ฉู่สวินหยางพยักหน้า ยิ้มขึ้นบางๆ เดินไปนั่งเก้าอี้
หลัวเถิงเดินขึ้นหน้า ยกขาเตะคนคนนั้นจนกลิ้งตกไปที่พื้น จากนั้นเหยียบลงบนหน้าอกของอีกฝ่ายแล้วพูดอย่างเยือกเย็นว่า “พูดมาเดี๋ยวนี้ ใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ทำไมเจ้าถึงได้กล้าบุกรุกเข้ามาในวังบูรพา แถมยังลอบทำร้ายคนของจวนหลัวกั๋วกงอีก?”
ใบหน้าของชายคนนั้นเจ็บปวดบิดเบี้ยวผิดรูป เขาร้องโอดครวญออกมาเสียงดัง จับหน้าอกของตนเองแล้วร้องอ้อนวอนไปพลาง พยายามดันขาของหลัวเถิงให้ออกไปพลาง ร้องโหยหวนเสียงดังขึ้นว่า “ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด ซื่อจื่อได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย! ข้าน้อยเพียงแค่เห็นแก่เงินจนไม่ทันคิดไป ข้า…ข้าไม่รู้ว่าท่านนี้เป็นคุณหนูของจวนท่าน ข้า…ข้าเพียงแค่อยากนำตัวนางไปแลกเงินเท่านั้น…ข้า…ได้โปรด…ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด! ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
เขาบุกรุกเข้ามาถึงวังบูรพา แถมยังลักพาตัวคุณหนูแห่งจวนหลัวกั๋วกงอีก!
หลัวเถิงเตรียมบทลงโทษสอบสวนอย่างแสนสาหัสเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่า…
อีกฝ่ายกลับยอมรับสารภาพออกมาแบบนี้
หลัวซืออวี่เองก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน
เจี๋ยหงกับชิงเถิงก็จ้องมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความมึนงง
ตอนนั้นเองฉู่สวินหยางก็เผลอหลุดหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่ได้ นางลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไป ก้มมองอีกฝ่าย ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “แล้วใครเป็นคนให้เงินเจ้าแล้วสั่งให้มาลอบทำร้ายคนอื่นที่นี่ล่ะ?”
จากที่ฟังพวกเขาพูดคุยกันเมื่อครู่นี้ ชายคนนั้นก็รู้แล้วว่าฉู่สวินหยางมีฐานะอะไร จึงรีบพูดอย่างร้อนรนว่า “ท่านหญิงขอรับ ข้าน้อยมันหน้าเงิน ข้าน้อยสมควรตายขอรับ เมื่อสองวันก่อนมีหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับท่านคนหนึ่งมาหาข้าน้อย แล้วชี้มาที่แห่งนี้ สั่งให้ข้ามาสอดส่องอยู่ละแวกนี้ในวันนี้ ถึงตอนนั้นให้ลักพาตัวผู้หญิงที่เดินผ่านทางเดินนี้ไปก็พอขอรับ แล้วนางจะให้เงินข้าห้าร้อยตำลึง ข้าเห็นว่ามันไม่ใช่การฆาตกรรม นางบอกแค่ว่า…”
ชายคนนี้เป็นพวกปากไว โพล่งออกมาไม่หยุดโดยไม่รอให้คนอื่นกดดันถามเลยแม้แต่น้อย
แต่เมื่อพูดไปจนใกล้จะจบแล้ว เขากลับหยุดชะงักลง เหลือบตามองหลัวซืออวี่ที่นั่งอยู่บนเตียงทีหนึ่งแล้วพูดว่า “นางบอกให้ข้าน้อยโยนตัวคนผู้นั้นข้ามไปในตรอกด้านนอกก็พอขอรับ!”
หลัวซืออวี่ได้ยินดังนั้น ก็โมโหขึ้นจนหน้าแดงก่ำอย่างไม่รู้ตัว
หลัวเถิงออกแรงเหยียบหน้าอกอีกฝ่ายจนร้องโอดครวญออกมา “เป็นความจริงนะขอรับ! ข้าน้อย…ข้าน้อยพูดความจริงทุกอย่าง อีกอย่าง…ข้าเองก็ยังไม่ทันได้ทำอะไรไปมากกว่านั้นเลยนะขอรับ!”
