“เกิดอะไรขึ้นรึ ?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
มู่อีตอบ “สํานักตานซินแห่งแคว้นชวนยั่วยุสํานักตานจี้ขอรับ สํานักตานจี้เกรงว่าพวกเขาจะรับมือไม่ไหวจึงมาหาผู้นําตระกูลเพื่อขอความช่วยเหลือ พวกเขาหวังว่าท่านจะสามารถเชิญหมอปีศาจออกมาได้ขอรับ”
มู่เฉียนซี “ข้ากําลังจะกลับแคว้นเพื่อดูสถานการณ์ของท่านอาพอดี เมื่อถึงเวลาก็จะแวะไปที่สํานักตานจี้”
“ขอรับ”
มู่เฉียนซีรีบกลับไปยังแคว้นจื่อเยี่ย นางพบว่าท่านอาเล็กมู่อวู่ซวงนั้นฟังคำของนางเป็นอย่างมาก ท่านอาอยู่แต่ที่เรือนอวู่โยวเพื่อพักฟื้น
เขามองมู่เฉียนซีที่กำลังตรวจร่างกายเขาด้วยแววตาอ่อนโยน กล่าวว่า “ซีเอ๋อร์เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป”
“จะไม่กังวลได้อย่างไรเจ้าคะท่านอา ? ในร่างของท่านอานั้นมีพิษโบราณซ่อนอยู่ และยาวิเศษระดับปฐพีที่สามารถล้างพิษได้ก็หาไม่พบแม้แต่เม็ดเดียว”
มู่อวู่ซวงมองมู่เฉียนซีหลานสาวอย่างลึกซึ้งก่อนจะกล่าวอย่างอ่อนโยน “ซีเอ๋อร์อย่าเพิ่งร้อนใจไปเลย แม้ว่าอาจะต้องกลับมาตายอีกครั้ง ก็จะต้องยืนอยู่ตรงหน้าของซีเอ๋อร์เพื่อปกป้องซีเอ๋อร์ให้ได้”
สีหน้าของมู่เฉียนซีซีดลง นางคว้าแขนของมู่อวู่ซวงไว้ กล่าวว่า “ท่านอา ห้ามพูดถึงคำว่าตายคำนี้เด็ดขาด ข้ากับท่านพ่อนั้นหวังเป็นอย่างมากว่าสุขภาพร่างกายของท่านอาจะแข็งแรงเป็นสุขไร้โรคภัย”
เรือนอวู่โยวหมายความว่า ‘จวนไร้กังวล’ ในตอนนั้นที่ท่านพ่อตั้งชื่อจวนให้ท่านอาเช่นนี้ คงเพราะว่าจะมีความหวังเช่นนี้อยู่ด้วย
มู่อวู่ซวงหัวเราะก่อนจะกล่าว “เอาล่ะ ฟังที่ซีเอ๋อร์ว่าแล้วกัน”
“ผู้นำตระกูล ทางสำนักตานจี้ขอความช่วยเหลือมาอย่างเร่งด่วน” มู่อีกล่าวแจ้ง
การสนทนาระหว่างอาและหลานสาวถูกตัดตอน ผู้นำตระกูลมู่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ด่วนมาก สำนักตานจี้โดนฆ่าล้างสำนักหรืออย่างไร ?”
“มิใช่ขอรับ เพียงแต่ว่าสถานการณ์ค่อนข้างเร่งรีบ”
มู่เฉียนซีกล่าว “ท่านอา เช่นนั้นข้าขอไปที่สำนักตานจี้ก่อน ท่านพักผ่อนดี ๆ นะเจ้าคะ”
“อืม ซีเอ๋อร์ระวังตัวด้วย”
มู่เฉียนซีพาชิงอิ่งไปยังสำนักตานจี้
“ผู้นำตระกูลมู่ ในที่สุดเจ้าก็มาถึงแล้ว” หัวหน้าสำนักตานจี้—ตานคุน มองมู่เฉียนซีประหนึ่งผู้กอบกู้โลก พลันรีบเข้ามาทำการต้อนรับ มู่เฉียนซีขมวดคิ้วก่อนจะกล่าวว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”
หัวหน้าสํานักตานจี้ “เรื่องเป็นเช่นนี้ ทางตะวันตกของทวีปเซี่ยโจว มีสำนักปรุงยาทั้งหมดสามสำนักคือ สำนักตานจี้ สำนักตานซิน และสำนักเย่าอู๋ สำนักปรุงยาทั้งสามแห่งของพวกเรามีการประชุมแลกเปลี่ยนทุก ๆ สิบปี ปีนี้เป็นปีที่ได้เวลาประชุมแลกเปลี่ยนพอดี เพราะสำนักตานจี้ของเรานั้นอยู่ในตำแหน่งรั้งท้ายมานานปี จึงถูกสองสำนักใหญ่ดูแคลน ในครานี้สำนักตานซินทำมากเกินทนแล้ว พวกนั้นส่งคนมาบอกว่าหากนักปรุงยารุ่นใหม่ของสำนักตานจี้ไม่สู้นักปรุงยารุ่นใหม่ของสำนักตานซินแล้วละก็ จะเพิกถอนสิทธิ์ของสำนักเราในทันที”
มู่เฉียนซีขมวดคิ้ว กล่าวถามขึ้น “จะแข่งพวกเจ้าก็ไปแข่งกันเองสิ ให้ข้ามาทำไมกัน ?”
