มู่เฉียนซีกําลังเก็บตัวอยู่ ไม่นานนักสํานักตานจี้ได้ยินข่าวว่าถึงเวลาออกเดินทางไปยังสํานักตานซินเพื่อเข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนการปรุงยาของสามสํานักใหญ่แล้ว
มู่เฉียนซีไปบอกลามู่อวู่ซวง “ท่านอา การไปเข้าร่วมงานปรุงยาของสามสํานักใหญ่ในครั้งนี้ ข้าอาจจะพบสมุนไพรวิญญาณระดับปฐพีที่สามารถชําระล้างพิษโบราณนั่นในร่างกายของท่านอาได้ ท่านอาพักฟื้นที่จวนให้สบายรอข้ากลับมานะเจ้าคะ”
มู่อวู่ซวงกล่าว แววตาฉายความซาบซึ้งใจ “ซีเอ๋อร์… ระวังตัวด้วย พาชิงอิ่งไปด้วย ข้าก็วางใจได้สักหน่อย”
แม้ว่าชิงอิ่งจะไม่มีพลังวิญญาณหรือพลังปราณ แต่ในบรรดาตระกูลมู่ นอกจากมู่อวู่ซวงแล้ว พลังการต่อสู้ของชิงอิ่งนับว่าแข็งแกร่งที่สุด ขอเพียงแค่มียาวิเศษเพียงพอ เขาก็สู้ได้อย่างสุดใจ
มู่เฉียนซี “ชิงอิ่งเจ้าตัวประหลาดนั่นเขาไม่ใช่มนุษย์ ท่านอาเล็กรู้ความเป็นมาของเขาหรือไม่เจ้าคะ ?”
มู่อวู่ซวง “ข้าเคยเห็นเขามาก่อน ข้าเดาว่าเขาคงเป็นหุ่นเชิดรบที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อต่อสู้เท่านั้น เขาจึงเชื่อฟังคําสั่งของผู้เป็นนาย อืม… แต่ชิงอิ่งแตกต่างจากหุ่นเชิดรบอื่น ๆ เขาไม่มีเจ้านาย หุ่นเชิดรบทั่วไปใช้หยกวิญญาณ แต่หุ่นเชิดรบที่กินยา ข้าก็เพิ่งจะเคยได้ยินได้เห็นเป็นครั้งแรก”
ถึงแม้จะเป็นการดํารงอยู่ที่แสนพิเศษ แต่ชิงอิ่ง เกรงว่าเขาจะเป็นหุ่นเชิดรบสำหรับใช้ช่วยต่อสู้จริง ๆ
ไม่มีการเต้นของหัวใจ ไม่มีลมหายใจ ไม่มีความโศกเศร้าและความโกรธใด ๆ แหล่งที่มาของชีวิตทั้งหมดของเขาคือยา
แต่สิ่งที่ทําให้นางประหลาดใจ คือชิงอิ่งกระตือรือร้นในยาของนางเป็นพิเศษ มันแปลกที่เขาไม่ชอบกินยาของผู้อื่น
จุกจิกนัก!
ดังนั้นต่อให้นางไม่สามารถเป็นเจ้านายของชิงอิ่งได้ ขอเพียงนางสามารถปรุงยาได้ ชิงอิ่งก็นับถือนางอย่างสุดซึ้ง
มู่เฉียนซีได้ยินคํากล่าวของมู่อวู่ซวงผู้เป็นอา นางก็ได้พาชิงอิ่งมุ่งไปยังสํานักตานจี้โดยเร็ว
เพื่อเข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนการปรุงยาของสามสํานักใหญ่ในครั้งนี้ สํานักตานจี้นํานกกระเรียนขาวตัวหนึ่งออกมาใช้โดยสาร มันเป็นสัตว์วิญญาณบินได้ขั้นสูงเพียงตัวเดียวของสํานักของพวกเขา
ตานคุนกล่าวขึ้น “ผู้นำตระกูลมู่ ถึงเวลาออกเดินทางแล้วขอรับ”
มู่เฉียนซีพยักหน้า กล่าวว่า “อืม ไปกันเถอะ”
นกกระเรียนขาวบินขึ้นไปในอากาศ กลุ่มคนก็มาถึงประตูสํานักปรุงยาแห่งแคว้นชวน—สํานักตานซิน อย่างรวดเร็ว
เมื่อสํานักตานจี้มาถึง เจ้าสำนักตานซินมาต้อนรับ เขายิ้ม กล่าวกลั้วหัวเราะ “ฮ่า ๆ ๆ ตานคุน ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที ข้ารออย่างใจจดใจจ่ออยู่พอดี”
ตานคุน “ข้าก็ไม่ได้มาช้าสักเท่าไร ตานซิง เจ้ากังวลอะไรกัน ?”
