บทที่ 371 วางยาพิษ

คู่ชะตาบันดาลรัก

โหวเหลียงเดินไปพูดไป

“พี่ชาย ท่านเป็นคนจงหยวนเหตุใดถึงมาอยู่ที่หูตี้ได้” คนด้านหลังไม่ตอบอะไร

โหวเหลียงพูดต่อว่า “หรือท่านก็เป็นเหมือนข้า มาที่หูตี้เพื่อทำงานหาเช้ากินค่ำ พวกเราล้วนเป็นคนจงหยวนเป็นคนบ้านเดียวกัน ถือว่าพบเพื่อนเก่าในต่างถิ่นแดนไกล…”

“หุบปากซะ!” เสียงแหบแห้งดังขึ้นขัดเขา

โหวเหลียงกลืนน้ำลายหุบปากอย่างเชื่อฟังผ่านไปสักพักเขาก็ร้องไห้ขึ้นมา

“มีคนพยากรณ์ว่าข้าเป็นดาวร้ายอันโดดเดี่ยวชีวิตนี้จบไม่สวยแน่ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ตอนแรกข้ามีชีวิตที่ดีอยู่ที่บ้านเกิดมีบิดามารดา ภรรยาและลูก กำลังรอสอบเพื่อเทิดเกียรติให้กับบรรพบุรุษ ผู้ใดจะรู้ว่าตนเองจะถูกดึงเขาไปเกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกง ถูกทำให้เสียชื่อเสียงจนไม่สามารถเข้าสอบได้อีกตลอดชีวิต

ต่อมาบิดามารดาถูกบีบคั้นจนตายที่ดินของครอบครัวถูกยึดไป ภรรยาและบุตรก็ป่วยตายตามกันไป…ข้าใช้ชีวิตตัวคนเดียวทำได้แต่งานต่ำต้อย กว่าจะมีทรัพย์สินได้มันไม่ง่ายเลย พอถูกศัตรูบีบบังคับจึงทำได้แค่เอาทรัพย์สมบัติของข้าไปยังหูตี้เพื่อพนันกับตนเองว่าจะฟื้นตัวกลับมาได้ แต่ที่ไหนได้…”

เขาร้องไห้ไม่หยุดซึ่งคนด้านหลังไม่ตอบสนองใดๆ จึงพูดออกไปอย่างระมัดระวัง “พี่ชาย ข้าจะบอกความจริงกับท่าน สองคนนั้นไม่ใช่ผู้ร่วมเดินทางกับข้า แต่เป็นแม่นางที่ข้าพบระหว่างทาง นางงดงามมาก แต่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม ข้าได้พบท่านก็คิดว่าท่านคู่ควรกับพวกนางมากกว่า พวกนางเป็นวรยุทธ์ไม่ง่ายที่จะรับมือให้ข้าช่วยท่านควบคุมพวกนางดีหรือไม่พี่ชายท่านปล่อยข้าไปได้หรือไม่”

ในที่สุดด้านหลังก็มีการเคลื่อนไหวเสียงแหบห้าวก็ถามว่า “อ้อ เจ้าจะช่วยข้าอย่างไร”

โหวเหลียงตอบ “ไม่ยากเลย อาหารของพวกนางข้าเป็นคนจัดการ หากข้าใส่ยาเข้าไป…ถึงตอนนั้นท่านก็สามารถทำในสิ่งที่ท่านต้องการได้” พูดจบก็หัวเราะ

คนข้างหลังเงียบผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้ยินเขาพูดว่า “ได้ แต่เจ้าต้องใช้ยาพิษลับของข้าก่อนไม่เช่นนั้นข้าไม่เชื่อเจ้า”

โหวเหลียงมีสีหน้าสับสนในที่สุดเขาก็กัดฟันพูดออกไป “ได้! แต่ท่านต้องรักษาคำพูดด้วย! เงินกับสตรีข้าไม่ต้องการข้าแค่ต้องการชีวิตนี้…อา! อุก!”

