หลัวเถิงไม่ได้เสียเวลาอยู่ที่นี่นานนัก เมื่อเกิดเหตุขึ้นไม่นานเขาก็กลับไปที่พิธีฉลองต่อ
งานพิธีฉลองจัดขึ้นตั้งแต่ตอนกลางวันจนถึงตอนกลางคืน แขกที่มางานแต่ละคนต่างก็มีความสุขอย่างถ้วนหน้า
เวลาล่วงเลยมาถึงยามพระอาทิตย์ตก ขบวนขันหมากของสกุลเหยาเองก็ส่งเสียงร้องมาถึงที่ เมื่อพิธีการอันยาว นานเสร็จสิ้นลง ฉู่เยว่หนิงก็ขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวของสกุลเหยา จากนั้นก็ถูกยกออกจากประตูวังบูรพาไป
หลัวเถิงเองก็ถือโอกาสตอนที่แขกออกไปยืนดูพิธีการอยู่นั้น ก็แอบพาตัวชายผู้นั้นออกมาอยู่ที่ลับสายตาคน เพื่อให้เขามาชี้ตัวยืนยันข้ารับใช้คนนั้นของหลัวอวี่ก่วน
ถึงแม้จะเป็นเวลากลางคืน แต่เนื่องด้วยต้องจัดพิธีมงคลฉลอง ทั้งวังบูรพาเลยประดับตกแต่งไปด้วยโคมไฟอยู่ทั่วทุกสารทิศ ทำให้มีแสงสว่างทัศนียภาพสดใส
คนคนนั้นหดคอลงแล้วหันซ้ายหันขวามอง แต่สุดท้ายกลับส่ายหัวอย่างหนักแน่นมั่นใจ “ไม่ใช่ขอรับ!”
เป็นอย่างที่คิด…
ไม่ใช่หลัวอวี่ก่วนสินะ?
งั้นจะเป็นฝีมือใครเล่า ใครคนไหนที่มีความแค้นฝังหุ่นกับสกุลหลัวของพวกเขาแบบนี้กัน ใครที่ริอาจหาญกล้าลอบทำร้ายหลัวซืออวี่ในพื้นที่ของวังบูรพากัน?
หลัวเถิงคิดวิเคราะห์จนหัวแทบจะระเบิด ในขณะที่กำลังจะพาตัวเขากลับเข้าไป คนคนนั้นกลับเบิกตามองโพลงเป็นประกาย ชี้นิ้วไปทางนั้นแล้วพูดว่า “เป็นนางคนนี้ขอรับ! นางเป็นคนที่ให้เงินข้าขอรับ!”
หลัวเถิงดึงสติกลับมาแล้วเงยหน้าขึ้น รีบมองตามไปยังร่างของหญิงคนนั้นที่ปรากฏตัวขึ้นอยู่ในโถงบุปผานั่น แต่เนื่องด้วยระยะห่างไกลพอสมควร แถมนางยังเดินไวมาก ไม่ต้องพูดถึงหน้าตาเลย แค่นางใส่ชุดอะไรก็ยังมองเห็นไม่ชัด กว่าเขาจะแทรกตัวเข้าไปได้ตอนนั้น นางก็หายตัวไปแล้วไม่เห็นแม้แต่เงา
เมื่อหลัวเถิงกลับมาก็ให้คนสนิทข้างกายจับตัวคนคนนั้นเอาไว้ แล้วรีบไปหาฉู่สวินหยาง
“ท่านบอกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการลอบทำร้ายแม่นางหลัวซืออวี่อยู่ที่จวนของข้าตอนนี้รึ?” ฉู่สวินหยางถาม
“ขอรับ!” หลัวเถิงกล่าวตอบ แล้วทุบกำปั้นลงบนโต๊ะอย่างน่าเสียดาย “เสียดายที่ข้าลงมือช้าไปเลยจับตัวมันไว้ไม่ได้ ข้ามีไปถามเพิ่มอีก แต่ว่าลักษณะที่คนคนนั้นบอกมา มันไม่มีอะไรพอที่จะชี้ตัวคนร้ายได้เลย หากเขาไม่ได้เจอกับตาอีกครั้งเกรงว่าคงยากที่จะสืบค้นตัวอีกฝ่ายได้ขอรับ”
ในเมื่อคนที่ลงมือจัดการหลัวซืออวี่ไม่ใช่หลัวอวี่ก่วน งั้นเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเขาสกุลหลัวแล้ว แต่กลับกลายเป็นเรื่องที่ทางวังบูรพาต้องรับผิดชอบ
“ข้ารู้แล้ว!” ฉู่สวินหยางเม้มปากคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็คิดหาวิธีออกได้อย่างว่องไว “งั้นเจ้าทิ้งชายคนนั้นไว้ที่นี่เถิด เดี๋ยวเรื่องนี้ทางวังบูรพาจะจัดการรับผิดชอบให้ถึงที่สุดเอง ข้าจะสืบหาคำตอบที่พึงพอใจแก่แม่นางหลัวซืออวี่รวมทั้งจวนหลัวกั๋วกงมาให้พวกท่านให้ได้!”
