เวลานี้ความยากของยาเม็ดระดับสี่นั้นไม่ได้มากมายเลยสำหรับมู่เฉียนซี เช่นนั้นแล้วนางจึงหลอมมันออกมาได้อย่างรวดเร็ว
มู่เฉียนซีนำยาที่ปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้วบรรจุลงขวด นางเดินลงมาจากลานประลองก่อนจะกล่าว “ข้าได้สกัดยาเสร็จสิ้นแล้ว ขอให้กรรมการทุกท่านโปรดตรวจและพิจารณา”
เหล่านักปรุงยามองมู่เฉียนซีด้วยแววตาชื่นชม ในตอนที่นางทำการปรุงยานั้น พวกเขาเฝ้ามองอยู่โดยตลอด ไม่พลาดแม้แต่ครู่เดียว เห็นทีฝีมือของนางคงถึงขั้นระดับปรมาจารย์นักปรุงยา หรือไม่ก็ถึงขั้นปราชญ์แห่งการปรุงยาไปเสียแล้วกระมัง
ทุกคนต่างพากันซุบซิบ “เหตุใดเจ้าหนุ่มนี่ถึงได้หลอมยาออกมารวดเร็วเช่นนี้เล่า”
“โกหกกันแล้วเป็นแน่ ศิษย์พี่หวังยังหลอมออกมาไม่ถึงครึ่ง เจ้าหนุ่มนั่นกลับสามารถทำออกมาได้”
“อายุเขาเพียงสิบหกปีกระมัง! เหตุใดถึงได้เป็นนักปรุงยาระดับกลาง ยาที่เขาหลอมขึ้นมาจะต้องห่วยแตกอย่างแน่นอน”
จะเป็นยาที่ใช้การไม่ได้หรือไม่นั้น เช่นนั้นก็ต้องอดใจรอให้หมดเวลา ให้ทุกคนได้หลอมออกมาให้เสร็จเสียก่อน กรรมการจึงจะลงคะแนนให้คำตอบ
ในรอบแรกนี้ ตานคุนมิได้กังวลใจในตัวของมู่เฉียนซี เม็ดยาระดับห้านางก็สามารถหลอมสำเร็จได้ นับประสาอะไรกับเม็ดยาระดับสี่
ไม่นานศิษย์ของทั้งสองสำนักใหญ่ก็เสร็จสิ้น แน่นอนว่าพวกเขาบางคนนั้นล้มเหลว แต่ว่าพวกเขาไม่ได้น่าสังเวชเท่าสำนักตานจี้ที่ล้มเหลวทั้งหมด เหลือรอดเพียงแต่มู่เฉียนซีคนเดียวเท่านั้น
กรรมการแต่ละคนเริ่มให้คะแนนตั้งแต่สำนักเย่าอู๋ ต่อมาก็เป็นสำนักตานซิน สุดท้ายคือสำนักตานจี้
ทันใดนั้นกรรมการผู้หนึ่งตกใจ เขาถึงกับดีดตัวยืนแล้วร้องขึ้น “โอ้! เป็นไปได้อย่างไรกันนี่ ?”
“ปรมาจารย์นักปรุงยาเวินเหริน ท่านดูนี่…”
“สวรรค์ คุณภาพสูงอะไรเช่นนี้!”
ความสามารถของพวกเขา อย่างน้อยก็เป็นถึงนักปรุงยาระดับสูง ทว่ายาระดับเช่นนี้ พวกเขานั้นไม่สามารถทำออกมาได้อย่างแน่นอน แล้วนี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน ?
เด็กหนุ่มอายุสิบหกปีสามารถหลอมยาดีถึงเพียงนี้ออกมาได้ พวกเขานั้นอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีแล้ว
นักปรุงยาเวินเหรินรู้อยู่แล้วว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คือมู่เฉียนซี และเขาทราบดีว่ามู่เฉียนซีไม่เหมือนกับคนทั่วไป ทว่าเขาก็ยังคิดไม่ถึงอยู่ดีว่านางจะสามารถหลอมยาระดับสูงเช่นนี้ออกมาได้ ช่างน่าพิศวงดีแท้!
