บทที่ 22 แม่ยายถูกหลอก

ทุกคนจึงกลับเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงอีกครั้ง ก่อนที่นายหญิงใหญ่เซียวจะจูงมือเซียวชูหรันขึ้นไปบนเวที

ดูท่าทางสนิทสนม ก่อนเอ่ยขึ้น “เรื่องเมื่อสักครู่ต้องขออภัยจริงๆ เป็นความผิดของคนแก่อย่างดิฉันเอง ความจริงแล้วครั้งนี้ต้องกความคิดความชอบให้กับชูหรัน เธอต่างหากที่เป็นทายาทของตระกูลเซียว ความร่วมมือระหว่างตระกูลเซียวและตี้เหาในครั้งนี้ชูหรันเองก็ทุ่มเทไปมาก”

หวังตงเสวี่ยนที่อยู่ด้านข้างเธอ มองค้อนเธอแวบหนึ่งก่อนจะโบกมือให้เธอหยุดพูด ก่อนเป็นฝ่ายเอ่ยต่อ “ดิฉันขอแก้ไขนิดนึงนะคะ ความร่วมมือในครั้งนี้คุณเซียวชูหรันไม่ใช่แค่ทุ่มเทมากค่ะ แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากความสามารถของเธอคนเดียว ไม่มีความเกี่ยวข้องกับคนอื่นเลยแม้แต่น้อย”

ประโยคข้างต้นเอ่ยอย่างไร้ความเกรงใจ ว่าทุกคนล้วนชินชาไปแล้ว เพราะจากตำแหน่งของตี้เหา ถึงแม้หวังตงเสวี่ยนจะตบหน้านายหญิงเซียวสักทีสองที หล่อนก็คงไม่กล้าว่าอะไร

นายหญิงใหญ่เซียวรีบพยักหน้ารัวๆ “รองประธานหวังพูดถูกค่ะ ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากฝีมือของชูหรัน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ชูหรันคือผู้อำนวยการของตระกูลเซียวของเรา! และเป็นผู้รับผิดชอบโครงการความร่วมมือระหว่างตระกูลเซียวและตี้เหากรุ๊ปทั้งหมด!”

ได้ยินดังนั้นหวังตงเสวี่ยนจึงเผยรอยยิ้มออกมา ก่อนจะยืนมือไปจับกับเซียวชูหรัน “หวังว่าความร่วมมือของเราจะราบรื่นนะคะ”

จนถึงตอนนี้เซียวชูหรันก็ยังมีความมึนนงงอยู่จึงได้แต่พยักหน้ารับ

ฉับพลันก็มีเสียงปรบมือดังกึกก้องจากด้านล่างเวที สายตาของทุกคนที่จับจ้องมายังเซียวชูหรันล้วนเต็มไปด้วยความยินดี

ผู้หญิงคนนี้ไปได้เส้นสายมาจากไหนกัน! เหตุใดตี้เหากรุ๊ปถึงให้ความสำคัญกับเธอขนาดนี้!

เซียวชูหรันเองก็ยังคงมึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น เธอจึงหันหน้าไปมองเย่เฉิน เหตุการณ์ในตอนนี้ตรงกับที่เย่เฉินบอกเมื่อสักครู่ทุกอย่าง นายหญิงใหญ่เซียวคืนตำแหน่งผู้อำนวยการให้กับเธอดังเดิม

กระทั่งงานเลี้ยงจบหลังจนกลับมาถึงบ้านแล้วเซียวชูหรันก็ยังตกอยู่ในความงงงวยอยู่

ย้อนนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของเย่เฉิน เธอก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ หลายวันมานี้เย่เฉินดูแปลกไปจากปกติ

เหมือนว่าบนตัวเขามีหลายอย่างมากที่เธอไม่เข้าใจ ราวกับมีหมอกหนาปกคลุมอยู่เป็นชั้นๆ

คืนนี้ชื่อเสียงของเซียวชูหรันโด่งดังไปทั่วเมืองจินหลิง!

ใครๆก็รู้ว่าจตระกูลเซียวมีทายาทที่โดดเด่นคนหนึ่ง ถึงกับสามารถทำให้ตี้เหากรุ๊ปยื่นมือเข้ามาช่วยได้!

