เจ้าสำนักตานซินและเจ้าสำนักเย่าอู๋ลำบากใจยิ่งนัก พวกเขานำของมีค่าทั้งหมดของสำนักออกมาก็เกรงว่าจะไม่อาจเทียบได้แม้แต่เศษเสี้ยวของสิ่งที่สำนักตานจี้เสนอมาเมื่อครู่
แต่หากพวกเขานำเอาของมีค่าออกมามากเกินไป หากอีกฝ่ายได้ไปก็เท่ากับเสียโอกาสดี ๆ ไปโอกาสหนึ่งเลยทีเดียว
อัจฉริยะผู้นั้นของสำนักตานจี้จะเก่งกาจสักแค่ไหนกัน ? อย่างน้อยดูแล้วเจ้าหนุ่มนั่นก็คงเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดปี
อัจฉริยะของสำนักตานซินของพวกเขาอายุมากกว่าเจ้าหนุ่มมู่ซีนั่นกว่าสิบปี ประสบการณ์ในการหลอมยาถือได้ว่ามีมากกว่าไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เช่นนี้พวกเขาจะพ่ายแพ้ได้อย่างไรกัน ?
โอกาสดี ๆ เช่นนี้จะพลาดไม่ได้เป็นอันขาด เจ้าสำนักตานซินกัดฟันกล่าว “สำนักตานซินของข้าไม่มีสมบัติล้ำค่าใด ดังนั้นข้าจึงขอเอาสวนสมุนไพรวิญญาณทั้งหมดของสำนักตานซินมาวางเดิมพัน”
ตานคุนได้ยินวาจาตานซิงพลันคิดในใจ ‘ตาเฒ่าตานซิงผู้นี้กล้าไม่เบา สวนสมุนไพรวิญญาณเป็นหัวใจหลักของสำนักปรุงยา หากพ่ายแพ้พนันในครานี้ มีหวังสวนสมุนไพรทั้งสำนักต้องสูญเสียให้ผู้อื่นเป็นแน่แท้ หลังจากนั้นเกรงว่าร้อยปีพันปีก็อย่าหวังว่าพวกเขาสำนักตานซินจะได้ฟื้นตัว’
ในเมื่อตานซิงตัดสินใจเช่นนี้แล้ว แน่นอนว่าเย่าเก๋อไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว เขากล่าวขึ้นบ้าง “สำนักเย่าอู๋ของข้าก็วางพนันด้วยสวนสมุนไพรวิญญาณทั้งหมดของสำนักเช่นกัน ข้าพนันว่าสำนักตานจี้ของเจ้าไม่มีวันชนะคว้าอันดับหนึ่งไปครองอย่างแน่นอน”
ตาเฒ่าผู้นี้ถือเป็นอีกหนึ่งสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ เขาไม่กล้ารับประกันว่าสำนักเย่าอู๋จะชนะสำนักตานซิน ดังนั้นเขาจึงกล้าพนันว่าสำนักตานจี้จะพ่ายแพ้ไปอย่างยับเยิน
ดวงตาตานซิงเปล่งประกายแสงแห่งความพึงพอใจ “ข้าเองก็พนันว่าเฉียนซีจะไม่มีวันชนะเป็นอันดับหนึ่งแน่นอน!”
ทั้งสองสำนักมุ่งเป้าไปที่สำนักตานจี้สำนักเดียว ตานคุนอดไม่ได้ เขาบันดาลโทสะอย่างแรงกล้า กล่าวขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า… “พวกเจ้าสองสำนักไม่ไร้ยางอายไปหน่อยรึ ?”
