จิ่งเหิงปัวทันได้แค่คว้าดินเหลืองกำมือหนึ่งมาทาลงบนใบหน้า มือข้างหนึ่งทำสัญญาณมือโบกไปมาว่าอย่าเอะอะให้ข้างหลังมั่วซั่ว จากนั้นก็เกิดเสียงดังพลั่ก นางข้ามผ่านรอยแยกของฝูงชนอย่างไม่ทราบสาเหตุแล้วชนเข้ากับรถม้าของกงอิ้น

 

 

ขณะที่พุ่งออกไปนางก็อยู่ในท่าทางเหยียดไปข้างหน้า หนามลับของแหวนบนมือเด้งออกมาแล้ว หนามลับแหลมคมอย่างยิ่ง ม่านหน้าต่างไหมทองของรถม้ากงอิ้นถูกกรีดขาดดังแคว่ก! แขนบ้าบอข้างหนึ่งของนางทะลุเข้าไปตรงแน่วแบบนั้น

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกได้กระทั่งว่าหลังมือของตนเองเกือบจะชนเข้ากับลำคอของกงอิ้นแล้ว

 

 

นางรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง

 

 

ยามนี้รอบด้านพลันเงียบสงบ ทุกคนต่างแข็งทื่ออยู่ที่เดิม

 

 

มองดูนางชนเข้ากับรถม้า ทะลวงม่านหน้าต่างแข็งแกร่งอย่างอธิบายสาเหตุไม่ได้ จากนั้นก๋ติดอยู่กลางช่องโหว่นั้น

 

 

ส่วนคนในรถม้ายังคงไม่มีการเคลื่อนไหว

 

 

 

 

กงอิ้นนั่งตัวตรงไม่ขยับเขยื้อน

 

 

จ้องมองแขนที่อยู่เบื้องหน้า

 

 

แขนเรียวบางตรงแน่ว กระดูกข้อมือทรวดทรงงดงาม แม้ว่าบนมือจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ทว่านิ้วมือนั้นก็ดูเรียวยาวงดงามประณีต

 

 

แววตาเขาเฉียดผ่านบนนิ้วมือนั้น เล็บสะอาดยิ่งยวด ไม่ได้ไว้เล็บยาว ตัดเล็มอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยยวดยิ่ง

 

 

สิ่งที่สะดุดตาเพียงหนึ่งเดียวบนมือน่าจะเป็นแหวนพลอยตาแมวสีทองแดงวงนั้น หนามลับหดกลับไปโดยอัตโนมัติแล้ว พลอยไพฑูรย์ส่องแสงรุ่งโรจน์วูบไหวคล้ายตาแมวเจ้าเล่ห์ของจริงดวงหนึ่ง

 

 

แววตาเขาทอดลงบนแหวนวงนั้นอย่างเนิ่นนาน คล้ายสูดหายใจดังเฮือก

 

 

ลำแสงมัวสลัวภายในรถม้าไม่อาจสาดส่องนัยน์ตาดั่งน้ำนิ่งไหลลึกของเขาให้สว่างไสวได้

 

 

แขนนั้นพลันขยับเขยื้อนคล้ายหวังจะชักกลับไป

 

 

เขาก็พลันขยับเขยื้อนในที่สุด ยกมือขึ้นหนีบปลายนิ้วของนางไว้

 

 

 

 

หลังจากแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง จิ่งเหิงปัวจะชักแขนกลับมาโดยสำนึก…ถ้ากงอิ้นเกิดบ้าขึ้นมาแล้วตัดมือข้างนี้ของนางทิ้งจะทำอย่างไรเล่า?

 

 

แต่พอจะขยับก็รู้สึกตัวว่าขยับไม่ได้ มือถูกกงอิ้นคว้าเอาไว้แล้ว

 

 

พริบตาเดียวนั้น ในใจของนางมีความคิดเลือนรางเฉียดผ่าน…กงอิ้นรังเกียจการแตะต้องแขนขากับคนแปลกหน้าเป็นที่สุดไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดพอมีมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาอย่างมั่วซั่วยังคิดจะลูบคลำอีกเล่า?

