เสียงโหวกเหวกโวยวายรอบด้านพลันเงียบลง เสียงร้องของบ่าวรับใช้ที่ได้รับบาดเจ็บก็ยิ่งบาดหูมากขึ้น

ครานี้ทุกคนต่างเห็นศรในมือของหญิงนางที่ส่องประกายแวววาวภายใต้แสงตะวันอันเจิดจ้า

พวกเขาต่างชะงักฝีเท้าไม่กล้าเคลื่อนไหว

“จะ…เจ้า เจ้าจะทำอะไร” นายใหญ่เฉิงมองศรยาวที่เล็งมายังตนพลางเอ่ยถามเสียงตะกุกตะกัก

“ท่านคิดว่าครั้งก่อนข้าไม่ได้ยิงท่าน ครั้งนี้ก็จะไม่ยิงหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้น

“เฉิงเจียวเหนียง จะ…เจ้าช่างกำเริบเสิบสาน!” นายใหญ่เฉิงตวาด “หลานสาวจะยิงลุงตัวเอง อกตัญญูนัก!”

พ่อบ้านเฉาที่อยู่ด้านข้างกลืนน้ำลายลงคออย่างอดไม่ได้

หากใช้หัวศรที่มีผ้าพันไว้เล็งไปยังนายใหญ่เฉิงก็คงไม่เป็นไรหรอก แต่หัวศรเป็นประกายแวววาวเช่นนี้กลับทำคนให้ตกอกตกใจอยู่ไม่น้อย

ลูกหลานทำร้ายผู้อาวุโสเป็นโทษร้ายแรงที่ให้มิอาจอภัยได้ ต้องโดนตัดหัวโดยไม่ต้องรอให้ถึงสารทฤดู[1] และมิอาจถูกนิรโทษกรรมได้

คงไม่ยิงจริงๆ ใช่หรือไม่

“นายใหญ่คงลืมไปแล้วว่าข้าเป็นบ้า คนบ้าดื้อรั้นหรือทำเรื่องอกตัญญูนั้น ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย ยามนี้นางยังคงถือธนูไว้ เบื้องหน้ายังมีคนเจ็บนอนร้องโหยหวนอยู่ แต่สีหน้าของนางกลับไร้ซึ้งความตื่นตระหนกหรือกังวลใดๆ ทั้งสิ้น ยังคงเรียบเฉยไม่ยินดียินร้ายเช่นเดิม

หากเป็นคนบ้าทำร้ายร่างกายล่ะก็ คงจะไปร้องทุกข์อะไรไม่ได้

ปลายจมูกนายใหญ่เฉิงเหงื่อผุดซึม

นางบ้านี่ปลิ้นปล้อนนัก!

“ข้าได้ทำในสิ่งที่ท่านปรารถนา โดยการออกจากฝั่งเฉิงเหนือมาแล้ว ยามนี้ข้าจะไปอยู่ที่ใดล้วนไม่เกี่ยวกับท่าน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางมองนายใหญ่เฉิง “ข้าจะพูดอีกครั้ง ท่าน เลิกยุ่งกับข้าได้แล้ว”

แม่นางน้อยผู้นี้สวยงามเพียบพร้อม ซ้ำยังไม่พูดจาหยาบคาย ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ควรจะหยาบคายเสียหน่อยจึงจะสะใจ

เขาไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลเฉิง ซ้ำยังไม่ใช่คนรับใช้ คำพูดคำจาอกตัญญูเช่นนั้น กฎหมายคงทำอะไรมิได้

“ไสหัวไป” พ่อบ้านเฉาตะคอกขึ้นตาม

บังอาจนัก! บังอาจมาก!

นี่เป็นครั้งแรกที่นายใหญ่เฉิงถูกคนไล่ตะเพิดเช่นนี้ อีกทั้งคนไล่ยังเป็นเพียงบ่าวที่อายุน้อยกว่า! ซ้ำยังอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายอีกด้วย!