จู่ๆ คนด้านหลังก็ยื่นมือออกมายัดบางอย่างเข้าปากเขาจากนั้นใช้แรงตบให้เขากลืนลงไป โหวเหลียงตื่นตระหนกเขาโก่งคอเพื่ออาเจียน

กริชจากที่อยู่ข้างหลังถูกดึงกลับ โหวเหลียงจะอาเจียนออกมา แต่ก็อาเจียนไม่ออก เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นใบหน้าซีดเซียวแห้งเหี่ยว

คนผู้นี้น่าจะอายุห้าสิบแล้วเขาสวมเสื้อหนังแกะเก่าๆ เหมือนคนเลี้ยงสัตว์ที่ยากจนในทุ่งหญ้า ผมของเขาเป็นสีเทาใบหน้าของเขามีรอยย่นลึก และดวงตาของเขาดุร้ายราวกับหมาป่า

“ได้ พี่ชาย!” โหวเหลียงพูดตะกุกตะกัก

อายุห้าสิบเศษ แต่เพราะไม่ได้ดูแลตนเองมาอย่างดีจึงดูเหมือนคนแก่ แต่บุรุษผู้นี้ดูเลือดเย็นอำมหิตกว่าโจรที่ดุร้ายที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา

เขาฆ่าได้ เขาฆ่าคนได้จริงๆ! เหงื่อผุดเต็มแผ่นหลังของโหวเหลียง

คนผู้นี้คือเชิ่งชี เขาตามหลังซูถูมาตลอดทั้งเดือน เขาตัวคนเดียวจึงต้องเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ซูถูจึงไม่ทันสังเกตเห็น

เชิ่งชีกำลังรอโอกาสอยู่ เหมือนหมาป่าที่อยากจับเหยื่อ แต่จับไม่ได้จึงต้องตามหลังนายพรานรอให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บแล้วรีบวิ่งออกไปกัดคอของเหยื่อ

และเวลานั้นมาถึงแล้ว…

โหวเหลียงไม่รู้จักเชิ่งชี แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขากลัวจิตสังหารของเชิ่งชีแข็งแกร่งเกินไป

“เปิดถุงน้ำออก” เขาพูดอย่างเย็นชา โหวเหลียงทำตามด้วยร่างกายที่สั่นเทา เชิ่งชีเปิดหนึ่งในนั้นไม่รู้ว่าถูกโยนอะไรเข้าไปจากนั้นก็เขย่าแล้วพูดว่า “เอาไปให้บ่าวรับใช้ดื่ม”

โหวเหลียงตกใจ รู้ว่าตัวฝูเป็นบ่าวรับใช้หมายความว่าคนผู้นี้รู้สถานการณ์ของพวกเขาเป็นอย่างดีหรือ

“ขอรับ” เขารับมาด้วยท่าทียอมจำนน

…………

โหวเหลียงเดินกะโผลกกะเผลกกลับไปยังที่พัก

“ท่านโหวกลับมาแล้ว” ตัวฝูเรียก

โหวเหลียงยิ้มอ่อนแล้วยื่นถุงน้ำให้นาง แต่ปากกลับบอกไปว่า “อากาศเย็นแล้ว แม่นางทั้งสองอย่าชำระกายเลยหากไม่สบายขึ้นมาจะไม่ดีเอา”

ตัวฝูพูดว่า “ยังไม่ถึงฤดูหนาวเลย!”

“อย่างไรที่นี่ก็เป็นป่า” โหวเหลียงพูด

ตัวฝูเอียงศีรษะและคิดอยู่ครู่หนึ่ง “มีเหตุผล อดทนรออีกสักหน่อยก็ได้ ข้าเช็ดเหงื่อให้คุณหนูไปก่อน”

โหวเหลียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดขึ้นทันทีว่า “ข้าจะไปต้มน้ำให้แม่นางตัวฝูยังไม่ทานอะไรเลย!”

“ก็ได้”

ตัวฝูคุกเข่าลงข้างกายหมิงเวยเพื่อคอยดูแลนางทางด้านโหวเหลียงเปิดถุงน้ำอยู่ในมือแล้วเทลงในกาต้มน้ำ มือของเขาสั่นอย่างรุนแรงจนทำหกออกมาข้างนอกไม่น้อย

เขากลืนน้ำลายและพูดว่า “แม่นางหมิงเป็นสตรีจากตระกูลใหญ่มีฐานะคงไม่ดื่มน้ำดิบในป่า”

ตัวฝูตอบว่า “คุณหนูบอกว่าโรคภัยเข้าจากทางปากดื่มน้ำดิบทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนได้”

“มีเหตุผลหมายความว่าน้ำมีพิษงั้นหรือ”

ตัวฝูยิ้ม “ไม่เรียกว่าเป็นพิษเพียงแต่ของจากข้างนอกมักไม่สะอาด”

