บทที่ 338 : กลับจิงฉูอย่างทรหด!

“ที่รัก.. อีกไม่นานข้าจะไปพาเจ้ากลับจากญี่ปุ่นอย่างแน่นอน!” หลิงหยุนพึมพำกับตัวเองขณะที่มองดูภาพถ่ายของฝาหม้อเสินหนงที่อยู่ในมือ

ตู้กู่โม่ได้ยินคำพูดของหลิงหยุนถึงกับขนหัวลุกพร้อมกับร้องบอกไปว่า “ข้าไม่ไปกับเจ้าด้วยหรอกนะ!”

ส่วนเจ้าขาวปุยนั้นดูเหมือนอาการบาดเจ็บจะค่อยๆดีขึ้น มันจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับยิ้มหวานให้เขา

หลิงหยุนยืนมองภาพถ่ายอยู่นาน จากนั้นจึงหันไปมองหม้อเสินหนงที่วางอยู่ข้างๆ หลิงหยุนสำรวจหม้อใบนั้นพร้อมกับส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นมาว่า

“ชื่อก็ฟังดูดีหรอกนะ แต่สภาพของมันเก่ามาก ดูแล้วก็ไม่เห็นจะสวยตรงใหน! ตู้กู่โม่นายช่วยฉันตรวจดูหม้อใบนี้หน่อยสิว่ามันมีความพิเศษตรงใหน?”

ตู้กู่โม่เพียงแค่ส่ายหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “ถ้าคนเก่งจากสำนักหมอสวรรค์อย่างเจ้ายังไม่รู้.. แล้วข้าจะไปรู้ได้ยังไง? เจ้ารีบเก็บมันกลับไปเถอะ พวกเราจะได้ออกไปจากที่นี่กันซะที!”

หลิงหยุนยิ้มและตอบไปว่า “นายเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอว่าของที่ได้มาให้แบ่งครึ่งกัน? หม้อนี้หนักมาก.. นายช่วยฉันแบกไปครึ่งทางก่อน..”

ตู้กู่โม่ถึงกับตกใจตาโต เขาหันไปมองหลิงหยุนพร้อมกับร้องบอกว่า “ใครพูดว่าจะแบ่งครึ่งกับเจ้า? หม้อนี่แค่มองก็รู้แล้วว่าหนักแค่ใหน.. ข้าไม่โง่หรอกนะ!”

หลิงหยุนหัวเราะเสียงดังพร้อมกับเอื้อมมือไปคว้าหูของหม้อเสินหนง และเรียกเข้าไปเก็บในแหวนพื้นที่ และนั่นก็ถึงกับทำให้ตู้กู่โม่ตะลึงจนพูดไม่ออกอีกครั้ง

“เร็วเข้า! มาช่วยกันค้นตามตัวของคนพวกนี้ก่อน!”

แต่ตู้กู่โม่กลับถามขึ้นอย่างแปลกใจ “คนก็ตายไปแล้ว เจ้าจะค้นตัวพวกเขาไปทำไมกัน?!”

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปตรวจค้นร่างของเฉินเจี้ยนเหยิวนเป็นรายแรก เพียงไม่นาน.. หลิงหยุนก็พบเงินสดสองปึกในร่างของเฉินเจี้ยนเหยิวน เขารีบร้องบอกตู้กู่โม่..

“เห็นไม๊!! ไม่ใช่จะเอาแต่ฆ่าคนแล้วก็ไป การสังหารคนชั่วมักต้องมีรางวัลตอบแทน!”

ตู้กู่โม่เป็นเด็กดีและจิตใจบริสุทธิ์ เขาถึงกับตกใจกับพฤติกรรมของหลิงหยุนจนต้องร้องถามขึ้นว่า “ทำแบบนี้มันจะดีรึ?!”

เมื่อพบว่าร่างของเฉินเจี้ยนเหยิวนไม่มีอะไรแล้ว หลิงหยุนก็ขยับไปที่ร่างของโทคุงาวะต่อ

“มีเครื่องมือสื่อสารจริงๆด้วย!”

หลิงหยุนพบเครื่องมือสื่อสารในร่างของโทคุงาวะ แต่เขาไม่มีความรู้เรื่องอุปกรณ์ไฮเทคเหล่านี้มากนัก หลังจากพลิกดูเครื่องมือสื่อสารอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ร้องบอกตู้กู่โม่ว่า

“จัดการทำลายเครื่องนี้ทิ้งซะ!”