เขาโกรธจนหน้าแดงก่ำ ตัวสั่นไปทั้งร่าง พอก้าวไปข้างหน้าก็ได้ยินเพียงเสียงสายธนูดังขึ้น ลูกธนูปักลงตรงปลายเท้าของเขาอย่างแม่นยำ เฉียดผ่านรองเท้าเขาไปนิดเดียวเท่านั้น ขนสีขาวตรงปลายธนูยังคงส่ายไหวไปมา ราวกับบุปผาที่กำลังเบ่งบานในเหมันต์ฤดู

“นายท่านขอรับ นายท่าน” บรรดาบ่าวรับใช้ต่างพากันตะโกนเรียกเสียงสั่นแล้วรุมกอดเขาเอาไว้

ขณะนั้นเองก็ได้เวลาออกโรงของบ่าวรับใช้แล้ว ผู้เป็นนายไม่อาจขายหน้าได้ แต่พวกเขาขายหน้าก็ไม่เป็นไร พอรั้งนายใหญ่เฉิงที่จะก้าวเข้าไปข้างหน้าเอาไว้จนขยับไม่ได้ ทำได้แค่ก่นด่าเสียงดัง และพยุงสหายที่ถูกยิงที่แขนให้ลุกขึ้นแล้ว ก่อนทุกคนจะพากันออกไปอย่างโกลาหล

เมื่อไม่มีเสียงร้องโหยหวนของบ่าวรับใช้ รอบด้านก็เงียบสงัดขึ้นมา ราวกับไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่

เฉิงเจียวเหนียงลดธนูลง

“เจ้าเอาเงินไป” นางเอ่ยขึ้นพลางมองพ่อบ้านเฉา

ปั้นเฉารับคำแล้วเอาเงินส่งให้พ่อบ้านเฉา พ่อบ้านเฉารับไปโดยไม่ลังเล

เฉิงเจียวเหนียงมองไปยังผู้เฒ่า

“เจ้าพาคนไปเลือกที่ดินแล้วสร้างบ้านเถิด” นางเอ่ยพลางยื่นมือชี้ไปที่พ่อบ้านเฉา “เอาเงินที่เขา”

ผู้เฒ่าที่กำลังตะลึงตาค้าง พอได้ยินดังนั้นก็ได้สติกลับมา

“มะ…ไม่…” เขาเอ่ยเสียงสั่น

ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี เฉิงเจียวเหนียงก็มองเขาแล้วเอ่ยขัดว่า

“เจ้ารีบไปก็ไปเสีย” นางเอ่ย “เจ้าคิดว่าข้าล้อเล่นหรือ”

ทุกคนในที่นั้นพลันกระจ่างแจ้งขึ้นมา

เมื่อครู่ตอนที่นางเอ่ยประโยคนั้นขึ้น ก็มีคนถูกยิงจนล้มไปกองกับพื้น

นี่มันคนบ้าชัดๆ อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ไม่แน่นอนเช่นนี้!

ผู้เฒ่าไม่พูดพร่ำทำเพลง หันหลังเดินออกไป

“ไป ไป” เขาไล่คนที่มามุงดูอยู่ด้านนอก

ฝูงชนเหล่านั้นจึงรีบแยกย้ายกันตามที่เขาบอก

ผู้เฒ่าเดินออกมาครู่หนึ่งก็หยุดฝีเท้าลง เขาทึ้งหัวแล้วหันกลับไปในทันใด ลากเด็กน้อยที่ถูกลืมไว้ในบ้านออกมา เด็กน้อยยิ้มสดใสให้เฉิงเจียวเหนียงที่มองพวกเขาอยู่ แล้วเดินดุ่มๆ ออกมา

เด็กน้อยปล่อยให้ปู่จูงมืออย่างเชื่อฟัง สายตายังคงมองเฉิงเจียวเหนียงและธนูในมือของนางอยู่ พอเดินออกมาไกลมากแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า

“เก่งกาจเป็นที่สุด…” เขาพึมพำขึ้น พอได้สติก็กระตุกแขนปู่อย่างแรง “ท่านปู่ ท่านปู่ ข้าอยากเรียนยิงธนู ข้าจะเรียนยิงธนู!”