ฝีมือการปรุงยาระดับเทวดา จิตสมาธิควบคุมที่แน่วแน่ และยังสามารถหลอมยาออกมาได้บริสุทธิ์เช่นนี้ นางนั้นเกิดมาเพื่อปรุงโอสถอย่างแท้จริง
ปรมาจารย์นักปรุงยาเวินเหรินมองมู่เฉียนซีด้วยดวงตาเป็นประกาย ทำให้ผู้คนที่อยู่ในที่นั้นต่างพากันอึ้งตะลึงลาน เด็กหนุ่มผู้นี้มีพรสวรค์ท้าทายฟ้าดินนัก ปรมาจารย์นักปรุงยาเวินเหรินคงไม่คิดจะรับเขาเข้าเป็นศิษย์หรอกกระมัง!
พรสวรรค์ของเด็กหนุ่มผู้นี้เพียงพอที่จะทําให้ปรมาจารย์นักปรุงยารับเขามาเป็นศิษย์ได้
หลังจากที่ผู้ตัดสินทุกคนตะลึงงันไปตาม ๆ กัน ในที่สุดก็ผลคะแนนก็ออกมา ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งในรอบแรกนั้นเป็นผู้ใดไปมิได้นอกจาก… มู่ซีแห่งสำนักตานจี้
พรสวรรค์ของเขาผู้นี้ เพียงพอที่จะทำให้นักปรุงยาระดับสูงหรือยอดปรมาจารย์นักปรุงยาผู้ใดก็ตามเห็นเข้าแล้วต้องเกิดหวั่นไหว อยากรับเข้ามาเป็นศิษย์ส่วนตน
เหล่าลูกศิษย์ผู้มีพรสวรรค์ของสำนักตานซินและสำนักเย่าอู๋ ล้วนแต่ถูกจัดออกมาอยู่อันดับท้าย ๆ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะหลอมยาระดับสี่ตามโจทย์ได้สำเร็จ ทว่าคุณภาพและความบริสุทธิ์ของยา เมื่อเทียบกับของมู่ซี ช่างห่างไกลกันเหลือเกิน
เจ้าสำนักตานซินหัวเราะออกมา “ฮ่า ๆ ๆ ยินดีด้วยหัวหน้าสำนักตานคุน ยินดีด้วยจริง ๆ! ข้าผู้นี้คาดไม่ถึงเลยว่าพวกเจ้าจะได้รับผู้ที่มีพรสวรรค์เช่นนี้มาเป็นลูกศิษย์”
ตานคุนกล่าวตอบอย่างถ่อมตัว ทว่าน้ำเสียงสะใจแทบปกปิดไม่มิด “ท่านกล่าวเกินไปแล้ว”
ตานซิง “การแข่งขันรอบแรกในวันนี้ ทุกท่านได้สิ้นเปลืองพลังไปมาก แน่นอนว่าคงไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันครั้งที่สองได้ต่อเนื่อง เช่นนั้นแล้วสำนักตานซินจะพักผ่อนสามวัน หลังจากสามวันแล้วจะมาเข้าแข่งขันในรอบที่สองต่อ”
นักปรุงยาย่อมใช้พลังจิตมาก ในวันนี้ศิษย์ของสองสำนักใหญ่ไม่มีแรงเหลือมากพอที่จะหลอมเม็ดยาชนิดที่สองได้แล้ว แต่มู่เฉียนซีกลับมีสีหน้าผ่อนคลายราวกับว่านางไม่เหน็ดเหนื่อยเลย
ช่างน่าทึ่งนัก!
นางมองไปที่หัวหน้าสำนักตานซินก่อนจะกล่าวถาม “ท่านเจ้าสำนักตานซิน ได้ยินมาว่าผู้ที่ได้อันดับหนึ่งในงานของทุกปีจะได้รับรางวัล มิทราบว่ารางวัลในครั้งนี้คืออะไรหรือ ?”
