มู่เฉียนซีกล่าวเย้ยหยัน “อย่าขยับมั่วซั่วซี่ หากพวกเจ้าขยับมั่ว ๆ นายน้อยของพวกเจ้าจะซวยเอาได้ ฮ่า ๆ ๆ”
— ตูม! ตูม! ตูม! —
ยอดฝีมือระดับราชาและระดับจักรพรรดิต่างก็ต้องยอมยั้งมือไปทีละคนสองคน ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาโกรธเกลียดมากที่สุดนั่นก็คือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของฝ่ายตรงข้าม พวกมั้นทั้งสามตัวยังคงโจมตีพวกเขาอยู่หลายกระบวนท่าอย่างต่อเนื่อง
— ขวับ! ขวับ! —
ภายในชั่วพริบตาเดียวพวกเขาบาดเจ็บอย่างสาหัส
พวกเขาจ้องมองมู่เฉียนซีและทำหน้าตาบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บปวดสุดใจ ปากก็กล่าวว่า “พวกเจ้า…”
“พวกเจ้าปล่อยนายน้อยของข้าเดี๋ยวนี้!”
“เจ้าต้องการอะไรกันแน่ ?”
มู่เฉียนซีกล่าว “พวกเจ้าสำนักจินติ่งกล้ามาขวางทางข้า ข้าก็คงต้องพานายน้อยของพวกเจ้าไปหาเจ้าสำนักของพวกเจ้า ให้เขาได้อธิบายเรื่องนี้ โทษฐานที่ทำให้ผู้นำตระกูลอย่างข้าตกใจ คงต้องชดเชยกันสักหน่อยแล้ว”
ผู้อาวุโวอิ๋นได้ยินวาจานาง พลันเบิกตากว้างดวงตาโปน เขารีบกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ผู้นำตระกูล เจ้าแทนตัวเองว่าผู้นำตระกูล เจ้าคือ…”
ทั่วทั้งทางตกของเซี่ยโจว ผู้นำตระกูลที่มีอายุน้อยเช่นนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นนั่นก็คือมู่เฉียนซี… ผู้นำตระกูลมู่
เพียงแต่ว่ามู่เฉียนซีไม่ใช่เป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ที่ไม่ได้เก่งกาจอะไรหรอกรึ ?
พวกเขามองไปที่ใบหน้าอันงดงามอย่างไร้ที่ตินั้น เหตุใดในตอนแรกพวกเขาถึงไม่ทันได้สังเกตว่านางคือมู่เฉียนซีผู้นำตระกูลมู่!
ในตอนที่เจ้าสำนักของพวกเขาไปยังสถานที่ลึกลับ ณ แคว้นจื่อเยี่ย ก็ถูกผู้นำตระกูลมู่หลอกจนสำนักจินติ่งของพวกเขาต้องสูญเสียสมุนไพรวิญญาณไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเสียยอดฝีมือระดับจักรพรรดิไปอีกสามคน
มาวันนี้นายน้อยของพวกเขาไปทำให้นางขุ่นเคืองเช่นนี้อีก ไม่รู้ว่าจะต้องชดใช้กันอีกตั้งเท่าไหร่!
ทันใดนั้นพวกเขาพลันรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว ผู้อาวุโสอิ๋นกล่าวด้วยความกลัวเกรง “ท่านผู้นำตระกูลมู่มีเรื่องอะไรก็ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันจะดีกว่านะ เชื่อข้าเถอะ”
มู่เฉียนซียิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “แน่นอน ข้าเป็นคนจิตใจดีอยู่แล้ว เช่นนั้นเราเดินทางไปสำนักจินติ่งกันดีกว่า”
ผู้อาวุโสอิ๋น “ท่านผู้นำตระกูลมู่ มีเรื่องอะไรก็คุยกันให้จบสิ้นเสียตรงนี้ก็ได้ เหตุใดถึงต้องไปหาท่านเจ้าสำนักกัน ? หรือว่าพวกเรา…”
มู่เฉียนซีกล่าวแทรกขึ้นมา “เวลานี้นายน้อยของพวกเจ้าแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว เงินทองของพวกเจ้าก็เอาไปประมูลจนหมด ยาทะลวงพลังพวกนั้นต่อให้พวกเจ้ามอบให้ข้า ข้าก็ไม่สนใจใคร่อยากจะได้ แล้วตอนนี้พวกเจ้าคิดว่ามีของมีค่าอะไรที่จะชดเชยเป็นค่าตกใจให้ข้าได้บ้าง ?”
มุมปากเหล่าผู้อาวุโสสำนักจินติ่งกระตุก ทว่าพวกเขากล่าวอะไรไม่ออก ‘เจ้า… เจ้า…’
หากเจ้าสำนักของพวกเขาเห็นว่าพวกเขานำความหายนะนี้กลับไปที่สำนักจินติ่ง มีหวังเจ้าสำนักต้องเผาพวกเขาให้ตายทั้งเป็นอย่างแน่นอน
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หยุดกล่าววาจาไร้สาระได้แล้ว หากพวกเจ้าไม่นำทางไป พวกเจ้าได้มาเก็บศพนายน้อยของพวกเจ้าแน่ พวกเจ้าคิดว่าข้ากลัวสำนักจินติ่งเช่นนั้นรึ ?”
