หมิงเวยหัวเราะ “ท่านโหวเพิ่งนึกขึ้นได้หรือ”
โหวเหลียงร้องไห้พลางพยักหน้าในเวลานี้เขาไม่ลืมที่จะแสดงความจงรักภักดี “แม่นางหมิง ท่านก็เห็นว่าขนาดข้าทานยาพิษไปยังลืมเพียงเพราะมีใจอยากปกป้องพวกท่าน ท่านเห็นถึงความจริงใจของข้าหรือไม่”
หมิงเวยตอบ “เห็น”
“ท่านจะไม่มองข้าเป็นคนนอกอีกแล้วใช่หรือไม่”
“แน่นอน”
“เมื่อกลับเกาถาง ข้าขอมีเรือนส่วนตัวเหมือนนายท่านสวนได้หรือไม่”
“ได้”
“แล้วเรื่องงานในห้องหนังสือ…”
“อย่าได้คืบจะเอาศอก!” ตัวฝูพูดเสียงหอบ “ห้องหนังสือของคุณชายหยาง ขนาดคุณหนูยังไม่สามารถเข้าไปได้ง่ายๆ เลย!”
โหวเหลียงรีบยิ้มประจบ “ใช่ๆๆ ข้าใจร้อนไปหน่อยแม่นางช่วยข้าได้หรือไม่”
หมิงเวยถาม “ท่านเข้าใจวิชาการแพทย์เหตุใดไม่จับชีพจรตนเองเล่า”
โหวเหลียงร้องไห้พลางตอบว่า “แพทย์สามารถรักษาผู้อื่นได้ แต่ไม่สามารถรักษาโรคของตนเองได้ ข้ายังไม่เชี่ยวชาญในวิชาการแพทย์จะจับชีพจรตนเองถูกต้องได้อย่างไร”
หมิงเวยยิ้ม “ท่านทานยาพิษไปนานเพียงใดแล้ว”
“อืม…หนึ่งชั่วยามกว่าได้”
“มากกว่าหนึ่งชั่วยาม แต่ท่านยังสามารถยืนได้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่พิษเฉียบพลัน” หมิงเวยพูดช้าๆ “ดูจากใบหน้าที่แดงของท่านการออกเสียงยังชัดเจน คงไม่ใช่ยาพิษหรอก”
โหวเหลียงกังวล “แต่ข้าทานยาพิษไปจริงๆ แล้วก็ปวดท้องด้วย แม่นางช่วยดูให้หน่อยได้หรือไม่”
“ได้” หมิงเวยตรวจเส้นเลือดของเขาอย่างสุดความสามารถ สักพักนางก็ดึงมือออกมา
โหวเหลียงถามอย่างประหม่า “เป็นอย่างไรบ้างเป็นพิษอะไรหรือ แก้พิษได้หรือไม่”
หมิงเวยถอนหายใจแล้วถาม “ตอนนี้ท่านรู้สึกอยากปลดทุกข์หรือไม่”
โหวเหลียงรีบพยักหน้า “ใช่”
“พิษนั้นมีกลิ่นเหม็นหรือไม่”
โหวเหลียงพยายามนึก “เขายัดมันเข้าปากข้ายังไม่ได้ลิ้มรสมัน แต่พอกลืนเข้าไปแล้วรู้สึกเลี่ยนและคลื่นไส้เล็กน้อย”
หมิงเวยเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
โหวเหลียงกังวลมากจนแทบจะคุกเข่าอ้อนวอนนาง “แม่นางหมิง! เห็นแก่ที่ข้ามีส่วนช่วยเหลือในเส้นทางนี้ช่วยชีวิตข้าด้วยเถอะ!”