ตานซิงยิ้ม กล่าวอย่างไร้ยางอายสมดังที่ตานคุนต่อว่า “ตานคุน ข้าคิดว่าเจ้ามั่นใจในศิษย์ของเจ้ามาก ดังนั้นเจ้าอย่าใส่ใจเรื่องพวกนี้จะเป็นการดีกว่า”
มู่เฉียนซีได้ยินวาจาทั้งหมดของทั้งสามหัวหน้าสำนัก นางพยักหน้าพลางกล่าว “อืม… พนันว่าข้าไม่ได้อันดับที่หนึ่งก็ดี ง่ายดี เวลานี้ข้ามั่นใจอย่างมาก เจ้าสำนักวางใจเถอะ”
‘เจ้าหนุ่มเฉียนซีหยิ่งผยองอวดดีถึงเพียงนี้ ระวังไว้เถอะ!’ หลายคนลอบวิจารณ์กันอยู่ในใจลึก ๆ
อวดดี ดูถูกคู่ต่อสู้ หากถึงเวลาพ่ายแพ้อย่างอนาถขึ้นมา อย่าร้องไห้ขี้มูกโป่งก็แล้วกัน!
เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดปี มั่นใจคิดว่าตนมีพรสวรรค์ในการหลอมยา คิดว่าใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดเหมาะจะเป็นคู่ต่อสู้เจ้าได้แล้วหรืออย่างไร ?!
รู้เอาไว้เสียด้วยว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า!
เจ้าสำนักตานซิน “การวางพนันนี้ขอให้ท่านนักปรุงยาเวินเหรินเป็นพยานด้วย ประเดี๋ยวถึงเวลาจะได้ไม่มีใครมาเบี้ยวเอาได้”
ปรมาจารย์นักปรุงยาเวินเหรินหรี่ตา เขายิ้ม กล่าวว่า “แน่นอนว่าข้าจะเป็นพยานให้ หากมีใครไม่รักษาสัจจะ ข้าจะถือว่าวางตัวเป็นศัตรูกับข้า! ”
หากจะถามว่าใต้หล้านี้ใครกันที่เป็นคนชักศึกเข้าบ้าน ก็คงจะเป็นเจ้าสำนักตานซิน
เขาเองที่เป็นคนวางของพนันอย่างโดนใจมู่เฉียนซีเป็นที่สุด อีกทั้งยังเชื้อเชิญให้คนของมู่เฉียนซีมาเป็นผู้ตัดสิน ถึงเวลานั้นคิดจะร้องไห้ก็ไม่มีที่ให้ยืนร้องไห้แล้ว
เจ้าสำนักตานซิน “การวางพนันครั้งนี้หวังว่าทุกคนคงจะได้ยินกันชัดแจ้งแล้ว อีกสามวันศิษย์สำนักตานซินต้องทุ่มเททำผลงานออกมาอย่างสุดความสามารถ”
ศิษย์สำนักตานซินตะโกนอย่างฮึกเหิม “เฮ! ท่านเจ้าสำนักวางใจได้ พวกข้าจะหลอมจะปรุงยาอย่างสุดความสามารถ ไม่ยอมให้ผู้ใดชิงตำแหน่งอันดับหนึ่งไปได้แน่!”
เจ้าสำนักเย่าอู๋—เย่าเก๋อ กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมกับเหล่าศิษย์สำนักเย่าอู๋ “ข้าหวังว่าพวกเจ้าคงจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
“ท่านเจ้าสำนักโปรดวางใจ พวกเราไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน”
ทั้งสองสำนักคิดจะทำให้มู่เฉียนซีพ่ายแพ้ ไม่ต้องการยอมให้นางได้รับรางวัลมากมายเช่นนี้ จึงขู่ให้นางกลัวและไร้หนทางสู้
บรรดาศิษย์สำนักตานจี้มองพวกเขาเสมือนว่าพวกเขาเป็นคนโง่เง่า ดีอกดีใจตอนนี้มันไม่เร็วไปหน่อยรึ ?!