วิธีการจัดการอันเด็ดเดี่ยวและว่องไวเยี่ยงนี้มันช่างไม่เข้ากับอายุและหน้าตาของคนตรงหน้าเลย หลัวเถิงมองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะควบคุมสติไว้ไม่อยู่
ผู้หญิงคนนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นเหลือเกิน
นางทั้งสวยงามดูสง่า แถมยังดื้อรั้นเจ้าเล่ห์ แต่ตอนนี้…
ตอนที่ทำท่าทางเอาจริงเอาจังขึ้นมา มันช่างเป็นภาพที่น่าตกใจเหลือเกิน ทำให้คนที่มองอยู่ไม่สามารถละสายตาไปได้เลย
ฉู่สวินหยางเองก็ง่วนอยู่กับเรื่องของหลัวซืออวี่เลยไม่ได้สนใจเขาเท่าไรนัก แต่ทว่าเมื่อรู้สึกตัวขึ้นได้ ก็เห็นหลัวเถิงจ้องมองตนอย่างเหม่อลอยอยู่
นางจึงโบกมือขึ้นไปมาตรงหน้าอีกฝ่าย “ทำไมรึ? บนหน้าข้ามีอะไรติดอยู่งั้นหรือ?”
“เปล่าขอรับ!” หลัวเถิงลุกลี้ลุกลน กระแอมไอแก้เขิน
“งั้นข้าไปก่อนล่ะ ไว้เดี๋ยวแจ้งข่าวให้ท่านรับรู้อีกที” ฉู่สวินหยางยิ้ม ลุกขึ้นยืนแล้วจากออกไป
“ท่านหญิง!” หลัวเถิงรีบตัดสินใจอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็เข้าไปขวางนางเอาไว้อย่างอดไม่ได้
“มีเรื่องอะไรอีกรึ?” ฉู่สวินหยางเงยหน้าขึ้นพลางมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย
“เรื่องนี้…” หลัวเถิงพูดไป ก็หยุดคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นถึงค่อยตัดสินใจพูดออกมาอย่างจริงจังว่า “เพราะความสะเพร่าของหลัวซืออวี่ทำให้พวกท่านลำบากแล้ว!”
ฉู่สวินหยางตกใจชะงัก แต่ก็เข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างในทันที
นางเองก็ใช่จะไม่เคยเห็นแผนการของหลัวซืออวี่ แผนโง่เขลาเยี่ยงนั้น แค่ฟังก็รู้แล้วว่ามันมีช่องโหว่ หลัวซืออวี่เองก็ไม่ได้โง่ถึงขั้นตกหลุมพรางง่ายๆ หรอก?
แต่การที่หลัวเถิงมาสารภาพกับนางต่อหน้าแบบนี้ ทำให้นางรู้สึกคาดไม่ถึงเหลือเกิน
ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะทำไปเพราะไม่รู้ตัว แต่นางก็เกลียดการที่ต้องเป็นเบี้ยให้คนอื่นหลอกใช้
เพราะเหตุนั้นฉู่สวินหยางจึงเพียงยิ้มอย่างเยือกเย็นเป็นคำตอบให้อีกฝ่ายไปก็เท่านั้น แล้วเดินมุ่งหน้าจากไป ทว่าเดินไปได้สองก้าว จู่ๆ ก็เหมือนคิดอะไรออกจึงพูดขึ้นว่า “ข้าขอยืมตัวแม่นางหลัวซืออวี่หน่อยได้หรือไม่ เดี๋ยวอีกสักพักข้าให้คนพาตัวนางไปส่งคืนท่านเอง!”