ในที่สุดหมิงเวยก็หัวเราะออกมาดังๆ แต่เพราะอาการบาดเจ็บภายในทำให้นางต้องกดหน้าอกเพื่ออดกลั้นเอาไว้ “วางใจเถอะ ท่านไม่ตายหรอก”
“อะไรนะ”
“อาการที่ท่านเป็นน่าจะเป็นอาการท้องร่วง ลองคิดดูสิสิ่งที่ท่านกินเข้าไปน่าจะเป็นของสกปรก เชิ่งชีติดตามพวกเราเป็นเวลาหลายวันทั้งตัวเขามีแต่กลิ่นเหม็น คงไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน อาจเป็นเพราะเขาเลือกวัสดุทองถิ่นมาขัดสิ่งสกปรกออกจากตัว…ท้ายที่สุดแล้วพิษใช้การไม่ได้การใช้มันกับท่านอาจสูญเปล่า”
โหวเหลียงค่อยๆ จ้องมองไปที่ศพของเชิ่งชี และเห็นว่าผิวหนังที่เปลือยเปล่าที่คอของเขาถูกปกคลุมด้วยสิ่งสกปรกหนาๆ…
“โอ้ย!” เขารีบวิ่งไปที่อีกด้านหนึ่งของเนินเขาอย่างรวดเร็ว
หมิงเวยหัวเราะแล้วหันไปหาตัวฝู “ดีขึ้นหรือไม่”
ตัวฝูได้รับบาดเจ็บสาหัสมีบาดแผลหลายจุดตามแขนและหลัง แต่ที่สาหัสที่สุดคือที่ไหล่ของนาง เชิ่งชีเลือกที่จะแทงทะลุลงไป แม้แต่กระดูกก็หักไปด้วย
โหวเหลียงทำการรักษาโดยง่ายคือการใช้เข็มเย็บผ้าเย็บแผลให้นางเพื่อไม่ให้เสียเลือดมากเกินไป เมื่อนางกลับมาที่เกาถางต้องขอให้แพทย์ทำการรักษานางอย่างดี
ไหล่ข้างนั้นใช้การไม่ได้ชั่วคราวตัวฝูในตอนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสเหมือนกับนาง และอาจบาดเจ็บหนักกว่าด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าทนความเจ็บไม่ร้องอะไรแต่ดวงตานั้นเต็มไปด้วยน้ำตา
“คุณหนู บ่าวไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” ตัวฝูปาดน้ำตาด้วยแขนที่ไม่บาดเจ็บ
“ขนาดนี้แล้วไม่เป็นอะไรอีกหรือ” หมิงเวยถอนหายใจ “การเดินทางครั้งนี้ ข้าพาเจ้ามาลำบากแท้ๆ”
ตัวฝูร้องไห้ไปส่ายหน้าไป “บ่าวดีใจมากที่ได้เดินทางร่วมกับคุณหนูเจ้าค่ะ” นางชะงักแล้วพูดเสียงเบา “อีกอย่างบ่าวคิดว่าตนเองเก่งมากสามารถทำได้หลายอย่างบ่าวดีใจมากๆ เลยเจ้าค่ะ”
หมิงเวยหุบยิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าดีใจก็ดีแล้วสำหรับมนุษย์แล้ว สิ่งที่มีความหมายที่สุดคือการค้นพบคุณค่าของตนเองยินดีด้วยนะตัวฝู”
“เจ้าค่ะ” ตัวฝูยิ้มออกมา
นางไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของคุณหนูเท่าไรนัก แต่ก็พอเข้าใจได้อยู่
หมิงเวยหยิบถุงยามายื่นให้นาง “กินวันละหนึ่งเม็ดทุกวันเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดผ่านไปสักสองสามวันค่อยมาดูกัน”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
โหวเหลียงกลับมาด้วยท่าทางที่ทรุดโทรม หมิงเวยค้นตัวศพของเชิ่งชีอีกรอบจากนั้นก็ล้างมือเมื่อเห็นเขากลับมาก็เหลือบมอง “ดีขึ้นหรือไม่”
โหวเหลียงทำหน้ายุ่ง “เหมือนจะดีขึ้น”
“ท้องเสียใช่หรือไม่” เขาพยักหน้ารัวๆ พอเห็นเชิ่งชีที่นอนบนพื้นก็รู้สึกคลื่นไส้อีกครั้ง
หมิงเวยชี้ “รีบขุดหลุมฝังเขาซะ”
โหวเหลียงมีสีหน้าลำบากใจ “แม่นางหมิงข้าเป็นนักปราชญ์ไร้เรี่ยวแรง…”
หมิงเวยพูดอย่างใจเย็น “ท่านไม่ขุดก็ไม่เป็นไรหากซูถูยังไม่กลับไป พอเห็นศพก็รู้ได้ว่าพวกเราไม่มีแรงในการต่อสู้แล้ว ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรท่านคงเดาได้”
โหวเหลียงจินตนาการถึงภาพนั้นก็รีบพูดทันทีว่า “ข้าขุดเองๆ!”