เห็นทีว่าการมีอยู่ของเธอจะทำให้ตระกูลเซียวเจริญก้าวหน้าในเร็ววัน

……

เช้าวันต่อมา เซียวชูหรันตื่นแต่เช้าและรีบไปบริษัทอย่างสดชื่น

วันนี้เป็นวันแรกในการดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการของเธอ เธอหวังว่าตัวเองจะทำเรื่องนี้ได้อย่างเต็มที่สุดความสามารถและผลลัพธ์ออกมาดี

ด้านเย่เฉิน หลังจากตื่นนอนก็เริ่มทำงานบ้านดังเช่นทุกวัน

หลังจากเย่เฉินทำงานบ้านเสร็จและเตรียมตัวจะไปตลอดเพื่อซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารเที่ยง ฉับพลันก็มีสายจากหม่าหลันแม่ยายของเขาโทรเข้ามา

เมื่อรับสายแล้วก็มีเสียงรีบร้อนถึงขีดสุดของแม่ยายดังขึ้นมา “เย่เฉิน แกต้องรีบมาที่ถนนผิงอันภายในสิบนาที ไม่อย่างนั้นล่ะก็กลับมาบ้านฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่!”

พูดจบก็ตัดสายทิ้งทันที

เย่เฉินมึนงงไปหมด แม่ยายหายไปไหนไม่รู้แต่เช้า ตอนนี้กลับโทรมาอย่างรีบเร่งราวกับว่ามีเรื่องด่วนเกิดขึ้น

ถึงแม้ว่าเย่เฉินจะไม่ชอบใจในตัวแม่ยายคนนี้ ทว่าเขาก็ไม่กล้าชักช้า รีบเก็บของแล้วเรียกแท็กซี่ตรงไปยังถนนผิงอันทันที

เมื่อลงจากรถเขาก็พบกับคุณลุงคุณป้ากลุ่มใหญ่กำลังล้อมอยู่หน้าประตูของบริษัทประกันภัยอย่างชุลมุน

ส่วนแม่ยายของตนเองนั้นอยู่หน้าสุดของกลุ่ม ในมือถือป้ายแผ่นหนึ่งพลางตะโกนออกมาด้วยความโมโห “หัวซินบริษัทขยะ หลอกลวง พวกเราจะเรียกร้องสิทธิ์ของเรา คืนเงินเรามา!”

เย่เฉินจึงรีบเดินเข้ามาก่อนเอ่ยถาม “คุณแม่เรียกผมมามีเรื่องอะไรหรือครับ?”

ขณะที่กำลังพูดก็มีเสียงตะโกนเรียกร้องดังขึ้นอีกครั้ง คุณลุงคุณป้าทั้งหลายต่างก็ตะโกนอย่างสุดเสียงทำเอาแก้วหูสั่นสะเทือนกันเลยทีเดียว

หม่าหลันลากตัวเย่เฉินมาอยู่แทนที่ตัวเองจากนั้นก็เอ่ยย้ำ “มานี่ มาตะโกนคำขวัญนี้แทนฉันหน่อย ฉันตะโกนมาตั้งแต่เช้าจนเจ็บคอไปหมดแล้ว”

เย่เฉินยังไม่เข้าใจทว่าทำได้เพียงตะโกนเรียกร้องตามคุณลุงคุณป้าทั้งหลาย ขณะที่ตะโกนก็สอบถามที่มาที่ไปจากคุณลุงข้างๆเป็นระยะ ถึงได้รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

เดิมที่บจก.ประกันภัยหัวซินแห่งนี้จำหน่ายพวกประกันที่ให้ผลตอบแทนสูง

กลุ่มคุณลงคุณป้าพวกนี้จึงถูกผลตอบแทนสูงนี้ดึงดูด ทุกคนในที่นี้ล้วนซื้อประกันภายใต้นามของบริษัทนี้ไปมากมายและกลายเป็นลูกค้าของพวกเขา

ว่ากันตามตรงคือตอนนี้ถึงช่วงจ่ายเงินปันผลแล้ว ใครจะไปคิดว่าพอคุณลุงคุณป้ากลุ่มนี้มารับเงิน ถึงเพิ่งพบว่าประตูของบริษัทนี้ปิดสนิท เหลือเพียงพนักงานไม่กี่คนที่อยู่หน้าประตูคอยหาข้ออ้างโง่ๆมารับมือกับทุกคน

คุณลุงคุณป้ากลุ่มนี้ถึงรู้ตัวว่าตัวเองถูกหลอกเข้าแล้ว

มิน่าล่ะแม่ยายของเขาถึงรีบร้อนเรียกเขามาหา ให้เขามาเรียกร้องสิทธิ์กับเธอ

คิดมาถึงตรงนี้เย่เฉินก็ปวดหัว จึงอดที่จะเอ่ยถามแม่ยายตนเองไม่ได้ “คุณแม่ซื้อประกันไปเท่าไหร่ครับ?”

