ย่อมไม่มีผู้ใดต้องการให้ล้มเหลวเป็นแน่ ทว่าการใช้ศิลาเยือกแข็งนั้นสามารถช่วยในเรื่องนี้ได้ ด้วยเหตุนี้เอง ศิลาเยือกแข็งจึงเป็นสมบัติเลอค่าที่ช่างหลอมระดับสูงต้องการ

“ศิลาเยือกแข็งไม่ใช่ของที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามท้องตลาด ต้องพูดเลยว่าครั้งนี้พวกเราโชคดีมากจริง ๆ”

เจียงหลิวเยว่ยิ้ม เพราะเกิดและเติบโตในวงการการประมูล นางจึงรู้ถึงมูลค่าของศิลาเยือกแข็งดี ศิลาเยือกแข็งที่มีขนาดเท่ากับนิ้วหัวแม่มือจะมีราคาสูงถึงหลักล้านเหรียญทองหากขายในโรงประมูล ทว่าศิลาเยือกแข็งที่มีขนาดเท่ากับกำปั้นทั้งห้าก้อนที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาในตอนนี้ หากนำไปขายรวมกันก็น่าเปลี่ยนเป็นเงินได้อย่างน้อยก็พันล้านเหรียญทอง !

“ดูเหมือนว่าสวรรค์จะประทานโชคให้พวกเราแล้ว !”

เพ่ยหลงยิ้มกว้างอย่างยินดี “พวกเรามีกันทั้งหมดห้ากลุ่ม เช่นนี้ก็แบ่งกันคนละก้อน อย่างไรก็ควรจะแบ่งอย่างเท่าเทียมอยู่แล้ว”

ก่อนหน้านี้ปิงเสวียนก็ได้บอกไปแล้วว่าจะแบ่งสมบัติที่ได้มาอย่างเท่าเทียม เพ่ยหลงกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อรอดูปฏิกิริยาของทุกคนว่าคิดเห็นเช่นไร

ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางไม่ได้โลภจนถึงกับไม่เห็นแก่มิตรภาพ คุณหนูสี่ตระกูลฉินส่งศิลาเยือกแข็งให้กับหัวหน้าของแต่ละกลุ่มอย่างไม่ลังเล

ปิงเสวียน เพ่ยหลงและเยว่ชิงเฉิงรับมันมาด้วยรอยยิ้ม

ทว่าฉีอวี้กลับส่ายศีรษะปฏิเสธ

“กลุ่มของอวี้โม่สมควรได้ส่วนของพวกเราไป”

ลั่วอวิ๋นกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม พวกเขารู้ดีว่าฉินอวี้โม่เป็นช่างหลอม แม้ว่านางอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้เจ้าหินก้อนกลม ๆ ที่พวกเขาไม่รู้จักเลยในตอนนี้ ทว่าในวันหนึ่งข้างหน้าสหายคนงามก็คงจะได้ใช้อย่างแน่นอน

ที่ผ่านมาฉินอวี้โม่ก็ช่วยพวกเขามามากแล้ว ในเมื่อมันเป็นประโยชน์สำหรับนางพวกเขาก็ยินดีจะมอบมันให้อย่างไม่ลังเล

สามพี่น้องแซ่สือเองก็เช่นกัน พวกเขาเคยได้รับความช่วยเหลือจากฉินอวี้โม่ ทั้งพวกเขาสามคนและพี่น้องที่เหลือตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะต้องตอบแทนสตรีผู้มีพระคุณผู้นี้ให้ได้

เมื่อเห็นสีหน้าที่จริงใจของสหายทั้งหลาย ฉินอวี้โม่ก็เข้าใจความตั้งใจของพวกเขา ช่างหลอมสาวเก็บศิลาเยือกแข็งในส่วนของกลุ่มฉีอวี้เอาไว้และยิ้มให้สหายอย่างรู้สึกขอบคุณ

“รุ่นน้องอวี้โม่ พวกเราจำได้ว่าเจ้าก็เป็นช่างหลอมด้วยนี่”

หลินซิวหยากล่าวเสียงเริงร่า ภายในกลุ่มของพวกเขานอกจากนางแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่สนใจในด้านการหลอมอีก เขากับหลี่จิ้งสนใจแต่การต่อสู้เท่านั้น เจียงหลิวเยว่ไม่ได้เป็นช่างหลอม เนี่ยหรูเฟิงเองก็เช่นกัน

ศิลาเยือกแข็งในส่วนของกลุ่มฉินอวี้โม่นั้นจึงสมควรจะมอบให้รุ่นน้องผู้อ่อนเยาว์ที่สุดของกลุ่มและเป็นช่างหลอมเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มอย่างคุณหนูสี่ตระกูลฉิน

“กลุ่มของเราตกลงกันแล้วว่าจะแบ่งสมบัติที่ได้มาตามความต้องการและความจำเป็นของแต่ละคน เจ้าคงต้องการใช้ศิลาเยือกแข็งมากกว่าพวกเรา งั้นเจ้าก็เก็บไว้เถอะ”

เรื่องนี้พวกเขาเคยคุยกันมาก่อนแล้ว หลินซิวหยาจึงกล่าวขึ้นมาโดยจำเป็นต้องปรึกษาหารืออีก คนอื่น ๆ ในกลุ่มเองก็พยักหน้าอย่างเห็นพ้อง

น่ายินดียิ่งนักที่หลังจากใช้เวลาร่วมกันมากว่าค่อนเดือน กลุ่มของพวกเขาก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างมากมายเช่นนี้

.