เฉิงจี้ก้าวเข้าประตูมา ความรู้สึกซับซ้อนเกิดขึ้นในใจ

บ้านหลังนี้เป็นเขาเองที่สร้างมันมากับมือ ทั้งยังอยู่มากว่าสิบปี ให้หลับตาเดินรอบยังได้ แต่ยามนี้เพิ่งจะจากไปเพียงครึ่งวันเท่านั้น พอเข้ามาอีกครั้งกลับรู้สึกไม่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก

ห้องนี้กว้างแค่จั้งสองจั้ง[1] เตียงเอย โต๊ะเอย ตู้เอยที่เคยวางอยู่ด้านในล้วนถูกยกออกไปหมด มีพรมกลางเก่ากลางใหม่ปูอยู่ผืนหนึ่ง มีเตียงเตี้ยสี่ขาหลังหนึ่งวางอยู่ มีม่านและฉากบังลมกางกั้น ด้านหน้านั้นวางโต๊ะเตี้ย ที่จุดกำยาน โคมไฟ บนผนังมีธนูแขวนอยู่ เป็นระเบียบเรียบร้อย ทว่ากลับดูงดงามและแสนสงบ

หน้าฉากกั้นลม แม่นางน้อยเอนกายพิงโต๊ะเตี้ยในมือถือตำราไว้ม้วนหนึ่ง สวมกระโปรงและเสื้อคลุมสีขาว เพราะกำลังนอนเหยียดกายในท่าสบาย เท้าข้างหนึ่งที่สวมถุงเท้าสีขาวจึงโผล่ออกมาจากกระโปรง

เฉิงจี้รีบดึงสายตากลับ ในใจกลับสั่นไหวอย่างปิดไม่มิด

ภายในห้องอันเงียบสงบนี้ ราวกับทุกอย่างถูกหยุดไว้ มีเพียงกลิ่นไม้จันทน์หอมที่ลอยอวลขึ้นจากที่จุดกำยานรูปหัวสัตว์ด้านข้าง แผ่กระจายไปทั่วห้อง

นึกไม่ถึงว่าห้องของตัวเองจะงดงามราวกับภาพวาดเช่นนี้ เป็นเพราะเครื่องเรือนเหล่านี้ หรือเพราะคนกันแน่

“มีธุระอันใดหรือ” เฉิงเจียวเหนียงวางตำราในมือลง นั่งตัวตรงเอ่ยถาม

เฉิงจี้ลืมคำนับไป

“พวกเรา…พวกเราเลือกที่ดินได้แล้วขอรับ…” เขาลังเลครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เตรียมจะไปเชิญช่างมาดูว่าควรสร้างอย่างไร”

เขาพูดถึงตรงนี้แล้วหยุดครู่หนึ่ง

“เชิญมาได้หรือไม่” เขาถามหยั่งเชิงดู

“เชิญมาเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

ภายในห้องเงียบลงครู่หนึ่ง

“แม่นาง อันที่จริงท่านไม่ต้องทำประชดเช่นนี้ก็ได้” เฉิงจี้สูดหายใจลึกแล้วเงยหน้ากล่าว

เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ พวกเขาต่างรวมตัวกันวิเคราะห์ดูแล้ว อาจเป็นเพราะความห่างเหินของแม่นางน้อยกับนายใหญ่เฉิงดังนั้นนางจึงโกรธ คิดจะแยกมาใช้ชีวิตเองอยู่ต่างหาก แล้วสร้างเรือนของตัวเองที่นี่เสียเลย

“เจ้าไม่ใช่ข้า อย่าได้เอาความคิดของเจ้ามาคาดเดาข้า” เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแล้วเอ่ยขึ้น

เฉิงจี้สีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมา

“ข้าไม่เคยพูดโกหก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ทุกคำที่ข้าพูดล้วนออกมาจากใจจริง มิใช่คำพูดตามมารยาท และมิใช่การเสแสร้ง ยามนี้ข้าจะพูดอีกครั้ง เจ้าอย่าได้มาถามข้าอีก หมู่นี้ข้าอารมณ์ไม่ค่อยดี”