เจ้าสำนักตานซินแข็งทื่อไป “มู่ซี ดูเหมือนว่าเจ้าจะมั่นใจในตนเองอย่างมาก เป้าหมายของเจ้าคือการเป็นอันดับที่หนึ่งของการแข่งขันประลองฝีมือการปรุงยาในครั้งนี้รึ ?”
มู่เฉียนซีกล่าวพลางยืดอก “แน่นอน ในเมื่อข้ามาแล้ว แน่นอนว่าข้าจะต้องคว้าอันดับที่หนึ่งมาให้จงได้”
ตานซิงกล่าวอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน “มู่ซีเจ้ามีความสามารถนี้อย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น พวกเจ้าก็จะรู้เองว่ารางวัลคือสิ่งใด”
สำหรับสำนักตานจี้ แม้พวกเขานั้นจะรู้ว่าลูกศิษย์ของพวกเขาทั้งสองสำนักไม่ธรรมดา ทว่าเวลาที่พวกเขาได้ใช้ไปในการฝึกฝนมานั้นมากกว่ามู่เฉียนซีเป็นสิบกว่าปี
และเขายังเชื่อมั่นอีกอย่างหนึ่ง… แต่ไหนแต่ไรมา ผู้นำตระกูลมู่ไม่เคยทำเรื่องอันใดที่ตัวนางไม่มีความมั่นใจ
หัวหน้าสำนักตานซินกล่าว “รางวัลคืออะไรนั้น จะถูกประกาศออกมาเมื่อตอนสุดท้าย แท้ที่จริงแล้วพวกเราสามารถลงพนันเพิ่มได้อีกสักหน่อย เพื่อเป็นการอัดฉีดให้รางวัลการแข่งขันในครั้งนี้เติมเต็มมากขึ้น”
มู่เฉียนซีมุมปากกระตุก นางยังไม่ทันได้ออกท่าอะไร ฝ่ายตรงข้ามกลับเปิดฉากเสียแล้ว
นางส่งสัญญาณให้ตานคุน อนุมานว่าเขาควรรู้ว่าจะต้องทำเช่นไรต่อไป
ตานคุนหัวเราะออกมา เขากล่าว “ฮ่า ๆ ๆ ตานซิง ความคิดของเจ้าไม่เลวเลย รางวัลอันวิเศษของการแข่งขันทุกครั้งนั้นจะถูกเก็บเป็นความลับจนถึงตอนท้าย บางทีก็ทำให้เหล่าบรรดาศิษย์ทั้งหลายหมดแรงผลักดันไปเสียก่อน และจะพาลทำได้อย่างไม่เต็มความสามารถ ครานี้เรามาลงขันอะไรที่มันใหญ่ ๆ กันดีหรือไม่ ? คาดว่าการแข่งขันในครานี้คงจะมีสีสันน่าตื่นตาขึ้นไม่น้อย”
ตานซิง “สำนักตานจี้ของพวกเจ้าจะเอาอะไรมาลงเป็นรางวัล ? ถ้าหากว่ามิใช่ของดีละก็… เกรงว่าคงจะไม่มีผู้ใดสนใจเป็นแน่”
อย่าได้คิดว่าพวกนั้นไม่รู้ว่าสำนักตานจี้ยากจนเพียงไร คิดที่จะทำตัวหน้าบานพุงใหญ่ มิรู้ว่าสำนักตานจี้จะสามารถทำได้อย่างที่คุยโวหรือเปล่า
ตานคุน “ใบสูตรยาระดับเจ็ดจำนวนสิบใบ ใบสูตรยาระดับแปดจำนวนสิบใบ ใบสูตรยาระดับเก้าจำนวนสิบใบ ใบสูตรยาระดับปฐพีหนึ่งใบ มิทราบว่าจำนวนเท่านี้พอหรือไม่ ?!”