หมิงเวยยิ้มพลางมองเขามองหาที่ที่จะขุดหลุม โหวเหลียงเหงื่อออกเต็มหน้าผาก จนกระทั่งพลบค่ำหลุมตื้นๆ ถูกขุดเสร็จ และร่างของเชิ่งชีก็ถูกลากลงไป
เขาขุดไปพึมพำไปว่า “หากรู้มาก่อนว่า…”
“ท่านคิดว่าอยู่ข้างกายซูถูน่าจะดีกว่าใช่หรือไม่”
โหวเหลียงหัวเราะแห้ง “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรแน่นอนว่าติดตามแม่นางดีกว่า ซูถูเป็นคนหูเหรินจะไปเข้าใจอะไร”
“ตอนอยู่เขาเทียนเสินท่านไม่ได้พูดเช่นนี้นี่!”
“ฮ่าๆ นั่นไม่ใช่เพื่อหลอกเขาหรอกหรือ…”
หมิงเวยยิ้มแล้วพูดว่า “ลำบากท่านแล้วข้ากับตัวฝูได้รับบาดเจ็บ การเดินทางหลังจากนี้คงทำให้ท่านต้องเหนื่อยแล้ว”
นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นนั้นโหวเหลียงรู้สึกประหลาดใจ “อา…ไม่ จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ควรจะ…”
หลังจากฝังศพและลบร่องรอยการต่อสู้แล้วทั้งสามคนก็พักผ่อน พวกเขาต้องพักผ่อนเอาแรงเพื่อหลบหนีเอาชีวิตรอดในวันพรุ่งนี้
ครั้งนี้เป็นการหลบหนีที่แท้จริงทั้งสองสูญเสียพลังในการต่อสู้ไปแล้วจึงเหลือโหวเหลียงเพียงคนเดียว และพวกเขาจะตายหากถูกจับได้!
“อา บางทีซูถูอาจจะกลับไปแล้วเขากลายเป็นหัวหน้าของชาวหูแล้ว ดังนั้นเขาควรจะหวงแหนชีวิตของเขาใช่หรือไม่” โหวเหลียงพูดกับตัวเองอย่างขบขัน
ณ จุดนี้เขาไม่สามารถแม้แต่จะหันหัวกลับ
ซูถูผู้นั้นเป็นองค์ชายผู้ไม่เป็นที่โปรดปรานที่ซ่อนเร้นความสามารถเอาไว้ เมื่อเขาได้ขึ้นเป็นจ้าวแห่งทุ่งหญ้าแน่นอนว่าจะต้องโหดเหี้ยมอำมหิตแน่
เขาชื่นชอบวัฒนธรรมของจงหยวน แต่โหวเหลียงก็ไม่พลาด เมื่อเขาขึ้นเป็นหัวหน้าชาวหูจริงๆ ก็ต่างจากครั้งเมื่อที่ยังเป็นองค์ชาย หากเขาเต็มใจก็จะมีบัณฑิตตกต่ำไปอยู่ข้างกายเขา
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้โหวเหลียงก็อยากจะร้องไห้อีกครั้ง
เขาไม่อยากเป็นคนซื่อสัตย์ และเขาก็เป็นคนไม่ดีมาโดยตลอด เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้พาสตรีทั้งสองคนที่บาดเจ็บลี้ภัยในทุ่งหญ้า อนาคตที่สดใสซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน…
“ท่านยอมแพ้แล้วหรือ” หมิงเวยพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ด้วยบุคลิกของซูถู เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะปล่อยมือ ตอนนี้เขายังไม่ตามมาเพราะไม่มั่นใจ แต่ท่านคิดว่าเขาจะไม่ส่งผู้ใดมาติดตามพวกเราเพื่อตรวจสอบตำแหน่งของพวกเราเลยหรือ”
โหวเหลียงทรุดตัวลงทันที “แม่นางจะไม่ให้ข้ามีความสุขสักครู่เลยหรือ”
“ความสุขจอมปลอมอยู่ได้ไม่นาน ฟองแห่งจินตนาการก็ต้องแตก!”
“ท่านช่างโหดร้ายจริงๆ…”