หมู่นี้อารมณ์ไม่ค่อยดี…

ปั้นฉินที่อยู่ด้านนอกทั้งตกใจทั้งเป็นห่วง

ที่ตกใจคือนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินนายหญิงบอกว่าอารมณ์ไม่ดี แต่ไหนแต่ไรมาล้วนไม่ยินดียินร้ายอะไรทั้งนั้น ส่วนที่กังวลนั้นคือเหตุใดนายหญิงจึงอารมณ์ไม่ดีได้ เพราะตระกูลเฉิงทำกับนางเช่นนี้หรือ แต่ไม่ใช่ว่าตระกูลเฉิงทำเช่นนี้กับนางมาโดยตลอดหรอกหรือ คงไม่ถึงขนาดมาเสียใจเอาเวลานี้ได้กระมัง

เฉิงเจียวเหนียงยื่นมือออกไปหาเฉิงจี้

“หนึ่งคือ ข้าพักอยู่ที่บ้านเจ้าชั่วคราว สองคือ ข้าให้เงินพวกเจ้าไปสร้างบ้านอยู่กันเอง มีเท่านี้เอง เจ้าฟังเข้าใจหรือยัง” นางเอ่ยถาม

เข้าใจน่ะเข้าใจ แต่ว่า…

“เพราะเหตุใดกัน” เฉิงจี้รีบเอ่ยขึ้น “แม่นาง บ้านหลังนี้น่ะ เงินที่จ่ายล้วนเป็นเงินท่านนะขอรับ”

“แล้วอย่างไร” เฉิงเจียวเหนียงถาม “สร้างบ้านให้พวกเจ้าแล้วยังไม่ยินดีอีกหรือ”

“ยินดีสิขอรับ มีใครบ้างจะไม่ยินดี” เฉิงจี้ยิ้มเจื่อน “แต่ไหนเลยจะมีบ้านตกลงมาจากฟ้าให้เปล่าๆ ได้!”

“ไม่ได้ตกลงมาเปล่าๆ เสียหน่อย ไม่ใช่ว่าข้าอยู่บ้านเจ้าไปแล้วหรือ คนของข้าก็ไปพักอยู่บ้านของพวกเขาแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “เหตุใดเจ้าจึงได้ฟั่นเฟือนเช่นนี้”

ใครกันแน่ที่ฟั่นเฟือน!

พูดคุยกับเด็กที่หัวคิดแปลกประหลาดเช่นนี้มันช่าง…เฉิงจี้ถูมือไปมา

“แม่นาง นะ…นี่คือเงินของตระกูลเฉิงหรือ” เขาเอ่ยถาม

“เจ้าว่าตระกูลเฉิงจะให้เงินข้าหรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงย้อนถาม

แน่นอนว่าไม่…

“นี่เป็นเงินของข้า” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “พวกเจ้าใช้ได้อย่างวางใจก็พอ”

แม่นางน้อยอย่างนางเอาเงินมาจากที่ใดกัน เฉิงจี้ความคิดยุ่งเหยิง

“แม่นาง ท่านมิได้โกรธจริงๆ หรือ” เขากัดฟันถาม

เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแล้วหยิบตำราขึ้นมา

“ข้าไม่เคยโกรธมาก่อน” นางบอก

“แต่ว่า เงินนี่ เงินนี่แม่นางเก็บไว้เองไม่ดีกว่าหรือ ทำเช่นนี้จะไม่เสียเปล่าไปหรอกหรือ…” เฉิงจี้เอ่ย

เฉิงเจียวเหนียงแย้มยิ้ม

“เงินไม่ได้มีไว้ใช้หรอกหรือ ไม่เช่นนั้นมันจะมีประโยน์อะไรอีก” นางยิ้มเอ่ย

เฉิงจี้จนใจ

“เอาล่ะ ข้าพูดจริง พวกเจ้าไปสร้างบ้านเสีย จะสร้างอย่างไร ให้ใครพักอยู่ พวกเจ้าก็จัดการกันเอาเอง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย พูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปครู่หนึ่ง “แต่ตอนทำงานให้เฉิงผิงมาดูได้จะดีมาก”

เฉิงผิงอย่างนั้นรึ

หรือทั้งหมดทั้งมวลนี้จะเกี่ยวข้องกับเฉิงผิง เพื่อเฉิงผิงคนนี้ แม่นางน้อยจึงได้…

ความคิดในใจเฉิงจี้พลันเปลี่ยน เขามองเฉิงเจียวเหนียง

ช่างเถิด ไม่คิดแล้ว สวรรค์ให้อะไรมาก็รับอันนั้นไว้ก็แล้วกัน สุดท้ายก็ไปพักที่ที่ตนควรพักอยู่ดี ซ้ำยังไม่ได้สูญเสียอะไรไป เสียอย่างมากก็แค่พละกำลัง เสียแรงกายไปสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ปัดเป่าความเหน็บหนาวในฤดูหนาวได้พอดี อีกทั้งทุกคนก็ยังได้มีอะไรให้ทำ

ทำก็ทำวะ!