คิดจะต่อสู้กับผู้นำตระกูลมู่ พวกเขาคิดสงสารคนเหล่านี้จับใจ
เจ้าสำนักตานซิน “วันนี้ทุกคนเหนื่อยมามากแล้ว กลับไปพักผ่อนกันสักหน่อยเถอะ”
เดิมทีสถานที่ที่สำนักตานซินจัดให้สำนักตานจี้พักนั้นเป็นที่พักเก่า ๆ ทรุดโทรมอย่างยิ่ง ในตอนนั้นยังไม่เห็นว่าของที่สำนักตานจี้นำเอาออกมาวางเดิมพันจะล้ำค่าถึงเพียงนี้ ต่อมาทางสำนักตานซินจึงจัดที่พักใหม่ให้กับสำนักตานจี้โดยเปลี่ยนเป็นที่พักอันเงียบสงบให้
ตานคุนกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “ครานี้สำนักตานซินใจกว้างอย่างมาก ไม่เลวเลย”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเกียจคร้าน “สามวันนี้ข้าจะเก็บตัวฝึกฝนอยู่ในห้อง หากไม่มีเรื่องสำคัญอันใด ห้ามผู้ใดมารบกวนข้าเป็นอันขาด”
การหลอมยานางก็ต้องคว้าโอกาสไว้ การฝึกฝนยิ่งต้องคว้าโอกาสไว้ นางต้องรีบทะลวงพลังเป็นปรมาจารย์ภูตให้เร็วที่สุด
ตานคุน “ท่านผู้นำตระกูล ครั้งนี้เราวางพนันด้วยของล้ำค่ามากมายเช่นนี้ หากสองสำนักนั่นเล่นอุบายให้ท่านพ่ายแพ้เข้าล่ะจะทำอย่างไร ? เราจะเตรียมตัวรับมือไว้ก่อนดีหรือไม่ ?”
มู่เฉียนซีแสดงสีหน้าสบาย ๆ “ไม่จำเป็น ข้าไม่มีวันแพ้คนโง่เขลาเหล่านั้น”
หลังจากที่มู่เฉียนซีหันหลังเดินไป ตานคุนบ่นพึมพำกับตนเอง “ข้ากำลังกังวลอะไรกัน ? ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นท่านผู้นำตระกูลมู่ทำสิ่งใดที่นางไม่มั่นใจเลยสักครั้งเดียว”
ชิงอิ่ง บุรุษที่ท่าทางเหมือนรูปปั้นยืนเฝ้าหน้าห้องมู่เฉียนซี มู่เฉียนซีเก็บตัวอยู่ในห้องอย่างวางใจ นางหยิบเอาหยกวิญญาณเซิ่งที่ประมูลมาได้ในวันก่อนออกมา และทะลวงพลังเป็นจอมภูตระดับเก้าอย่างรวดเร็ว
……
เช้าตรู่ของสามวันต่อมา ทุกคนพบว่ามีพลังวิญญาณบางอย่างที่ทำให้ท้องฟ้าทั่วทั้งสำนักตานซินแปรผันไปอย่างประหลาด
ใครบางคนร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ “เกิดอะไรขึ้น ?”
“ดูเหมือนว่าจะมีคนทะลวงพลังวิญญาณได้! นี่เป็นการทะลวงพลังวิญญาณระดับราชาแห่งภูตหรือว่าจักรพรรดิแห่งภูตกันแน่ ?”
“ตำแหน่งนั้นน่าจะเป็นที่พักของสำนักตานจี้ โอ้!”
ผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นต่างพากันยกโขยงไปดู สิ่งที่ทำให้ทุกคนไม่อยากจะเชื่อปรากฏให้เห็นให้ทราบโดยทั่วกัน นี่มิใช่การทะลวงพลังระดับราชาแห่งภูตหรือจักรพรรดิแห่งภูตแต่อย่างใด ทว่าเป็นการทะลวงพลังเป็นจอมภูตระดับเก้าของมู่เฉียนซี
“ทะลวงพลังจอมภูตระดับเก้าสามารถทำให้ท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนได้ถึงเพียงนี้เลยรึ ? เป็นไปได้อย่างไรกัน ?!”
“เด็กหนุ่มผู้นั้น เดิมทีเขาเป็นจอมภูตระดับแปดทว่าก็สามารถหลอมยาออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว หากทะลวงพลังวิญญาณเป็นจอมภูตระดับเก้าอย่างที่ว่าจริง ๆ ก็คงจะทรงพลังมากกว่าเดิมเป็นแน่แท้”
“ต่อให้เป็นระดับเก้าก็เป็นเพียงจอมภูต จะสู้ศิษย์พี่หวังของพวกเราได้อย่างไรกัน ?”