ตานซิง เจ้าสํานักตานซินเหลือบมองเงาร่างสีขาวที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน จากนั้นเขายิ้มเย็น ๆ พลางกล่าว “ผู้นี้คือนักปรุงยาที่สํานักตานจี้ของพวกเจ้าเลี้ยงดูมา คิดว่าคงเป็นอัจฉริยะนักปรุงยากระมัง ? ข้าไม่รู้จะเรียกว่าอะไร”
มู่เฉียนซีในร่างที่ปลอมแปลงเป็นบุรุษกล่าวขึ้นด้วยท่าทีสบาย ๆ “เจ้าสํานักตานซิง ข้าชื่อมู่ซี อัจฉริยะข้าคงไม่อาจเป็น เพียงแต่โชคดีได้เจอกับอาจารย์และมิตรสหายที่แสนดี ข้าจึงมีประสบการณ์ในการปรุงยา”
ที่นางเรียกว่าอาจารย์ นั่นก็คืออดีตเจ้าของหม้อเทพนิรันดร์ที่อาถิงให้นางเห็น
หากไม่มีคําแนะนําของเขา นางคงไม่สามารถเรียนรู้การปรุงยาได้รวดเร็วเฉกเช่นที่เป็นอยู่ ถัดไปคือหม้อเทพปาฮวางชิงมู่ผู้ให้ความรู้วิชาแก่นางอย่างมาก และยังมีมิตรสหายที่ดีซึ่งแน่นอนว่าเป็นจวินโม่ซีผู้กินจุ เขาเป็นคนที่สามารถสื่อสารกับนางได้อย่างสบาย ๆ
ตานซิง “เดี๋ยวนี้คนหนุ่มคนสาวที่ถ่อมตัวเพียงนี้ ช่างหายากเสียจริง”
เจ้าสํานักตานซินเชิญสำนักตานจี้และคนอื่น ๆ เข้ามายังสํานักตานซินอย่างหน้าชื่นตาบาน หากไม่ใช่เพราะเขาเคยส่งศิษย์ของสํานักไปยั่วยุสํานักตานจี้ คิดจะกีดกันสํานักตานจี้จากคุณสมบัติในการเข้าร่วมการแลกเปลี่ยนระหว่างสามสํานักใหญ่ พวกเขาคงคิดว่าเจ้าสำนักตานซินผู้นี้เป็นคนจิตใจดีมีเมตตาอย่างมาก
สํานักตานจี้กับสํานักตานซินช่างเข้ากันได้ดีนัก!
เวลานี้สำนักเย่าอู๋กําลังเฝ้ารออยู่ด้านข้าง หัวหน้าสํานักเย่าอู๋นั่งลงข้าง ๆ ด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่สนใจที่จะยิ้มให้แก่ผู้ใดเลย ในเมื่อสามสํานักโอสถใหญ่มาถึงแล้ว ต่อไปเจ้าสํานักตานซินจะต้องประกาศข้อมูลการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ หลังจากกล่าวจบ ก็จะเป็นการกล่าวคําที่กล่าวเช่นเดียวกันมาหลายปี จากนั้นจะเริ่มแนะนํากรรมการผู้ตัดสินงานแลกเปลี่ยนในครานี้
เพื่อรับประกันความเป็นธรรมของงานแลกเปลี่ยน กรรมการตัดสินย่อมไม่สามารถเป็นผู้อาวุโสของสามสํานักโอสถใหญ่ได้ ทว่าเป็นนักปรุงยาที่ไม่ได้มีชื่อเสียงของสามสํานักโอสถใหญ่
เจ้าสํานักตานซินกล่าวอย่างตื่นเต้น “ผู้ตัดสินนักปรุงยาในครั้งนี้เป็นปรมาจารย์ปรุงยาจากทางตะวันตกของทวีปเซี่ยโจว ในที่สุดปรมาจารย์นักปรุงยาเวินเหรินก็มาถึงแล้ว”
ทุกผู้คนต่างพากันตื่นเต้น ร่างแทบจะกระโดดโลดขึ้น “นักปรุงยาเวินเหริน ท่านนักปรุงยาเวินเหรินมาถึงแล้ว!”