“ได้ เช่นนั้นข้าขอตัว” เขาสูดหายใจลึกเอ่ยบอกแล้วคำนับ “ขอบคุณแม่นางนัก”

เฉิงเจียวเหนียงคำนับคืนแล้วไม่ได้เอ่ยอันใด

พอเฉิงจี้ออกไป ผู้คนในตรอกตรงข้ามที่นั่งยองๆ บ้าง ยืนกันบ้าง เห็นเขาออกมาก็ตื่นเต้นกันยกใหญ่

“ปะ…เป็นอย่างไรบ้าง” มีคนเอ่ยถามเสียงติดขัด

ส่วนคนอื่นๆ ก็ตื่นเต้นกันเสียจนพูดอะไรไม่ออก มองตาเฉิงจี้ไม่กระพริบ เกรงว่าพอกระพริบตาแล้วจะตื่นขึ้นจากฝันหวานนี้เอาได้

แม้ว่าจะเป็นความฝัน แต่ก็ยอมที่จะอยู่ต่ออีกหน่อย

“เป็นเรื่องจริง” เฉิงจี้เอ่ยขึ้น

สามคำนี้หลุดออกมาจากคนตรงหน้า เหล่าผู้คนต่างพากันเงียบกริบ

เฉิงจี้เห็นท่าทางของพวกเขาแล้วหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ นึกย้อนไปว่ายามที่ตัวเองอยู่ต่อหน้าแม่นางเฉิงก็คงชะงักไปเช่นนี้เหมือนกันกระมัง

“เป็นเรื่องจริง!” เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม แล้วเอ่ยเสียงดังขึ้นอีกว่า “เป็นเรื่องจริง!”

ครั้งนี้ทุกคนจึงได้สติขึ้น ก่อนจะพากันกู่ร้องดีอกดีใจยกใหญ่ บางคนก็ดีใจจนน้ำตาไหลออกมา

“พวกเราเร่งมือกันสักหน่อย ต้นฤดูบไม้ผลิจะได้เข้าพักบ้านใหม่!” เฉิงจี้ตบมือเอ่ยขึ้น

ทุกคนต่างรับคำกันเสียงดัง

“เรียกพวกที่ขายแรงงานที่อยู่ตามตลาดมาให้หมด!”

“…ท่านลุงจี้ ท่านว่าอย่างไรก็เอาอย่างนั้น…”

“…ไปหาผู้คุมบัญชีมาสองคน…ไป ไป พวกเรานั่งลงแบ่งงานกันก่อน…”

พ่อบ้านเฉากับปั้นฉินเห็นเสียงดังเอะอะด้านนอกค่อยๆ เงียบลงจึงละสายตาหันกลับมา

เคยเห็นแต่นายหญิงใช้เงินมากมายทำลายคน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นนายหญิงโปรยเงินมากมายมหาศาลเช่นนี้เพื่อแจกคน

นายหญิงผู้นี้กระทำการสิ่งใดล้วนแปลกประหลาดยากที่จะคาดเดา

พ่อบ้านเฉาส่งเสียงเดาะลิ้น

ทว่าสำหรับนายหญิงแล้วเงินเหล่านี้ไม่นับว่ามากมายอะไร เพราะในมือนางมีของล้ำค่าที่สุดใต้แผ่นฟ้าอยู่

เงินทองพันตำลึงหมื่นก้วน ความมั่งคั่งเฟื่องฟู พรสวรรค์ล้ำเลิศ ปณิธานสูงส่ง แต่สุดท้ายสิ่งที่ได้มานั้นก็ไม่พ้นชีวิตหนึ่งชีวิต

………………………

[1] จั้ง หน่วยวัดพื้นที่ของจีน 1 จั้ง เท่ากับ 3.33 เมตร