สีหน้าของตานคุนนั้นฉายแววอับอาย เขากล่าว “ในครั้งนี้ถึงแม้ว่าสำนักตานซินจะไม่ได้ส่งผู้ที่เก่งกาจที่สุดของพวกเขามา ทว่าได้ส่งนักปรุงยาระดับกลางมา คนรุ่นใหม่ในสำนักตานจี้ที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบปีนั้น ก็ล้วนมีแต่ผู้ที่โดนบังคับเรียนจนเป็นนักปรุงยาระดับล่างเพียงเท่านั้น ไม่มีนักปรุงยาระดับกลางเลยสักคน จึงได้…”
พวกเขาน่าจะแพ้อย่างแน่นอน แล้วยังจะโดนฝ่ายตรงข้ามตบหน้าถึงบ้านอีก แม้แต่คุณสมบัติในการเข้าร่วมการแลกเปลี่ยนการปรุงยาก็ไม่มี พวกเขาสำนักตานจี้นั้นจะต้องอับอายจนถึงหน้าบ้านเลยทีเดียวเชียว
“เช่นนั้น… ข้าจึงอยากขอให้ท่านผู้นำตระกูลมู่ส่งหมอปีศาจออกโรง อย่างน้อยก็อย่าได้ให้เจ้าเด็กน้อยจากสำนักตานซินมาทำตัวหยิ่งทะนงในที่ของเราเลย!”
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าเองก็น่าจะรู้ หมอปีศาจนั้นเก่งในด้านการทำยาฉีด มิได้ถนัดในด้านการหลอมยาเม็ด เขามาก็เปล่าประโยชน์”
“อา… หากเป็นอย่างนั้น พวกเราจะทำเช่นไรดี ? พวกเราสำนักตานจี้คงต้องทำให้ผู้นำตระกูลมู่ขายหน้าเสียแล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าว “อืม… ข้าสามารถลองดูได้”
สำนักตานจี้ในตอนนี้ขึ้นตรงกับตระกูลมู่ของพวกเขา ยามที่สำนักตานจี้ถูกผู้อื่นรังแกทำให้กลายเป็นผู้อ่อนแอ แน่นอนว่าย่อมไม่มีอะไรดีกับตระกูลมู่เลย
แต่ถ้าหากว่าพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ มันจะมีผลประโชน์อย่างมาก
ตานคุนตะลึงอึ้งงัน “ผู้นำตระกูลมู่ ท่านกล่าวว่า… ท่านจะลองดูรึ ?”
“ข้าเองก็เป็นนักปรุงยา หรือเจ้าคิดว่าข้าไม่เหมือนนักปรุงยา ? หากข้าไม่ได้เป็นนักปรุงยา แล้วข้าจะทำพันธสัญญากับหม้อเทพปาฮวางชิงมู่ได้อย่างไร ?”
ดวงตาของตานคุนเปล่งประกายขึ้นมา เขารีบกล่าวว่า “ใช่ แต่ว่าท่านผู้นำตระกูลมู่เป็นเพียงระดับจอมภูต…”
ระดับขั้นจอมภูตเป็นได้มากที่สุดคือนักปรุงยาระดับล่างผู้หนึ่งเท่านั้น พลังวิญญาณและพลังจิตที่มีไม่เพียงพอที่จะทำให้นางสามารถกลายเป็นนักปรุงยาระดับกลางได้ ท้ายที่สุดนางจะสู้พวกเขาคนอื่น ๆ ไม่ได้
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น ท่าทางฟึดฟัดเล็กน้อย “ถ้าหากเจ้าไม่เชื่อข้า เช่นนั้นช่างเถอะ ข้าไปก่อน ชิงอิ่ง พวกเราไปกันเถอะ”
ชายผู้ที่ใส่หน้ากากเหมือนดั่งท่อนไม้ ได้หันหลังเตรียมพร้อมที่จะกลับไปกับนาง
ตานคุนเห็นท่าไม่ดี รีบกล่าวหยุดนางไว้ในทันใด “ประเดี๋ยว… ช้าก่อนท่านผู้นำตระกูลมู่ ในเมื่อมาแล้ว ท่านโปรดช่วยพวกเราสำนักตานจี้เถอะ”
มู่เฉียนซีเปลี่ยนไปสวมใส่อาภรณ์แบบบุรุษ นางสวมชุดคลุมยาวสีขาวของสำนักตานจี้เพื่อปลอมตัวเป็นลูกศิษย์ของสำนักชั่วคราว จะได้เข้าร่วมการประลองนักปรุงยารุ่นเล็กระหว่างสำนักตานจี้และสำนักตานซิน
ผู้อาวุโสทั้งสามของสำนักตานซินอดทนรอไม่ไหว รีบกล่าว “พวกเจ้าสำนักตานจี้เตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง ? หากว่ากลัวจะแพ้อนาถ ก็ยอมแพ้เสียบัดนี้เลยเถอะ พวกเราเองก็ขี้เกียจเปลืองแรงมาประลองฝีมือกับพวกเจ้า”
ผู้ที่มาจากสำนักตานซินทั้งหมดนั้นมีห้าถึงหกคน ทุกคนล้วนแต่หยิ่งทะนงในตนเอง
เหล่าศิษย์ของสำนักตานจี้โกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ แทบทนไม่ไหวเกือบจะเข้าประจันบานกับพวกนั้น
ตานคุนกล่าวขึ้น “มีสหายเดินทางมาจากแดนไกล แน่นอนว่าข้านั้นมิกล้าชักช้า การแข่งขันครั้งนี้พวกเราสำนักต้านจี้เข้าร่วมแน่แล้ว ไม่ทราบว่าฝั่งพวกเจ้านั้นผู้ใดเป็นผู้ที่จะมาประลองฝีมือรึ ?”