ตานคุนได้อยู่กับท่านผู้นำตระกูลมู่ผู้ร่ำรวยมาสักพักหนึ่งแล้ว เมื่อได้รับสัญญาณจากผู้นำตระกูลมู่ แน่นอนว่าเขาไม่ปล่อยให้โอกาสหอมหวานนี้หลุดมือไป
เมื่อลงหนักอย่างเศรษฐีเช่นนี้ บรรดานักปรุงยาที่ได้ยินต่างอ้าปากค้าง
เกินไปแล้ว!
“ให้ตายเถอะ ลงขันรางวัลมากเช่นนี้! สำนักตานจี้คงไม่ได้ไปปล้นสำนักอีชิงแห่งทวีปเซี่ยโจวมาหรอกกระมัง”
“สำนักตานจี้โชคดีอะไรมา ถึงได้มีใบสูตรยามากมาย”
“เพียงคุยโวเป็นแน่ แท้ที่จริงคงไม่มีใบสูตรยาให้”
อย่าว่าแต่ศิษย์ของสองสำนักใหญ่เลย แม้แต่ผู้ตัดสินทั้งสามคนที่เชิญมาก็ล้วนตาเป็นประกาย เว้นเสียแต่ปรมาจารย์นักปรุงยาเวินเหริน
ปรมาจารย์นักปรุงยาเวินเหรินยิ้มอย่างจนปัญญา ดูเหมือนว่าผู้นำตระกูลมู่คงจะชอบเอาใบสูตรยาไปฟาดหัวคน!
พวกเขานั้นโดนกองใบสูตรยาฟาดเสียจนมึนงง สำนักตานซินและสำนักเย่าอู๋ไม่ถูกฟาดจนมึนก็แปลกประหลาดแล้ว
ในตอนนี้ผู้ที่หยิ่งทะนงอย่างสูงเช่นเจ้าสำนักเย่าอู๋เองก็ลุกยืนขึ้นมา เขาเดินเข้ามา กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า… “ตานคุน เจ้าแน่ใจรึว่าเจ้ามีใบสูตรยามากมายเช่นนั้น อย่าได้เพียงแค่คุยโว”
ตานคุนกล่าวตอบอย่างไม่เกรงกลัว “อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ สิ่งที่ข้ากล่าวออกมาย่อมจริงแท้ จะเป็นเรื่องหลอกได้อย่างไร ?”
ตานคุนนำใบสูตรยาออกมาใบหนึ่ง “พวกท่านไม่เชื่อก็ดูเอาเอง ดูได้เลยว่าเป็นของปลอมหรือไม่”
เย่าเก๋อและตานซิงมองตานคุนอย่างตกตะลึงเป็นที่สุด นี่เป็นสูตรยาของจริง!
พวกเขาเห็นท่าทางของตานคุนที่แสนทะนงตน แทบอยากที่จะตบหน้าเขาเข้าสักมือหนึ่ง
ตานคุน “ข้าขอเอาสิ่งเหล่านี้ลงพนันว่ามู่เฉียนซีจะได้อันดับที่หนึ่งในการแข่งขันใหญ่ครานี้ พวกเจ้าสองสำนักจะเอาสิ่งใดมาลงพนัน ? หากมันน้อยเกินไป เราคงจะกล่าวกันลำบากน่าดูชม”
ที่ผ่านมาสำนักตานจี้เป็นสำนักที่ยากจนข้นแค้นอย่างที่สุด มาวันนี้สายลมเปลี่ยนทิศสายน้ำเปลี่ยนทาง สำนักตานจี้ได้กลายเป็นสำนักที่ร่ำรวยขึ้นมาโดยพลัน
มูลค่าของใบสูตรยาสามสิบเอ็ดใบนี้ ต่อให้ทั้งสองสำนักใหญ่ทุ่มทรัพย์ทั้งหมดที่มีก็ยังไม่สามารถซื้อหามาได้
.