บทที่ 45.4 แค่จับตัวผิดคนงั้นหรือ? (4)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

ณ เรือนจิ่นเซ่อ

ฉู่เยว่ซินเดินไปเดินมาอยู่ในห้องไม่หยุด มองชะเง้อออกไปด้านนอกเป็นพักๆ

เวลาผ่านไปนานด้านนอกจะมีเสียงฝีเท้าคนดังขึ้น

นางเองก็ตื่นเต้นกดดัน รีบเดินไปเปิดประตูออก

จากนั้นก็มีหญิงในเสื้อผ้าอันสง่างามลากตัวข้ารับใช้หญิงนางหนึ่งเดินเข้ามา

ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นสวยสดงดงาม ท่วงท่าการกระทำไม่ธรรมดา แต่สัมผัสได้ว่านางคงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เพราะตอนเข้ามาหน้าบึ้งอึมครึมเป็นอย่างมาก

เมื่อเดินเข้ามานางก็ไม่เห็นหัวใคร เลยเดินตรงดิ่งเข้าไปนั่งบนตำแหน่งเก้าอี้ของผู้เป็นนายทันที

ฉู่เยว่ซินเองก็หาได้สนใจที่จะได้ว่าการกระทำที่แย่งที่นั่งตำแหน่งของตนหรือไม่ นางเพียงเดินตามเข้าไปแล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าร้อนรนว่า “พระชายาเจ้าคะ ตอนนี้ท่านบอกข้าได้แล้วหรือยังเจ้าคะว่าก่อนหน้านี้พระชายายืมเสื้อผ้าของข้ารับใช้ไปทำอะไรกันแน่?”

 ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นที่ไหนเลย แต่เป็นหนึ่งในสี่พระชายาของฮ่องเต้หรือชิ่งเฟยคนแซ่หลิวนั่นเอง

“งานเลี้ยงด้านหน้านั้นเสร็จสิ้นไปแล้ว เจ้าอุตส่าห์เรียกข้ามาเพื่อถามเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ?” ชิ่งเฟยพูดขึ้นอย่างไม่พอใจพลางขมวดคิ้วอย่างอารมณ์เสีย

“เมื่อครู่ฉู่สวินหยางเพิ่งรับสั่งให้ข้ารับใช้หญิงทุกคนไปตักเตือนที่เรือนของนาง!” ฉู่เยว่ซินกล่าว ร้อนใจจนเหงื่อเต็มมือ

แต่นางไม่ได้โง่ นางรู้อยู่แล้วว่าฉู่สวินหยางไม่ได้เรียกข้ารับใช้พวกนั้นไปตักเตือนหรอก

อีกอย่างเรื่องมันก็ช่างบังเอิญเกิดขึ้นหลังจากที่ชิ่งเฟยยืมชุดข้ารับใช้ของนางไปพอดีตอนนั้น

แสดงว่าระหว่างพวกนางทั้งสองต้องมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกันเป็นอย่างแน่นอน

ตอนที่ชิ่งเฟยมาขอยืมนางก็พอจะรู้อยู่แล้วว่า ชิ่งเฟยต้องการจะทำอะไรกันแน่ แต่อีกฝ่ายรับประกันว่าจะไม่ให้สาวมาถึงตัวนางแน่นอน แถมด้วยฐานะสถานภาพของอีกฝ่ายทำให้นางเองก็ปฏิเสธไม่ได้ เลยจำใจให้นางยืมเสื้อผ้าไป

นางร้อนรนใจอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

เมื่องานเลี้ยงจบลงนางถึงค่อยโล่งอก แต่ฝั่งฉู่สวินหยางนั้นก็มีเรื่องเกิดขึ้นอีก

ชิ่งเฟยเองก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น จู่ๆ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป แล้วพูดขึ้นอย่างร้อนใจว่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร?”