ตระกูลมู่ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวสำนักนิกายอย่างสำนักจินติ่งแม้แต่น้อย สาเหตุการที่สำนักเหยียนหลัวเหมิงถูกฆ่าทำลายล้างไปอย่างสิ้นซากนั้นไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่รู้
เบื้องหลังตระกูลมู่มีผู้ลึกลับและแข็งแกร่งปกป้องอยู่ เขาผู้นั้นคือเยี่ยอ๋อง ไหนจะหมอปีศาจและบุรุษชุดเขียวนั่นอีก แต่ละคนมีพลังความแข็งแกร่งเหนือมนุษย์ยิ่งนัก
ผู้อาวุโสอิ๋นไร้ซึ่งทางเลือก “ท่านผู้นำตระกูลมู่ เชิญทางนี้”
เพื่อเป็นการปกป้องไม่ให้นายน้อยของพวกเขาต้องตายอย่างอนาถ พวกเขาจึงจำใจต้องเชิญหายนะนี้กลับไปยังสำนักจินติ่ง
“ท่านผู้นำตระกูลมู่ ตอนนี้ท่านปล่อยนายน้อยก่อนได้หรือไม่ ?”
— ฟึ่บ! —
เข็มยาขนาดเล็กแทงเข้าที่ร่างของจินหลู่
ใบหน้าของผู้อาวุโสอิ๋นทาบทาความตระหนกตกใจ “ผู้นำตระกูลมู่ พวกข้ายอมรับข้อตกลงของเจ้าแล้ว เหตุใดยังสังหารนายน้อยอีก หากเจ้าสังหารนายน้อย ต่อให้เจ้าเป็นผู้นำตระกูลมู่ สำนักจินติ่งก็จะไม่ปล่อยเอาไว้แน่”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างรำคาญใจ “เขายังไม่ตายหรอก ข้าเพียงแค่วางยาพิษเอาไว้เพื่อไม่ให้สำนักจินติ่งของพวกเจ้าคิดตลบหลัง ต้องการความแน่ใจมันผิดนักรึ ?”
ผู้อาวุโสอิ๋นเห็นว่านายน้อยของตนยังมีลมหายใจอยู่ เขาก็โล่งใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง
มู่เฉียนซีมองน่าหลานอวี้พลางกล่าว “น่าหลานอวี้ ข้าจะไปสำนักจินติ่งสักหน่อย เจ้าจะไปหรือไม่ล่ะ ?”
ดวงตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ “ข้ามีลางสังหรณ์ว่าหากเจ้าไปสำนักจินติ่ง เจ้าต้องก่อเรื่องโกลาหลวุ่นวายเป็นแน่ ฉากสนุก ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ข้าจะพลาดได้อย่างไรกันเล่า ?”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของน่าหลานอวี้ ใบหน้าของทุกคนพลันเปลี่ยนกลายเป็นดำคล้ำราวกับก้นหม้อ คุณชายชุดขาวผู้นี้เกรงว่าตนจะไม่ได้เห็นเรื่องวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้นหรืออย่างไรกัน ?
ในที่สุดสัตว์วิญญาณบินได้ ก็ได้พาพวกเขามาถึงสำนักจินติ่ง
“นายน้อย ท่านผู้อาวุโสอิ๋นกลับมากันแล้ว”
ผู้อาวุโสกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “รีบไปตามท่านเจ้าสำนักมาเร็วเข้า เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!”
“ขอรับ!”
ท่าทางตื่นตระหนกของผู้อาวุโสอิ๋น ทำให้คนของสำนักจินติ่งรู้สึกเป็นกังวลใจขึ้นมาทันที
ผู้อาวุโสอิ๋น “ท่านผู้นำตระกูลมู่ เชิญด้านใน”
“ผู้อาวุโสอิ๋น ตัวข้าไม่ใช่ภัยพิบัติอันใหญ่หลวงเช่นนั้น ไม่ต้องกลัวข้าขนาดนั้นก็ได้ ข้าพูดจริง ๆ” มู่เฉียนซียิ้มยียวน
ผู้อาวุโสอิ๋นพึมพำในใจ ‘ไม่ใช่ภัยพิบัติใหญ่หลวง แต่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นเสียอีก เหอะ!’