“ก็จริง” เงียบไปสักพักโหวเหลียงก็ถามขึ้นว่า “แม่นางหมิงหลับแล้วหรือ”

“คุณหนูบาดเจ็บหนักคงไม่สามารถทนต่อความเหนื่อยได้”

โหวเหลียงร้อง ‘อ้อ’ แล้วพูดราวกับไม่ตั้งใจ “เหตุใดก่อนหน้านี้แม่นางหมิงไม่อาบยาพิษบนธนูนะหากเป็นเช่นนั้นจะสามารถจัดการได้”

“บนโลกนี้จะมีพิษร้ายแรงเช่นนั้นได้อย่างไร!” ตัวฝูตอบ “ตอนที่เสี่ยวไป๋มีชีวิตอยู่คงทำได้ แต่ตอนนี้…อย่างไรก็ตามมันไม่ง่ายสำหรับคุณหนูที่จะทำเช่นนี้ได้”

เมื่อน้ำเดือดโหวเหลียงก็เทลงในกระบอกไม้ไผ่แล้วนำไปให้ตัวฝู “แม่นางตัวฝูทานอะไรสักหน่อยเถิด อย่าปล่อยให้หิวเลย”

“ได้” สายตาของทั้งสองดูตึงเครียด ตัวฝูทานเสร็จเรียบร้อยก็เตรียมตัวนอนนางนอนข้างกายหมิงเวยไม่ห่างไปไหน

พอฟ้ามืดมีลมพัดผ่านทุ่งหญ้าจนเกิดเสียงกรอบแกรบ มีเสียงฝีเท้าที่ดังไม่ชัดปะปนมา โหวเหลียงไม่รู้ว่าตนเองตื่นตั้งแต่เมื่อไร เขานอนอยู่ห่างไกลออกไป มองดูเชิ่งชีที่เดินเข้าใกล้เรื่อยๆ เชิ่งชีมองเขาอย่างดูถูกเขายกกริชในมือขึ้นและแทงไปที่หมิงเวย

“ติง…” มีเสียงลากยาวดังขึ้น ตัวฝูกระโดดขึ้นสกัดกั้นกริชที่พุ่งแทงเข้ามาและฟันข้อมือของเชื่งชีอย่างไม่ลังเล

เชิ่งชีตกใจ แต่โชคดีที่เขาระวังตนเองอยู่ตลอดจึงหมุนตัวกลับได้ทัน

แต่ที่น่าเสียดายก็คือตัวฝูมีพลังมากเกินไปเขารู้สึกชาที่มือจนไม่สามารถถือกริชต่อไปไว้ได้ โชคดีที่เขาหันกลับมาเตะทันเวลา และเตะกริชในมือของตัวฝูออกไป

ทั้งสองประมือกันอย่างรวดเร็ว เพลงยุทธ์ของเชิ่งชีนั้นยอดเยี่ยมและเก่งกาจกว่าตัวฝูมาก แต่ตัวฝูมีพลังมหาศาลกำลังภายในพลุ่งพล่านเพิ่มขึ้นจนอีกฝ่ายไม่สามารถเอาเปรียบได้

ทั้งสองต่อสู้กันตัวต่อตัวล้วนไม่มีใครยอมใครจนต่างฝ่ายต่างล่าถอยออกมา

เชิ่งชีมองนางด้วยความรู้สึกประหลาดใจ “เจ้าไม่ได้ดื่มน้ำนั่นหรือ”

“เคยได้ยินหยกเสวียนหมิงหรือไม่” เสียงที่ไม่ใช่ของตัวฝูดังขึ้นช้าๆ

เชิ่งชีหันหัวกลับไปมอง และเห็นหมิงเวยค่อยๆ ลุกขึ้นจากกองหญ้าใบหน้าของนางยังคงซีดเผือด แต่สติของนางยังคงชัดเจน

นางมองเชิ่งชีด้วยรอยยิ้ม “พี่ชีสุขุมจริงๆ แม้ข้าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ยังเลือกที่จะวางยาพิษก่อน อ้อ ไม่สินั่นไม่ใช่พิษ แต่เป็นยาพิเศษของท่านใช่หรือไม่ ยานี่ทำให้คนไม่สามารถใช้กำลังภายในได้ ยาชนิดนี้หยกเสวียนหมิงสามารถถอนได้พอดีเลย”

…………..