“เมื่อครู่นี้เองเจ้าค่ะ!” ฉู่เยว่ซินกล่าว “ขนาดคนของข้ายังถูกเรียกตัวไปเลย ท่าน…อย่าบอกนะเจ้าคะ…ว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับท่านน่ะ เป็นเพราะ…เรื่องที่พระชายายืมชุดจากข้าไปใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

ชิ่งเฟยสับสนร้อนรนใจอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็ตั้งสติแล้วปรายตามองนางกำนัลข้างกายหลานซีหนึ่งที

หลานซีรู้ตัวดีว่าจัดการเรื่องได้ไม่สำเร็จ ก็รู้สึกผิดจนรีบก้มหัวมุดหน้าลงไป

“นางจะสืบก็ปล่อยให้นางสืบไปเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็สืบไม่เจออะไรอยู่แล้ว!” ชิ่งเฟยกล่าวแล้วถอนหายใจออกมาอย่างไม่สนใจไยดี

ฉู่เยว่ซินคิดดูแล้วก็เห็นด้วยเยี่ยงนั้น แต่นางก็ยังไม่วางใจ “แต่ฉู่สวินหยาง…นางไม่ได้เป็นคนที่จะต่อกรได้ง่ายๆ นะเจ้าคะพระชายา ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจท่านนะเจ้าคะ แต่ว่า…”

นางพูดพลางก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้ากังวลออกมา “เดิมทีข้าอยู่ในจวนแห่งนี้ก็ไม่ได้มีข้อได้เปรียบมากสักเท่าไรพระชายาท่านอย่าได้ถ่วงให้ข้าตกต่ำไปกว่านี้เลยนะเจ้าคะ!”

“เจ้ากลัวอะไรเล่า?” ชิ่งเฟยดำรงอยู่ในตำแหน่งสูงส่งมานาน เมื่อเห็นสีหน้าหวาดกลัวระแวดระวังภัยของนางเข้าก็รู้สึกไม่ชินตาเสียเลย

ฉู่เยว่ซินกัดฟัน

ที่จริงนางคิดจะปฏิเสธการช่วยเหลือตั้งแต่ตอนที่พระชายามาขอนางแล้ว ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นถึงพระชายาก็ตาม แต่อย่างไรก็ไม่ใช่ฮองเฮาเสียหน่อย อีกอย่างฉู่อี้อันเองก็มีอิทธิพลมากนัก ถึงแม้ชิ่งเฟยจะโกรธเกลียดนางเพราะนางไม่ให้ความร่วมมือ อีกฝ่ายก็ทำอะไรนางมากไม่ได้

แต่ด้วยความที่นางใช้ชีวิตแบบนี้มานานเหลือเกิน จนทำให้ทุกวันนี้นางมีความคิดอื่น นางก็อดไม่ได้ที่จะคิดหาที่พึ่งหนทางใหม่ให้ตัวเอง

“พระชายามาขอให้ข้าช่วยแบบนี้ แสดงว่าท่านเองก็ให้เกียรติข้าเหมือนกัน ข้ารู้ดี เพราะฉะนั้นข้าจะช่วยท่านปิดบังเรื่องนี้จนถึงที่สุดเจ้าค่ะ” นางตัดสินใจอย่างรวดเร็วแล้วพูดขึ้น “แต่พระชายาเจ้าคะ ท่านจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าท่านทำอะไรลงไปกันแน่?”

“เจ้าถามไปทำไม?” ชิ่งเฟยรู้สึกแปลกใจสงสัยขึ้นมาทันที จนทำให้น้ำเสียงสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ดวงตาของฉู่เยว่ซินเองก็เบิกกว้างอย่างไม่รู้ตัว มองท่าทีของอีกฝ่ายที่แปลกประหลาดไปจากเดิม

ชิ่งเฟยพูดไปแล้วก็หยุดนิ่งอยู่ชั่วครู่ หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดมุมปากลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “เอาเป็นว่าเจ้าเป็นคนช่วยข้ากระทำเรื่องนี้ไปได้อย่างราบรื่น ข้าจะจำความดีความชอบของเจ้าเอาไว้ ส่วนเรื่องอื่น…เจ้าไม่ต้องสนใจให้มากความหรอก!”