เมื่อเจ้าสำนักทราบการรายงานของผู้อาวุโสอิ๋นแล้ว เขาก็รีบไปที่ห้องต้อนรับในทันที เมื่อเขาเห็นใบหน้างามที่ดูบอบบาง อีกทั้งร่างอันงดงาม เขากัดฟันแน่นด้วยความโกรธเกลียด ความโกรธแล่นเข้าครอบงำเขาเสียจนร่างของเขาแทบทรุดล้มลงไปกับพื้น
“ผะ… ผู้นำตระกูลมู่” น้ำเสียงของเจ้าสำนักจินติ่งสั่นเครือ
น่าหลานอวี้เห็นเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หากเขาไม่มาเห็นกับตาก็คงจะไม่รู้ พอมาเห็นเข้ากับตาตัวเอง เป็นอันตกใจจนแทบจะกระโดด
ไม่น่าเชื่อว่าพลังจิตแห่งการสังหารของสตรีตรงหน้าจะมากมายได้ถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังทำให้คนในสำนักนิกายจินติ่งหวาดกลัวกันอย่างมาก
เจ้าสำนักจินติ่งแสดงรอยยิ้มที่ดูน่าเกลียดกว่าร้องไห้ออกมา “ยินดีต้อนรับท่านผู้นำตระกูลมู่ ข้านั้นมิได้คิดเลยว่าท่านผู้นำตระกูลมู่จะมาเยือนสำนักจินติ่งของพวกเรา ข้าต้องขอโทษด้วยทีไม่ได้ออกไปต้อนรับถึงหน้าสำนัก”
มู่เฉียนซี “ท่านเจ้าสำนักจินติ่งไม่ต้องกระตือรือร้นมากมายเช่นนั้นหรอก ทำเช่นนั้นข้าคงจะเกรงใจแย่ เพียงแต่เรื่องที่ต้องคิดบัญชีก็ยังต้องคิดอยู่เช่นเดิม”
“คิดบัญชีรึ ? คิดบัญชีเรื่องใดกัน ?” เจ้าสำนักจินติ่งอดรู้สึกเสียวหลังวาบไม่ได้ เวลานี้เขาเริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดีแล้ว
มู่เฉียนซีเหลือบมองผู้อาวุโสอิ๋นผู้ซึ่งแสดงสีหน้าเป็นกังวลอยู่ในตอนนี้ นางกล่าว “เรื่องนี้คงต้องถามบุตรชายของท่านและผู้อาวุโสแล้วล่ะ”
เจ้าสำนักหันมองหน้าบุตรชายของตนก่อนจะกล่าวถามว่า “เกิดเหตุอันใดขึ้น ?”
ผู้อาวุโสอิ๋น “เรื่องมีอยู่ว่า…”
ยิ่งฟังเรื่องราวมากเท่าไหร่ เจ้าสำนักก็แทบจะลุกไปทุบตีบุตรชายตัวเองให้ตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ช่างหาเหาใส่หัวไม่รู้เวล่ำเวลาโดยแท้!
อดใจเอาไว้ไม่ได้หรืออย่างไรกัน ?! ตัวเขานั้นได้เตือนบุตรชายหลายต่อหลายครั้งว่าอย่าไปยั่วโมโหมู่เฉียนซีเด็ดขาด ทว่าเขาก็ไม่ฟัง ซ้ำร้ายยังจำนางไม่ได้ ครานี้พลั้งพลาดไปยั่วโมโหนางเข้า มีหวังนางเล่นงานจนตายเป็นแน่ มันน่านัก…
เจ้าสำนักโกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ ทว่าก็ต้องจำใจฉีกยิ้ม “ท่านผู้นำตระกูลมู่ บุตรชายของข้ายังเยาว์ ไม่ใคร่จะรู้จักกาลเทศะจึงไปยั่วโมโหท่าน ขอท่านอภัยให้ด้วยเถิด”
ผู้ที่คอยจับผิดอย่างน่าหลานอวี้เห็นว่าใบหน้าเจ้าสำนักผู้นี้ไม่สดใสนัก เขาจึงจงใจกล่าวขึ้นว่า “เจ้าสำนักจินติ่ง ผู้นำตระกูลมู่เพิ่งจะเข้าพิธีฉลองการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไม่นานนี้ แต่บุตรชายของท่านอายุมากกว่านาง หากจะบอกว่าบุตรชายของท่านยังเยาว์วัยไม่รู้จักกาลเทศะ มิดูขัดแย้งไปหน่อยหรือไร ?”
เวลานี้สีหน้าของเจ้าสำนักแย่ลงเรื่อย ๆ
“ท่านผู้นำตระกูลมู่ สำนักจินติ่งของพวกเรายินยอมที่จะชดเชยให้ท่าน ขอให้ท่านผู้นำตระกูลมู่อย่าได้คิดแค้นกันเลย ให้อภัยบุตรชายของข้าและแก้พิษให้เขาด้วยเถอะ”
มู่เฉียนซีเลิกคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า “ชดเชยให้รึ ? เจ้าสำนักจิน ท่านคิดว่าสำนักจินติ่งของท่านยังมีอะไรเหลือให้ข้าสนใจด้วยหรือ ?”
.