หม่าหลันเอ่ยอย่างร้อนใจ “พวกมันบอกว่าซื้อประกันเพื่อรับเงินปันผลจะได้กำไรก้อนโต ฉันหน้ามืดไปหน่อยเลยเอาเงินเก็บทั้งหมดมาซื้อประกันของพวกมัน……”

เย่เฉินเอ่ยอย่างตกตะลึง “ว่าไงนะครับ? เอาเงินทั้งหมดมาซื้อประกันหมดแล้ว?”

หม่าหลันได้ยินดังนั้นก็มีน้ำโหทันทีจึงด่ากลับ “แกมีปากคนเดียวใช่ไหม? พูดดังขนาดนี้คิดว่าฉันยังอับอายไม่พอใช่ไหม?!”

เธอพูดไปตำหนิเย่เฉินไปพลาง “ถ้าแกมีอนาคตกว่านี้ฉันจะต้องมาซื้อประกันของพวกมันหรือไง? ไม่คาดหวังเงินประกันมาเลี้ยงตอนแก่เฒ่า จะให้ฉันคาดหวังคนไร้ค่าอย่างแกรึไง?”

ไอ้คนนี้ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูครอบครัวตัวเองก็แล้วไป ตอนนี้ยังมีหน้ามาซ้ำเติมอีก?!

เธอจึงเอ่ยกับเย่เฉินอีก “ฉันจะบอกให้นะ ช่วยฉันตะโกนอยู่ตรงนี้ต่อไป ห้ามหยุด!”

เย่เฉินไร้ทางเลือกถึงได้แต่พยักหน้ารับ “ครับคุณแม่”

ขณะนั้นเองก็มีคุณป้าหลายคนเดินเข้ามาพลางมองสำรวจเย่เฉินตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนเอ่ยกับหม่าหลัน “พี่หลัน คนนี้คือลูกเขยพี่ใช่ไหม?”

ขณะที่พูดก็กวาดสายตามองการแต่งตัวของเย่เฉิน ก่อนจะเอ่ยเยาะเย้ย “ทำไมดูจนแบบนี้ สู้ลูกเขยของฉันก็ไม่ได้”

“ใช่ เสื้อผ้าที่ใส่ก็ดูเกรดต่ำ! ยังสู้คนแก่แบบฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ!”

คนนั้นพูดทีคนนี้พูดที ล้วนเป็นคำพูดเยาะเย้ยระคายหูทั้งนั้น

เย่เฉินกลับไม่ใส่ใจสักนิด ล้วนเป็นคนแก่ที่ลงโลงไปครึ่งตัวแล้ว ตอนนี้ยังสูญเสียเงินเก็บทั้งชีวิต ตัวเขาไม่จำเป็นต้องถือสาพวกเธอ

ตอนนี้ใจหม่าหลันก็ร้อนเป็นไฟ ยิ่งมองเย่เฉินยิ่งขัดตาจึงหลุดปากพูด “พวกเธอคอยดูนะ เดี๋ยวฉันจะให้ลูกสาวฉันหย่ากับมัน! จะได้หาลูกเขยที่รวยกว่านี้”

เย่เฉินแค่นยิ้มในใจ ลูกเขยรวยอย่างนั้นหรือ? เอาลูกเศรษฐีทั้งเมืองจินหลิงมารวมกันยังเทียบกับเขาไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว

ตอนนี้หม่าหลันร้อนอกร้อนใจ ลูกเขยไร้ค่าอย่างเย่เฉิน อย่างมากสุดก็ช่วยเธอตะโกนได้นิดๆหน่อยๆเท่านั้นแหละ

เรื่องที่ตนอยากได้เงินคืน ยังไงก็ต้องให้คนที่มีความสามารถจริงๆมาช่วยแก้ปัญหา

น่าเสียดายที่จางเหวินเห้าคนที่ตามจีบลูกสาวเธอบ้านล้มละลายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นยังเรียกเขามาช่วยได้!

ใช่แล้ว!

ฉับพลันหม่าหลันก็นึกขึ้นได้ หวังเหวินข่ายพี่ชายของหวังเหวินเฟยที่ได้ทำความรู้จักเมื่อวานในงานเลี้ยงของตระกูล

เห็นท่าทีที่อีกฝ่ายใส่ใจลูกสาวตัวเอง คาดว่าอีกฝ่ายคงคิดอะไรกับลูกสาวของตนแน่

ถึงแม้ตระกูลหวังจะสู้ตระกูลจางไม่ได้ ทว่าอย่างน้อยก็ถือเป็นตระกูลใหญ่ หากเรียกเขามาคงมีวิธีแก้ปัญหาได้

พอดีกับที่หวังเหวินข่ายให้นามบัตรเธอไว้ เธอจึงหยิบมือถือขึ้นมาต่อสายหาหวังเหวินข่ายทันที