ผู้เฒ่าส่ายหน้า

“จะเอาเงินที่ไหนไปเรียน” เขาเอ่ย

บนโลกนี้จะเรียนทักษะอะไรโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้ ทั้งต้องอดทนพยายาม แล้วยังต้องมีเงินอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอยากเก่งกาจในทักษะนั้น ใช้เพียงกิ่งไม้ เชือกป่าน ปล้องไผ่ก็เอามาทำธนูได้ แต่จะสามารถฝึกฝนให้เก่งกาจได้นั้นก็ต้องใช้ธนูดี

ยามนี้ธนูล่าสัตว์ธรรมดาคันหนึ่งก็ต้องใช้เงินหลายสิบก้วน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงธนูแกร่งที่ใช้หางม้าหรือผมคนมาทำพวกนั้น

“เจ้าเอาศิลปะสี่แขนงอย่างพิณ หมากรุก เขียนพู่กัน วาดรูปพวกนั้นมาทำให้ท้องอิ่มได้แล้วค่อยไปเรียนธนู รอพวกเราท้องอิ่ม มีชีวิตต่อไปให้ได้เสียก่อนค่อยว่ากัน”

ยามสนธยาเยื้องย่างเข้ามา เรือนน้อยหลังนี้ก็ถูกจัดใหม่จนเสร็จสิ้น

พ่อบ้านเฉาและพรรคพวกใช้บ้านสองหลังของสองครอบครัวที่อยู่ข้างๆ มาอยู่อาศัย เพื่อจะได้เพียงพอต่อการพักอาศัยของพวกเขานับสิบคน

“ยามนี้อากาศหนาวแล้ว พวกเขามีทั้งคนชราและเด็ก คงไม่หนาวกันแย่หรอกกระมัง” ปั้นฉินกระซิบเอ่ยกับพ่อบ้านเฉา

“ไม่หรอก” พ่อบ้านเฉายิ้มเอ่ย “ข้าดูแล้ว ที่ที่พวกเขาย้ายไปอยู่ แม้จะเป็นบ้านที่ทิ้งร้างไปแล้ว แต่ก็ไม่ทรุดโทรม ลงแรงปัดกวาดจัดใหม่เสียหน่อยก็ไม่ต่างอะไรกับที่นี่ด้วยซ้ำ ซ้ำยังสร้างบ้านเพื่อหารายได้ มีแต่คนแย่งกันจะไปทั้งนั้น ข้าก็บอกกับเฉิงจี้แล้วว่าให้ซื้อฟืนมามากหน่อย อย่าได้ประหยัดมากนัก เกิดมีคนหนาวขึ้นมานายหญิงจะไม่ชอบใจเอาได้”

ผู้เฒ่าแซ่เฉิง นามว่าจี้คนนั้น กลายเป็นผู้ควบคุมดูแลการปลูกบ้านในครั้งนี้

“เขาคงใช้ได้อยู่กระมัง” ปั้นฉินเอ่ยถาม

“ตามหาเฉิงผิงคราก่อนให้ค่าเหนื่อยไปจำนวนหนึ่ง เฉิงจี้ก็บอกว่าไม่เอา ซ้ำเจ้าตัวยังแบ่งให้แก่คนอื่นไปอย่างยุติธรรมอีก” พ่อบ้านเฉาเอ่ยแล้วหัวเราะออกมา “แต่นี่ก็ไม่แน่ เงินน้อยอาจไม่ต้องการ เงินมากนี่สิ…ข้าให้คนจับตาดูเขาไว้แล้ว จินเกอร์ก็ตามเขาอยู่ตลอด…”

ปั้นฉินพยักหน้าพลางพูดคุยกับพ่อบ้านเฉาเรื่องการซื้อเครื่องเรือนกับของเพิ่มเติม

“ที่ข้ามีเงินพอแล้ว เจ้าไม่ต้องห่วง ล้วนเปลี่ยนเป็นของดีๆ แน่นอน” พ่อบ้านเฉาพยักหน้ารับ

“ไม่ต้องหรอก นายหญิงเป็นคนอยู่ง่าย ดีก็อยู่ได้ ไม่ดีก็อยู่ได้” ปั้นฉินยิ้มเอ่ย

ขณะที่ทั้งคู่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีคนมาเคาะประตู พอหันไปดูก็เห็นเป็นผู้เฒ่าคนนั้น

“พวกเราปรึกษากันพอสมควรแล้ว ดังนั้นจึงจะมาขอคำชี้แนะจากแม่นาง” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม

ปั้นฉินให้เขารออยู่ก่อน ส่วนนางจะเข้าไปบอกให้ เฉิงเจียวเหนียงตื่นจากงีบแล้ว กำลังอ่านตำราอยู่ ได้ยินที่ปั้นฉินบอกจึงให้เขาเข้ามา

………………………..

[1] ในสมัยโบราณจะประหารนักโทษในฤดูนี้