 

 

นางก้มหน้าลง รถม้าขาวราวหิมะพอจะสะท้อนเงาของตนเองตอนนี้ได้ แต่งหน้าอยู่แล้ว ซ้ำยังเปรอะเปื้อนดินเหลืองทั่วใบหน้า กงอิ้นมองผ่านม่านหน้าต่างมา ถ้าเขาจำนางได้สิถึงจะประหลาด

 

 

พริบตาหนึ่งนี้สมาธิทั้งหมดอยู่ตรงปลายนิ้ว นางรู้สึกได้กระทั่งลมหายใจเย็นใสบริสุทธิ์ของเขาที่กำลังพัดผ่านบนนิ้วมือของตนเองอย่างแผ่วเบา

 

 

ภายในรถม้ามีเสียงแว่วออกมาจนได้ ทั้งเย็นยะเยือกทั้งเฉยชา เจือด้วยความหนาวสะท้านแผ่วเบา

 

 

“องครักษ์ พานาง…”

 

 

ในใจของจิ่งเหิงปัวเกร็งแน่น…เป็นเสียงของกงอิ้นจริงด้วย!

 

 

ไม่ทันได้คิดให้มากมาย กำปั้นที่ถูกคว้าเอาไว้ของนางก็พลันคลายออก แมลงปอหยกสีแดงในฝ่ามือร่วงหล่น

 

 

นางตะโกนลั่นด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ข้าถูกใส่ร้าย!”

 

 

 

 

ถนนยาวสับสนวุ่นวายพลันเงียบสงัด

 

 

เหล่าองครักษ์ที่กำลังจะลงมือหยุดมือโดยพลัน

 

 

เหยียลี่ว์ฉีกับเทียนชี่ที่กำลังขวางอีชีไว้ ไม่ให้เขาตะโกนกลางฝูงชนต่างปากอ้าตาค้าง

 

 

เหอหว่านที่พยายามปีนออกมาจากข้างล่างรถม้าที่พลิกคว่ำเงยหน้าขึ้นอย่างดีใจ

 

 

ราษฎรทั่วทั้งฉงอานพากันงงงัน

 

 

นี่มันเรื่องใดกัน?

 

 

ขวางเกี้ยวร้องขอความเป็นธรรมหรือ? ทว่าราชครูไม่ยุ่งเกี่ยวการเมืองภายในหกแคว้น ขวางเกี้ยวของราชครูในสถานการณ์เช่นนี้ก็ผิดเป้าหมายไปหรือไม่?

 

 

จิ่งเหิงปัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นเช่นกัน

 

 

นางโพล่งปากตะโกนออกมาทั้งนั้น บทสนทนานี้หลุดออกมาน่าจะเพราะดูละครย้อนยุคน้ำเน่าในโลกปัจจุบันมากไปหน่อย

 

 

ทว่าพอตะโกนออกมาแล้ว ความรู้สึกกลัดกลุ้มในใจของนางคล้ายพุ่งพรวดพรั่งพรูออกมากะทันหันด้วยเช่นกัน

 

 

ข้าถูกใส่ร้าย!

 

 

บนโลกนี้ยังมีใครเหมาะสมที่จะตะโกนประโยคนี้มากยิ่งกว่านาง?

 

 

โลหิตร้อนหลั่งรินหิมะเย็น เพลิงธารเร้นสูญสิ้นชั่วนิรันดร์ น้ำใจไมตรีที่ทุ่มเทมอบให้สุดกำลังเหล่านั้น หัวจิตหัวใจที่ทุ่มเทหลั่งรินทั่วทั้งโลกสุดกำลังเหล่านั้น ร่วงหล่นลงกลางน้ำแข็ง กลางหิมะ กลางแม่น้ำ กลางสายลมที่โหดเ**้ยมและรุนแรงเป็นที่สุด

 

 

สะบั้นแหลกเหลวในพริบตา ยากจะฟื้นคืนสู่สภาพเดิมตลอดกาล

 

 

ข้าถูกใส่ร้าย!

 

 

บนโลกใบนี้นางไม่ควรตะโกนประโยคนี้ขึ้นในตอนนี้เป็นที่สุด!

 

 

นางตะโกนต่อหน้าทุกคนได้ แต่แค่ไม่ควรตะโกนต่อหน้าคนคนนี้!

 

 

รู้สึกได้ว่าพอตะโกนประโยคนั้นออกมาแล้ว บนมือพลันผ่อนคลาย นางชักมือกลับเตรียมที่จะหายตัวทันที

 

 

แต่อาการเหน็บชาลุกลามมาจากแขนอย่างกะทันหัน เรือนร่างของนางอ่อนยวบ พิงอยู่บนตัวรถม้า

 

 

ท่วงท่านั้นดูท่าทางคล้ายนางพลันตื่นตะลึงในความงดงามของราชครู หวังหมอบบนหน้าต่างรถเชยชมอีกสักหน่อย…

 

 

“ช้าก่อน” เสียงของกงอิ้นแว่วมาอีกครั้ง

 

 

แขนของเหล่าองครักษ์ที่กำลังจะคว้านางไว้หดกลับไปโดยพลัน

 

 

หลังจากความเงียบสงบเล็กน้อย รถม้าวางแท่นเหยียบลง เหล่าราษฎรฮือฮาออกมาเสียงหนึ่ง ทุกคนรู้ว่าราชครูจะออกมาแล้ว

 

 

สตรีนางนี้ถูกใส่ร้ายใหญ่โตอะไรจริงหรือ? ร้องเสียงหนึ่งราชครูก็ตอบรับแล้ว?