ตู้กู่โม่ไม่ต้องการแตะต้องเนื้อตัวของคนญี่ปุ่นก็จริง แต่เขากฌเข้าใจสิ่งที่หลิงหยุนพูดจึงได้แต่พยักหน้าและเข้าไปช่วยหลิงหยุนอีกแรง

ทั้งสองคนจัดการตรวจค้นตามร่างกายของแต่ละคนอย่างละเอียด และเมื่อพบเครื่องมือสื่อสาร หรือเครื่องมืออิเล็คทรอนิคอย่างอื่น พวกเขาก็รวบรวมไว้เป็นกองเดียวกัน แล้วหลิงหยุนก็จัดการใช้ยันต์อัคนีเผาทำลายทิ้งไปพร้อมๆกัน

หลิงหยุนพบเงินสดเพิ่มอีกจำนวนหนึ่งแสนแปดหมื่นหยวน รวมกับเงินสดสองปึกแรกจำนวนสองแสนหยวน

อาวุธปืนและกระสุนเหล่านั้นไม่มีประโยชน์กับหลิงหยุนแม้แต่น้อย เขากับตู้กู่โม่จึงทำการขุดหลุมและจัดการฝังอาวุธเหล่านั้นซ่อนไว้ใต้พุ่มไม้

“เอาล่ะ.. ส่วนซากศพพวกนี้ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสัตว์ป่าในนี้ก็แล้วกัน พวกเราไปกันได้แล้ว!”

พูดจบ.. หลิงหยุนและตู้กู่โม่ก็พาเจ้าขาวปุยเดินไปตามเส้นทางที่เฉินเจี้ยนเหยิวนบอก

โทคุงาวะ ทาคาซุเกะผู้น่าสงสาร เขาต้องการกินสมองลิง แต่คงคิดไม่ถึงว่าท้ายที่สุดร่างของตนเองกลับต้องมานอนแน่นิ่งอยู่ในป่าเสินหนงเจี๋ยอย่างไม่มีวันฟื้น และต้องถูกสัตว์ป่ามากมายรุมทึ้ง!

เฉินเจี้ยนเหยิวนบอกทางได้ดีเยี่ยม ทั้งหลิงหยุนและตู้กู่โม่ต่างก็เดินมาตามเส้นทางที่เขาบอก และหลังจากข้ามภูเขามาถึงสี่ลูก ในที่สุดพวกเขาก็พบกับถนน!

หลิงหยุนจัดการเก็บกระบี่ยาวของตู้กู่โม่ไว้ในแหวนพื้นที่ จากนั้นก็ให้เจ้าขาวปุยใช้วิชาลวงตาให้คนอื่นมองไม่เห็นหางของมัน ตู้กู่โม่ได้เห็นวิชาลวงตาของเจ้าขาวปุยมาก่อนแล้วจึงไม่ประหลาดใจอีก

ระหว่างทางที่เดินออกจากป่านั้น ทั้งคู่ก็ได้ลงไปอาบน้ำชำระคราบเลือดตามร่างกายและเสื้อผ้าแล้ว แต่ก็ต้องสวมเสื้อผ้าเปียกเดินลงไปตามถนน

แม้ว่าทั้งคู่จะได้ชำระล้างคราบเลือดตามร่างกายออกไปแล้ว แต่ทั้งคู่ก็ต้องเผชิญกับสายตาเย็นชาของนักท่องเที่ยว ทั้งคู่ต่างก็ทำให้นักท่องเที่ยวหวาดกลัว เพราะนึกว่าเป็นคนป่าออกมาจากเสินหนงเจี๋ย

นั่นเพราะทั้งคู่ต่างก็ผ่านการต่อสู้ที่แสนหฤโหดมา และยังต้องเดินทางผ่านภูเขาและป่ามาอีกหลายลูก เสื้อผ้าจึงขาดวิ่น และดูคล้ายขอทานอีกด้วย

แต่มีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มเห็นว่าทั้งสองคนดูไม่เหมือนคนป่าที่เคยได้ฟังมา พวกเขาจึงเข้ามาถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น