เขาทำพลาดที่ไม่ยอมทุบศีรษะหลัวซืออวี่ให้สลบ จนบังเอิญเจอเข้ากับซูอี้และเจิงจีเข้า ไม่งั้นคงไม่เกิดเรื่องขึ้น
เพราะฉะนั้น? คนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้อยากจะทำให้หลัวซืออวี่แปดเปื้อนงั้นรึ?
สีหน้าของหลัวเถิงมืดมนลง ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว เขาก้มตัวลงกระชาคอเสื้อของอีกฝ่ายแล้วพูดเสียงดังโมโหว่า “เจ้ามองเห็นหน้าคนที่ว่าจ้างเจ้าคนนั้นหรือไม่?”
“จำได้ขอรับ! จำได้!” ชายผู้นั้นรีบตอบ พยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด
หลัวเถิงกระชากเขาขึ้นมาแล้วลังเลอยู่ชั่วครู่
ทว่าฉู่สวินหยางกลับยิ้มอย่างเข้าใจดี แล้วพูดขึ้นว่า “ท่านพาตัวเขากลับไปเถิด ส่วนคนในจวนของข้าพวกนี้ท่านเองก็วางใจได้ เรื่องทั้งหมดนี้…จะจบลงที่นี่เท่านั้น!”
เพราะฉะนั้นฉู่สวินหยางเองก็รู้เรื่องนี้แล้วสินะ? รู้ว่าเขาสงสัยหลัวเสียงกับหลัวอวี่ก่วน?
สองพี่น้องหลัวเถิงหลัวซืออวี่สบตามองกัน ต่างก็รู้สึกประหลาดใจขึ้น
“ทางพิธีฉลองตรงนั้น ข้าจะไม่โผล่หน้าไปเลยก็ไม่ได้ อย่างไรเสียข้าขอตัวก่อนแล้วกัน!” ฉู่สวินหยางกล่าว ก้มศีรษะให้เล็กน้อยแล้วจากออกมา
เมื่อเดินออกมาจากประตู ใบหน้าของนางก็เย็นชาลงแล้วพูดว่า “ก่อนที่งานพิธีจะจบลงอย่าได้ทำอะไรวู่วามเชียว เจี๋ยหง เจ้าไปบอกเจิงจีว่าให้จัดการเฝ้าดูทุกทางเข้าออก นอกจากแขกที่มาที่งานวันนี้แล้ว คนในจวนของเราที่เหลืออยู่ห้ามปล่อยให้รอดออกไปแม้แต่คนเดียว!”
ทว่าเจี๋ยหงกลับไม่เข้าใจ “ท่านหญิง ท่านสงสัยแม่นางหลัวอวี่ก่วนไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”
“ก่อนที่จะเกิดเรื่องใหญ่แบบนั้นขึ้น สองพี่น้องหลัวเถิงหลัวซืออวี่ก็จับตามองดูทุกกิริยาของนางอยู่ตั้งนานแล้ว!” ฉู่สวินหยางกล่าว “ถึงแม้นางจะหาโอกาสปลีกตัวออกไปว่าจ้างคนอื่นได้ แต่เจ้าคิดว่านางกว้านซื้อข้ารับใช้ในวังบูรพาของเราเพื่อให้ช่วยคอยดูลาดเลาได้อย่างราบรื่นแบบนี้ได้เยี่ยงไร? แถมยังหลอกล่อให้หลัวซืออวี่ติดกับเข้าแบบนี้อีกน่ะ?”
อย่าไปพูดถึงเลยว่าหลัวอวี่ก่วนทำไม่ได้ ไม่ว่าใครหน้าไหน…
การที่คิดจะยื่นมือเข้ามายุ่งจัดการฝ่ายในของวังบูรพานั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยด้วยซ้ำ
ตั้งแต่สองแม่ลูกสกุลเหลยเสียชีวิตไป ทั้งฝ่ายหน้าเรือนและท้ายเรือน เจิงจีกับฮูหยินใหญ่เองก็ดูแลจัดระเบียบใหม่ทั้งหมด ไม่ต้องพูดถึงว่าความปลอดภัยแน่นหนามากขึ้นเท่าใด แค่ผู้คนในนี้ก็ไม่ใช่คนที่ใครคิดจะใช้เงินซื้อตัวพวกเขาให้ทรยศง่ายๆ อยู่แล้ว
เมื่อทำความเข้าใจทุกอย่างจนคิดออก เจี๋ยหงก็ตกใจผวา รีบเก็บสีหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าค่ะ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!”