ผู้อาวุโสอันดับสามแห่งสำนักตานซินมองไปที่ชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่ง “นี่คือกู่ชิว เป็นศิษย์ที่ฝีมือระดับธรรมดาของสำนักเรา ครั้งนี้ให้เขานั้นมาท้าประลองกับลูกศิษย์สำนักเจ้า หากศิษย์ของพวกเจ้ายังไม่สามารถเทียบได้แม้แต่กู่ชิว เช่นนั้นการแลกเปลี่ยนสามสำนัก พวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมแล้ว อย่างไรเสียไปร่วมก็จะเสียหน้า”
ตานคุนบ่นอยู่ในใจ ‘นักปรุงยาระดับกลางเป็นศิษย์มือธรรมดาที่มีพรสวรรค์ เจ้าไปหลอกคนอื่นเถอะ!’
แม้ว่ากู่ชิวจะไม่ใช่ศิษย์ระดับสูงในสำนักตานซิน แต่อย่างน้อยเขาก็อยู่ในระดับที่สูงกว่าระดับกลาง
มู่เฉียนซีคาดว่าชายที่หยิ่งยโสในชุดดำผู้นั้น ดู ๆ แล้วน่าจะอายุราวสามสิบปี เขามีความทะนงตนในความเป็นนักปรุงยา หยิ่งยโสยืดอกราวกับว่าตนเป็นผู้มาจากฟากฟ้า
ผู้อาวุโสสามแห่งสำนักตานซินกล่าว “พวกเจ้าสำนักตานจี้ให้ผู้ใดมาประลองรึ ? ถ้าหากว่าส่งมาคนเดียวไม่สามารถเอาชนะได้ละก็ จะส่งลงมาหลายคนก็ได้ แต่ถึงจะส่งมากี่คน พวกข้าก็จะทำให้พวกเจ้าแพ้อย่างไรข้อกังขา”
ในขณะนั้นเอง เสียงที่ราวกับน้ำพุใสสะอาดก็ดังขึ้นมา “สํานักตานจี้ ให้ข้าเข้าร่วมการประลองสนามนี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่จําเป็นต้องให้ใครลงมือร่วม”
ผู้อาวุโสสามและกู่ชิวแห่งสํานักตานซิน เห็นเด็กหนุ่มที่ดูงดงามไร้ที่ติพลันชะงักไปเล็กน้อย
ใบหน้าของเขาประดับด้วยรอยยิ้มที่ดูราวกับสายลมอ่อนเบา ทําให้ผู้คนที่ได้เห็นรู้สึกพึงพอใจ
พวกเขาไม่คิดเลยว่าสํานักตานจี้เล็ก ๆ จะมีเด็กหนุ่มรูปงามเช่นนี้
ตานคุนอดไม่ได้ที่จะตกใจกับการแต่งกายของนักปรุงยาที่ดูสะอาดสะอ้านของมู่เฉียนซี ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่ไร้ที่ติเสียจริง!
ทว่าเขารู้ดีถึงความอำมหิตและความร้ายกาจของผู้นำตระกูลมู่ เขานั้นรู้ดีว่า… ดูคนไม่ควรดูแต่ภายนอก ไม่เช่นนั้นเขาคงถูกผู้นำตระกูลมู่หลอกจนตัวตายได้เป็นแน่
กู่ชิวกล่าวเสียงเย็นชา “เจ้าอย่าได้แต่ทำพูดจาวางท่าดูดี ของเช่นนี้ต้องดูที่ความสามารถในการปรุงยา”
.