ในระหว่างที่พูดอยู่ตัวนางก็เดินจากออกไปไกลพอสมควรแล้ว
หลัวเถิงยืนอยู่หน้าประตูโถงบุปผาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม มองแผ่นหลังอีกฝ่ายจนลับสายตาไปแล้วก็ยังไม่เบนสายตาออกไปที่อื่น
เมื่อเกี้ยวถูกยกออกไปนอกประตู ภายในงานพิธีฉลองก็ดำเนินไปต่อเพียงแค่ครึ่งชั่วยาม บรรยากาศก็เริ่มซาลง
จากนั้นแขกที่มางานก็ค่อยๆ แยกย้ายกันกลับจวนไป
หลัวเถิงกับเจี๋ยหงจับตัวคนคนนั้นให้แฝงตัวอยู่ในสถานการณ์ชุลมุนวุ่นวายตรงหน้าประตูใหญ่ เพื่อที่จะได้สังเกตดูหญิงสาวที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ลอบกัดนั้น ในขณะที่ผู้คนกำลังออกจากจวนอีกครั้ง
สุดท้าย…
หลัวเถิงตัดดสินใจตามสืบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด โดยไม่ได้ปล่อยให้วังบูรพาจัดการเองทั้งหมดอยู่ฝ่ายเดียว
สิ่งแรกที่ฉู่สวินหยางทำหลังจากเสร็จงานพิธีก็คือ เรียกให้ข้ารับใช้หญิงทุกคนในจวนไปที่เรือนของนาง
ในขณะเดียวกันตอนนั้นงานเลี้ยงก็เพิ่งเลิกไม่นาน แขกก็กำลังทยอยกลับออกไปกัน แต่ก็ยังกลับออกไปไม่หมดเสียทีเดียว
และนั่นก็เป็นช่วงเวลาที่พวกข้ารับใช้ยุ่งมากที่สุด แต่จู่ๆ พวกสาวรับใช้ก็ถูกเรียกตัวไปโดยที่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร แต่พวกนางเองก็ขัดคำสั่งนั้นไม่ได้ สุดท้ายก็รีบไปตามคำสั่งนั้นอย่างร้อนรน
เมื่อพวกนางไปถึงกลับไม่เห็นแม้แต่การปรากฏตัวขึ้นของฉู่สวินหยาง คนที่รีบร้อนเรียกให้พวกนางมารวมตัวกัน ไปถึงก็เพียงแค่ให้พวกนางยืนเรียงกันเป็นแถว สักพักก็สั่งให้ข้ารับใช้อีกคนบอกให้พวกนางกลับไปได้
ภายในห้อง ด้านหลังหน้าต่างบานนั้น เฉี่ยนลวี่กำลังให้หลัวซืออวี่ค่อยๆ ไล่ดูข้ารับใช้ทีละคน เพื่อที่จะชี้ตัวข้ารับใช้คนที่ส่งข่าวปลอมให้หลัวซืออวี่คนนั้นออกมา
ฉู่สวินหยางเองก็นั่งดื่มชาอยู่ในห้องรอคำตอบเช่นกัน
ชิงเถิงชะเง้อคอมองออกไปด้านนอกแล้วพูดขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า “ท่านหญิงเจ้าคะ ตอนนี้ทั้งฝั่งหน้าเรือนและท้ายเรือนกำลังยุ่งชุลมุนอยู่เลย จู่ๆ ท่านก็เรียกให้พวกนางมาแบบนี้ ไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นหรอกหรือเจ้าคะ?”
“ข้าตั้งใจจะแหวกหญ้าให้งูตื่นอยู่นั่นแหละ!” ฉู่สวินหยางโอบถ้วยชาในมือแล้วยิ้มออกมาบางๆ พูดว่า “ไม่แน่อาจจะมีใครตกใจเข้าจนสารภาพผิดออกมาเองก็ได้นะ?”
ชิงเถิงมุ่ยปาก นางรู้ดีว่าเถียงอย่างไรก็ไม่ชนะอีกฝ่าย ก็เลยเงียบไปไม่เถียงต่ออีก
ฉู่สวินหยางดื่มชาหมดไปหนึ่งถ้วย จากนั้นก็เชิดคางชี้ออกไปด้านนอก “ยังเหลืออีกกี่คน?”
“ใกล้หมดแล้วเจ้าค่ะ เหลือแค่ข้ารับใช้คนสนิทข้างกายของเจ้านายแต่ละเรือนก็หมดแล้วเจ้าค่ะ” เฉี่ยนลวี่กล่าว “ให้เรียกเข้ามาหรือไม่เจ้าคะ?”
เจ้านายภายในวังบูรพาทั้งหลายพวกนั้น ถ้าสมองไม่ได้วิปริตไป ก็ไม่มีใครหน้าไหนใช้เงินซื้อตัวคนอื่นเพื่อมาก่อการร้ายในจวนของตัวเองหรอก
ที่จริงแล้วคนพวกนั้นจะเรียกมาดูหรือไม่มันก็ไม่ต่างกันหรอก
“เรียกมาเถอะ!” ฉู่สวินหยางพูดขึ้นเสียงเบา
เฉี่ยนลวี่ตกใจชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้ารับทราบแล้วออกไป
——————————————-