พูดยังไม่ทันจบนางก็ออกไปอย่างเร่งรีบ
สีหน้าของฉู่สวินหยางเย็นชาเคร่งขรึมจ้องมองทิศทางที่อีกฝ่ายเพิ่งเดินทางออกไปอยู่ชั่วครู่ จากนั้นค่อยก้าวขาเดินไปด้านหน้าต่อ
——————————
ภายในห้อง
เมื่อฉู่สวินหยางเดินออกไป หลัวเถิงก็รีบสั่งให้คนสนิทข้างกายลากตัวชายผู้นั้นออกไปด้านนอกแล้วจับตาดูเขาไว้
หลัวซืออวี่ขบกัดริมฝีปากนั่งอยู่บนเตียง สีหน้าของนางแฝงไปด้วยความกังวล ดูแล้วช่างเหี่ยวเฉาไม่มีชีวิตชีวาเอาเสียเลย
หลัวเถิงสูดหายใจเข้าลึก ในขณะที่หันหน้ามองนาง นางกลับยิ้มขึ้นมาอย่างเศร้าโศกพลางพูดประชดประชันขึ้นว่า “ครั้งนี้ข้าตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดเลยใช่ไหมล่ะเจ้าคะ?”
จากความฉลาดเฉลียวของนาง ทำไมนางจะดูไม่ออกว่ามีคนตั้งใจล่อนางมาทางนี้?
แต่นางแค่มั่นใจว่านั่นเป็นแผนการของหลัวอวี่ก่วน นางเลยสนองให้แผนนั่นสำเร็จจึงทำท่าว่าตกหลุมพรางเข้า ถึงตอนนั้นซูอี้จะไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นทันเวลา นางเองก็มิได้หวาดกลัว เพราะนางเตรียมปิ่นปักผมเอาไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว นางคิดจะถือโอกาสตอนที่ชายคนนั้นอุ้มตัวนางขึ้น กำลังจะทิ่มเขาลงไปบนคอของอีกฝ่าย
ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ล้วนแอยู่ในแผนการของนางอยู่แล้ว
หลัวเถิงเองก็รู้จักเข้าใจนางเป็นอย่างดี ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ตอนที่เขาได้ยินเรื่องจากที่ข้ารับใช้ของฉู่สวินหยางเล่ามา เขาก็เดาออกแต่แรกแล้วว่าหลัวซืออวี่จะต้องเล่นตามน้ำตามแผนของอีกฝ่ายไปแน่นอน
ดังนั้นตอนนั้นเขาถึงควบคุมอารมณ์ของตนเอาไว้ไม่ได้
“เจ้า…” หลัวเถิงอ้าปาก แต่เมื่อมองน้องสาวของตนแล้ว สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรออกมา เขาเพียงถอนลมหายใจ แล้วนั่งลงข้างเตียง “เจ้าคิดจะยืมมือวังบูรพากำจัดหลัวอวี่ก่วนทิ้งรึ?”