หลิงหยุนจึงเล่าให้ฟังว่า.. พวกเขาทั้งคู่มาเที่ยวที่เสินหนงเจี๋ยเหมือนกับนักท่องเที่ยวคนอื่น แต่เกิดหลงทางในป่า และต้องเดินข้ามภูเขาและป่าดงดิบมาเป็นเวลาหลายวันหลายคืน กว่าจะหาทางออกจากป่าได้

ตอนนี้เพิ่งจะแปดโมงเช้า.. หากออกเดินทางกลับจิงฉูตอนนี้ อย่างช้าที่สุดเขาก็กลับไปถึงจิงฉูไม่เกินเที่ยงคืน  และยังสามารถไปงานวันเกิดของหนิงน้อยทัน

บริเวณนั้นมีรถมินิบัสไว้บริการนักท่องเที่ยวในเสินหนงเจี๋ยอยู่มากมาย แต่เมื่อเห็นการแต่งตัวของคนทั้งคู่ก็แทบไม่มีใครอยากรับ แต่เมื่อคนขับรถเหลือบไปเห็นธนบัตรสีแดงปึกใหญ่ในมือของหลิงหยุน เขาก็ตาโตขึ้นมาทันที!

เขาไม่ถามอะไรอีก และรีบเชื้อเชิญหลิงหยุนและตู้กู่โม่ให้ขึ้นมาบนรถ และถามไถ่จุดหมายปลายทางที่ต้องการจะไป

หลิงหยุนบอกไปว่าพวกเขาต้องการไปที่เมื่อมู่หยูก่อน ไปถึงเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี และหากคนขับสามารถทำเวลาได้เร็วเป็นที่พอใจ เขาก็จะเพิ่มค่าจ้างให้

คนขับรถได้ฟังถึงกับตาโตขึ้นมาทันที วันนี้เป็นวันเสาร์และตอนนี้ก็ยังเช้ามาก รถราบนถนนก็ยังไม่คับคั่ง เขาใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีก็ไปถึงตัวเมืองมู่หยูแล้ว

หลิงหยุนดีใจมาก และรีบหยิบเงินให้คนขับรถหนึ่งพันหยวน จากนั้นก็ถามถึงเส้นทางที่จะไปยังใจกลางเมือง และเงินก็สามารถทำได้ทุกอย่างจริงๆ หลิงหยุนใช้เงินปึกนั้นลูบไล้ไปตามแขนของคนขับรถบัสพร้อมกับถามต่อว่า..

“แล้วจากที่นี่ไปอี้ชางใช้เวลานานเท่าไหร่?”

“ถ้าขับด้วยความเร็วปกติ ก็ใช้เวลาราวสองชั่วโมงครึ่ง!” คนขับรถใจเต้นเร็ว และเสียงเริ่มสั่น

หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับถามต่อว่า “เอาล่ะ.. ถ้างั้นไปส่งพวกเราที่อี้ชาง คิดเท่าไหร่?”

คนขับรถคิดแล้วจึงตอบกลับไปว่า “หนึ่งพัน!”

หลิงหยุนยิ้มและตอบกลับไป “ผมจะให้คุณเพิ่มเป็นสองพัน ถ้าคุณทำเวลาได้สองชั่วโมง! แต่ถ้าทำเวลาได้ดีกว่านั้น ก็รับเพิ่มไปอีกห้าร้อยหยวนในทุกๆครึ่งชั่วโมง! คุณต้องคำนวนเอาเองแล้วล่ะ!”

คนขับรถมินิบัสเหยียบอย่างไม่คิดชีวิต เขาเหยียบคันเร่งจนมิดและขับไปด้วยความเร็วอย่างบ้าคลั่ง!

ผลปรากฏว่า.. พวกเขาใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงกับอีกนิดหน่อย ก็มาถึงอี้ชางแล้ว หลังจากที่คนขับหยุดรถ เขาก็ใช้มือปาดเหงื่อและพูดกับหลิงหยุนว่า

“น้องชาย.. ผมเร่งความเร็วจนสุดแล้ว! ดูเหมือนว่ากรมทางหลวงคงจะได้ค่าปรับจากผมหลายเงินแน่!”

หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับหยิบเงินห้าพันหยวนส่งให้คนขับรถ “ผมไม่เอาเปรียบคุณหรอกครับ ผมให้คุณห้าพันหยวนเลย อ่อ.. คุณช่วยหารถดีๆให้ผมสักคันจะได้ไม๊ เอาคันที่คนขับขับเร็วๆได้ยิ่งดี!”

คนขับรถถามอย่างประหลาดใจ “ดูคุณรีบร้อนมาก.. ถ้ารีบร้อนขนาดนี้ทำไมถึงไม่ไปเครื่องบินล่ะครับ สนามบินอยู่ไม่ไกลนี่เอง!?”

หลิงหยุนส่วยหน้าพร้อมกับตอบยิ้มๆ “ผมทำบัตรประชาชนหายในเสินหนงเจี๋ย อย่าว่าแต่เครื่องบินเลย รถไฟผมยังขึ้นไม่ได้เลยตอนนี้!”

คนขับรถมินิบัสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบกลับไปยิ้มๆว่า “คุณถามถูกคนแล้วล่ะครับ ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง รถของเขาเป็นรถ BMW ผมจะลองถามเขาให้นะครับ!”

หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆ “เท่าไหร่ผมก็ยอมจ่าย ขอให้เร็วเป็นพอ!”

และในที่สุดหลิงหยุนและตู้กู่โม่ก็เปลี่ยนไปนั่งรถ BMW แทน และหลิงหยุนก็ต้องจ่ายให้กับคนขับรถ BMW ถึงหนึ่งหมื่นหยวน

คนขับรถ BMW นั้นขับได้เร็วกว่ารถคันอื่นจริงๆ เพราะเพียงแค่สองชั่วโมงเขาก็พาทุกคนมาถึงหวู่ฮั่นตามที่ตกลงแล้ว

หลังจากที่ได้สนทนากันระหว่างทาง เมื่อคนขับรถรู้ว่าจุดหมายปลายทางของทั้งคู่นั้นคือเมืองหลวงของมณฑลเจียงหนาน เขาจึงยื่นข้อเสนอที่จะขับไปส่งให้ถึงเมืองจิงฉู

หลิงหยุนคิดพร้อมกับถามขึ้นว่า “จากนี่ไปถึงจิงฉูระยะทางเท่าไหร่?”

คนขับรถตอบไปว่า “ก็อีกราวแปดร้อยกิโลเมตร ด้วยความเร็วของผม ผมใช้เวลาราวหกชั่วโมง!”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับถามขึ้นว่า “นี่แสดงว่าคุณต้องขับรถเร็วมากเลยสินะ.. ทำแบบนี้บ่อยๆไม่น่ารอดมาได้?”

คนขับรถตอบกลับมาว่า “ความจริงแล้วผมเองก็ไม่ได้ขับรถเร็วแบบนี้มานานแล้วล่ะ แต่ร่างกายของเราต้องกินต้องใช้ เราก็ต้องหาเงิน? เอาเป็นว่าถ้าน้องชายจ่ายเงินงาม ผมรับรองว่าจะพากลับไปจิงฉูให้เร็วที่สุด รับรองว่าไปทันงานวันเกิดแฟนอย่างแน่นอน!”

หลิงหยุนหัวเราะอย่างพอใจ “แล้วต้องการเท่าไหร่ล่ะ?”

คนขับรถเรียกหลิงหยุนสองหมื่น และหลิงหยุนก็พยักหน้าทันที จากนั้นคนขับรถก็ไปจัดการเติมน้ำมัน และพาหลิงหยุนกับตู้กู่โม่ไปหาซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ก่อนออกเดินทางทั้งสามคนก็หาอะไรง่ายๆกินกัน หลังจากกินเสร็จก็บ่ายโมงตรงพอดี ทั้งหมดจึงมุ่งหน้าไปยังเมืองจิงฉู มณฑลเจียงหนาน..!

เวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง หลิงหยุนและตู้กู่โม่ก็มาถึงเมืองจิงฉูพอดี!

ระยะทางเป็นพันกิโลเมตร หลิงหยุนกับตู้กู่โม่ออกเดินทางจากเสินหนงเจี๋ยตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง และมาถึงเมืองจิงฉูเวลาทุ่มครึ่ง หมดเงินไปกับค่ารถหลายหมื่นหยวน เช่นนี้แล้วจะไม่เรียกว่าการเดินทางที่ทรหดได้ยังไง?