“ข้าได้ยินมาว่านักปรุงยาเวินเหรินสามารถหลอมเม็ดยาระดับปฐพีได้ หากทำให้เขารับเป็นศิษย์ได้ เช่นนั้นอนาคตคงไร้ขีดจํากัดเป็นแน่”
“ข้าเห็นด้วย…”
ภายใต้รัศมีของปรมาจารย์นักปรุงยาเวินเหริน ผู้ตัดสินคนอื่น ๆ หดหู่ใจอย่างเห็นได้ชัด
เจ้าสํานักตานซินเริ่มแนะนํากฎของการแข่งขันในครั้งนี้ เขาเอ่ยปากว่า “การแข่งขันครั้งนี้จะแบ่งเป็นสองรอบ รอบแรกข้าจะให้ใบสั่งยาไป หากหลอมยาสําเร็จออกมาเป็นสามสิบคนแรก จะสามารถเข้าร่วมการแข่งขันรอบต่อไปได้”
“ขอให้ศิษย์ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม ไปที่ตําแหน่งการปรุงยาของสํานักตนเองได้”
สํานักตานจี้ สํานักตานซิน สํานักเย่าอู๋ แต่ละฝ่ายต่างครอบครองด้านใดด้านหนึ่ง
สำนักตานซินในฐานะเจ้าบ้าน ศิษย์ของพวกเขามีความมั่นใจอย่างมาก ส่วนศิษย์ของสำนักเย่าอู๋นั้น ก็เช่นเดียวกันกับหัวหน้าสํานักของพวกเขา ใบหน้าของพวกเขาไร้อารมณ์ระคนหยิ่งยโส
หัวหน้าสํานักตานซินกล่าวขึ้น “ยาที่จะต้องหลอมในรอบแรกคือเม็ดยารักษาการบาดเจ็บระดับสี่”
นี่คือยารักษาอาการบาดเจ็บที่ยากต่อการหลอม เจ้าสํานักตานจี้ถึงกับอึ้งงัน ‘ให้หลอมยายาก ๆ ตั้งแต่รอบแรกเช่นนี้เลยรึ ?!’
เมื่อหลายปีก่อนล้วนเป็นยาระดับสอง คิดไม่ถึงว่าสํานักตานซินจะโหดเหี้ยมถึงเพียงนั้น ในปีนี้จึงได้ขึ้นไปเป็นยาระดับสี่
ประกายแสงสลัววาบขึ้นในดวงตาของตานซิง เขาคิดในใจ ‘ต่อให้สํานักโอสถของพวกเจ้ามีอัจฉริยะด้านการปรุงยาแล้วอย่างไร ?’
ในรอบแรกศิษย์คนอื่น ๆ ของสํานักตานจี้ของพวกเจ้าจะถูกล้างออกไปก่อน เพื่อที่จะได้รักษาหน้าของสํานักตานซินของเราเอาไว้ได้
หัวหน้าสํานักตานซินประกาศ “การหลอมยา เริ่มขึ้นได้”
เม็ดยาระดับสี่สําหรับมู่เฉียนซีนั้นไม่ยากเลย แต่สําหรับศิษย์สํานักโอสถอื่น ๆ ค่อนข้างยาก รอจนงานดําเนินต่อไปสักครู่ ศิษย์สํานักตานจี้ก็ระเบิดยาแต่ละเม็ด
ความแข็งแกร่งของพวกเขายังไม่ถึงระดับนักปรุงยาระดับกลาง ทำให้การสกัดกลั่นเพื่อหลอมให้ได้เม็ดยาระดับสี่นั้นยากสําหรับพวกเขาอย่างแท้จริง
เมื่อเห็นว่าพวกเขาล้มเหลว ศิษย์สํานักตานซินที่อยู่รอบ ๆ ต่างหัวร่อต่อกระซิกกัน “ฮ่า ๆ ๆ อีกสิบปีผ่านไป สํานักตานจี้ก็ยังคงไร้ค่าเช่นเคย เสียแรงมีศิษย์มากมายเช่นนี้ แม้แต่เม็ดยาระดับสี่ก็ยังหลอมไม่ได้”
“ข้าบอกพวกเขาแล้วว่าอย่ามาให้ขายหน้า แต่ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้พวกเขาจะยังมา ช่างเป็นความหาญกล้าที่น่ายกย่องเสียจริง!”
“ใช่…”
เมื่อถูกผู้คนมากมายเย้ยหยัน ใบหน้าศิษย์สํานักตานจี้พลันเปลี่ยนกลายเป็นสีแดงเรื่อ หลังจากงานแลกเปลี่ยนครั้งนี้จบลง พวกเขาต้องตั้งใจเรียนการปรุงยาให้ดีขึ้นอย่างแน่นอน
ศิษย์ของเขาไม่สบอารมณ์นัก ตานคุนเองก็รู้สึกละอายใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ เขามองมู่เฉียนซีผู้ซึ่งอุทิศตนเองเพื่อการปรุงยาและเย่อหยิ่งกับคำดูหมิ่นเยาะเย้ยรอบตัว
เขากล่าวในใจ ‘ผู้นำตระกูลมู่ เจ้าคือความหวังสุดท้ายของสํานักตานจี้ของข้าแล้ว เจ้าต้องทำให้พวกมันตกใจจนอ้าปากค้าง และทำให้พวกมันต้องตบปากตัวเองที่มาต่อว่าสำนักตานจี้เรา!’