“หากพวกเราสกุลหลัวจัดการนางเอง มันจะอันตรายเกินไป!” หลัวซืออวี่กล่าวด้วยสีหน้าแววตาซับซ้อนดูไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่
หากเรื่องที่หลัวอวี่ก่วนวางแผนจัดการนางในวังบูรพาถูกเปิดโปงขึ้น ทางฝั่งวังบูรพาเองก็จะนิ่งนอนใจอยู่เฉยๆ คงไม่ได้ ถึงตอนนั้นไม่ว่ากลัวอวี่ก่วนจะแก้ตัวเยี่ยงไร สุดท้ายก็ต้องถูกจัดการอยู่ดี
แต่เมื่อตอนนี้มาคิดดูแล้ว…
ราวกับว่าเรื่องนี้คงไม่ได้เป็นอย่างที่นางคิด
“เจ้าคิดมากเกินไปหรือเปล่า” หลัวเถิงกล่าว ถึงจะพูดตำหนิแต่น้ำเสียงนั้นอ่อนโยน ทว่าแอบแฝงไปด้วยความ รู้สึกเสียดายและขมขื่นอยู่เล็กน้อย “หากเรื่องนี้ไม่ได้เป็นฝีมือของหลัวอวี่ก่วน เป็นเพียงแค่แผนการที่เจ้าคิดจะใช้โอกาสนี้จัดการนางอย่างเดียวล่ะก็…หากองค์รัชทายาทหรือท่านหญิงสวินหยางรู้เข้าแล้ว เจ้าเคยคิดถึงผลที่ตามมาบ้างไหม?”
นิสัยของฉู่อี้อันเด็ดเดี่ยวน่าเกรงขาม เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น
ส่วนนิสัยของฉู่สวินหยาง หลัวเถิงไม่ค่อยรู้ดีเท่าไรนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหญิงสาวคนนี้ต่างจากคนอื่น เมื่อเกิดเรื่องใหญ่โตอะไรขึ้นนางมักจะให้ความรู้สึกชั่วร้ายดุดันมากเหลือเกิน
หากหลัวซืออวี่คิดอยากจะยืมมือพวกเขาฆ่าคนล่ะก็…
ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่ได้เป็นแผนการของหลัวซืออวี่ทั้งหมด แต่ยากที่จะรับประกันได้ว่าฉู่อี้อันและฉู่สวินหยางไม่คิดสงสัยอะไรเพิ่ม
หลัวซืออวี่ยิ้มขมขื่น “ดูจากสีหน้าของนางเมื่อครู่แล้ว นาง…น่าจะรู้แล้วล่ะ!”
จู่ๆ หลัวเถิงก็หยุดนิ่งลง ฉับพลันก็รู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา” หลัวเถิงตั้งสติแล้วพูดขึ้น จากนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังขึ้นมา “ในเวลานี้ มีคนของข้าสอดแนมจับตามองหลัวเสียงกับหลัวอวี่ก่วนเอาไว้อยู่นานแล้ว หากเรื่องนี้เป็นแผนการของพวกเขาคนใดคนหนึ่งจริง นางก็ไม่มีทางปิดบังไว้ได้มิดชิดโดยที่คนของข้าไม่รู้แน่นอน”
“งั้นใครเป็นคนประสงค์ร้ายกับพวกเราเล่า?” หลัวซืออวี่พูด จู่ๆ ก็รู้สึกหวาดกลัวจนเสียวสันหลัง
เดิมทีนางเป็นคนเงียบๆ นอกจากจะไม่ถูกกับหลัวอวี่ก่วนแล้ว ส่วนเรื่องความสัมพันธ์กับผู้อื่นไม่ว่าจะนอกบ้านหรือในบ้าน นางเองก็มีมิตรสัมพันธ์ที่ดี อย่างน้อยนางก็รับประกันได้ว่า…
ไม่มีใครมีเหตุผลที่จะวางแผนจัดการนางได้!
“ไม่รู้สิ!” หลัวเถิงนึกคิดอยู่พักหนึ่งก็คิดไม่ตก “เรื่องนี้มันแปลกมาก ข้าว่าไม่ต้องรอให้กลับไปถึงจวนแล้วค่อยสืบหรอก เดี๋ยวเรามาหาตัวคนที่ก่อเหตุให้ได้ เรื่องนี้…”
ในระหว่างที่เขาพูดอยู่จู่ๆ ก็หยุดพูดไป หันมองหลัวซืออวี่ แล้วถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แล้วพูดขึ้นว่า“เราจัดการสืบผู้ต้องสงสัยคนนั้นต่อหน้าท่านหญิงสวินหยางเถอะ พวกนางเองจะได้ไม่เกิดข้อกังขากับพวกเราด้วย”
“เจ้าค่ะ!” หลัวซืออวี่พยักหน้า นางเองก็รู้สึกกังวลอยู่เหมือนกัน
————————————