มู่เฉียนซีกำลังอยู่ในระหว่างการทะลวงพลังวิญญาณ ทว่าเวลาการแข่งขันใกล้จะเริ่มขึ้นเต็มที ศิษย์ทั้งสองสำนักใหญ่ก็มาพร้อมกันที่เวทีการแข่งขันประลองฝีมือหลอมปรุงยา
ทว่า… ศิษย์ของสำนักตานจี้ยังไม่มา
เจ้าสำนักตานซินกล่าว “ตานคุน หากเฉียนซีศิษย์ของเจ้ายังไม่มาก็จะนับว่าสละสิทธิ์แล้ว!”
เวลานี้ตานคุนร้อนใจอย่างมาก ผู้นำตระกูลมู่เร่งมือหน่อยได้หรือไม่ ?!
ภายในเวลาสามวันนางสามารถทะลวงพลังวิญญาณได้หนึ่งระดับขั้น เหตุใดถึงไม่ทะลวงก่อนวันแข่งขันกัน ?
“เวลานี้มู่ซีกำลังทะลวงพลังวิญญาณอยู่ ยืดเวลาให้อีกหน่อยได้หรือไม่ ?” ตานคุนกล่าวถาม ดวงตาฉายประกายความคาดหวัง
ตานซิงกล่าวอย่างไม่แยแส “สองสำนักของพวกเรามีศิษย์มากมายหลายคน จะรอศิษย์สำนักเจ้าเพียงผู้เดียวเกรงว่าจะไม่ได้ ถึงแม้ว่าเจ้าเด็กหนุ่มนั่นจะมีพรสวรรค์ในการหลอมยาสูงก็ตามที”
เย่าเก๋อเจ้าสำนักเย่าอู๋ก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ทะลวงพลังวิญญาณอะไรกัน เพียงแค่จอมภูตผู้หนึ่งทะลวงพลังวิญญาณจะใช้เวลาสักเท่าไหร่กันเชียว ? ข้าว่าเจ้าเด็กนั่นคงจะไม่กล้ามาเข้าร่วมแล้วมากกว่า หากเจ้าเด็กนั่นมาไม่ทันตามเวลาที่กำหนดเอาไว้จะถือว่าสละสิทธิ์ ในเมื่อพ่ายแพ้ไปแล้วโดยที่พยานมากมายเช่นนี้ สำนักตานจี้คงจะไม่เบี้ยวพนันที่วางเอาไว้ใช่หรือไม่ ?”
พวกเขาแต่ละคนกำลังบีบบังคับตานคุนอย่างไม่ปราณี
ตานคุน “ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลา ข้าเชื่อว่ามู่ซีต้องมาทัน”
การแข่งขันรอบที่สองเกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้ ปรมาจารย์นักปรุงยาเวินเหรินอดที่จะเหงื่อตกแทนมู่เฉียนซีไม่ได้ หากผู้นำตระกูลมู่มาไม่ทันเวลาแข่งขันจริง ๆ หวังว่าเขาจะทำตามที่ได้วางพนันกันเอาไว้
เวลาค่อย ๆ ผ่านไปอย่างช้า ๆ
เจ้าสำนักตานซินกล่าวขึ้นว่า… “ถึงเวลาแล้ว เจ้าหนุ่มนั่นยังไม่มา เช่นนั้นก็…”
ทันใดนั้นเสียงที่เย็นชาดังแทรกขึ้น “ใครบอกว่าข้าไม่มา ข้ามาแล้ว”
พวกเขาหันไปมองที่เวทีการประลองฝีมือในตำแหน่งของสำนักตานจี้ พลันได้เห็นร่างเด็กหนุ่มรูปงามยืนอยู่ ใบหน้าวิจิตรงดงามเสมือนมิใช่มนุษย์ ดวงตาสีเขียวสุกใสเป็นประกายไปด้วยความสว่างพร่างพราว
“จะ… เจ้า…” ทุกผู้คนตกตะลึง
.