พูดพลางก็ก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอก

ฉู่เยว่ซินอยากจะรั้งเอาไว้แต่ก็ลังเลไม่กล้า ในขณะที่นางกำลังลังเลอยู่นั้นสาวรับใช้ที่อยู่ด้านนอกก็ผลักประตูเข้ามาอย่างร้อนรน ด้วยความที่รีบเข้ามาและไม่รู้ว่าฉู่เยว่ซินมีแขกอยู่ นางเลยเกือบชนชิ่งเฟยเข้าอย่างจัง

 “โอ๊ย…” สาวรับใช้คนนั้นร้องขึ้นเสียงเบา แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือชิ่งเฟยก็อึ้ง จากนั้นก็รีบมองฉู่เยว่ซินอย่างมีพิรุธ แล้วถึงค่อยรู้สึกตัวตั้งสติขึ้นได้รีบไปคุกเข่าขอโทษ “พระชายาได้โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย ข้าน้อยไม่ทันระวังถึงได้เดินชนท่าน!”

“ลุกขึ้นมาเถอะ!” ฉู่เยว่ซินกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางไม่พอใจ

สาวรับใช้คนนั้นลุกขึ้นมาแล้วเหลือบตามองชิ่งเฟยอย่างมีพิรุธอีกครั้ง

ฉู่เยว่ซินเดินเข้าไปหานางแล้วถามว่า “เจ้ารีบร้อนขนาดนี้มีเรื่องอะไร? เจ้าไปหาฉู่สวินหยางมาไม่ใช่งั้นหรือ?”

“ใช่เจ้าค่ะ!” สาวรับใช้นางนั้นตอบด้วยใบหน้างุนงง “แต่ทว่าท่านหญิงสวินหยางยังไม่ทันปรากฏตัวขึ้นก็ไล่ให้พวกข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ”

ฉู่เยว่ซินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกวางใจ ถอนหายใจออกมาพร้อมกันกับชิ่งเฟยโดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ตัว

แต่สาวรับใช้คนนั้นยังพูดต่ออีกว่า “เมื่อกี้ท่านหญิงมีรับสั่งอีกว่าพรุ่งนี้ให้ข้ารับใช้ทุกคนไปช่วยงานฮูหยินใหญ่เพื่อเตรียมป้ายอันใหม่ เพราะงานเลี้ยงเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ของท่านหญิงสี่จะจัดขึ้นอย่างใหญ่โต!”

“จัดขึ้นอย่างใหญ่โตเชียวรึ?” เดิมทีฉู่อี้อันเป็นคนไม่ชอบเป็นจุดสนใจของผู้คน เวลาจัดงานอะไรก็ไม่ชอบทำให้เรื่องใหญ่โต แต่งานแต่งงานของฉู่เยว่หนิงครั้งนี้ยิ่งใหญ่มโหราฬแบบนี้ คงเป็นเพราะช่วงนี้ฮ่องเต้อารมณ์ดีเลยรับสั่งให้ทำกระมัง

ก็แค่พิธีกลับมาเยี่ยมญาติผู้ใหญ่เท่านั้น อีกอย่างพิธีการแต่งงานออกเรือนของฉู่เยว่หนิงก็หาได้โดดเด่นยิ่งใหญ่อะไรเลย ทำไมถึงต้องจัดงานอย่างยิ่งใหญ่แบบนี้ด้วยเล่า?

“เป็นความต้องการของท่านพ่อรึ?” ฉู่เยว่ซินขมวดคิ้ว แล้วรู้สึกไม่พอใจอยู่เนืองๆ

“ไม่รู้เจ้าค่ะ แต่ในเมื่อท่านหญิงสวินหยางพูดมาแบบนี้ น่าจะเป็นเรื่องจริงมากกว่าแปดส่วนเลยทีเดียวเจ้าค่ะ” สาวรับใช้คนนั้นกล่าวตอบ

ในระหว่างที่ฉู่เยว่ซินกำลังคิดเรื่องเหตุการณ์นี้อยู่ ชิ่งเฟยเดิมจะเดินออกไปก็ไม่ออกไปแล้ว นางกะพริบตาแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง

ฉู่เยว่ซินมองสีหน้าของอีกฝ่ายก็รู้สึกตัวขึ้นได้ทันที “พระชายาเจ้าคะ…”

ชิ่งเฟยชั่งใจอยู่สักพักจากนั้นก็พูดกับสาวรับใช้คนนั้นว่า “เจ้าออกไปก่อนเถอะ ปิดประตูด้วยล่ะ ข้ามีธุระจะคุยกับฉู่เยว่ซิน”

—————————————————–