 

 

นี่คือจะสอบสวนคดีความข้างถนนหรือ?

 

 

สาวน้อยนับมิถ้วนตื่นเต้นดีใจ ซ้ำยังเสียใจว่าเหตุใดเมื่อครู่ตนเองถึงนึกวิธีการสัมผัสราชครูอย่างใกล้ชิดวิธีนี้ไม่ออก? ดูนางสารเลวนั่นสิ ยามนี้ยังหมอบอยู่บนรถม้าของราชครูไม่ยอมลงมาเลย!

 

 

ประตูรถค่อยๆ เปิดออก ยามกงอิ้นก้าวออกมา ทุกคนพลันหายใจลำบาก รู้สึกเพียงว่าเงาหิมะตรงหน้าผ่องอำไพ ผืนดินผืนฟ้าเยือกเย็น

 

 

แสงอาทิตย์เที่ยงตรงร้อนแรงอยู่แล้ว ทว่ายามนี้ผู้คนคล้ายรู้สึกว่าท้องฟ้ามืดสลัวลงไปสามส่วน

 

 

ทุกผู้คนกลั้นหายใจโดยสำนึก กลัวว่าลมหายใจของตนเองจะรบกวนผู้เป็นดั่งเทวดาตกสวรรค์ผู้นั้น ซ้ำยังกลัวว่าพระอาทิตย์ร้อนแรงดวงนั้นจะละลายมนุษย์เคลือบหิมะน้ำแข็งผู้นี้จนสูญสลาย

 

 

เขาคือหิมะหอบหนึ่ง แพรวพราวเพียงที่ซึ่งสงบเงียบอ้างว้าง

 

 

พอเงาร่างของเขาปรากฏขึ้น จิ่งเหิงปัวก็ออกแรงหันหน้าไปทันที

 

 

กลัวว่าครู่หนึ่งนี้จะผุดเผยความรู้สึกกลางแววตาออกมามากเกินไป

 

 

หวังให้ใจดุจน้ำนิ่ง หวังให้เย็นชาแข็งแกร่ง หวังให้มั่นคงดั่งภูผา สร้างเกราะป้องกันในใจมากมายเพียงนี้ ทุกครั้งพอมองเห็นเงาร่างอาภรณ์ขาวเงานั้นยังคงคล้ายถูกต่อยด้วยกำปั้นอย่างเงียบเชียบ บนศีรษะปกคลุมด้วยความเย็นเยือกคล้ายหิมะหนาวเหน็บสะท้านกระดูกคืนนั้นยังโปรยปราย

 

 

แต่เดิมนึกว่าจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว เมื่อพบกันอีกครั้งในอีกหลายปีต่อมาคงต้องเป็นศัตรูกันบนสนามรบ ไม่เคยคิดว่าจะได้เผชิญหน้ากันข้างถนนรวดเร็วขนาดนี้ นางไม่รู้ว่าจะจัดการตนเองอย่างไรไปชั่วขณะ

 

 

เส้นทางที่เต็มไปด้วยผู้คนเงียบงันไร้สรรพเสียง

 

 

ในแววตาของกงอิ้นไม่มีฝูงชนเฉกเช่นปกติ เพียงหันกลับมาอย่างเงียบเชียบหน้ารถม้า ทว่าไม่ได้มองจิ่งเหิงปัวที่พิงรถม้าอยู่

 

 

“ถูกใส่ร้ายเรื่องใด”

 

 

เขาคล้ายกำลังเอ่ยถามท้องฟ้า

 

 

เหล่าขุนนางแคว้นเซียงรีบเร่งมาชุมนุมกัน มองดูฉากนี้อย่างไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี กษัตริย์แคว้นเซียงยังรอคอยต้อนรับราชครูอยู่หน้าประตูวัง ไม่คิดว่าที่นี่จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

 

 

ตอนนี้จิ่งเหิงปัวยังสังเกตอยู่ว่าภายในกองทัพเหล่าขุนนางแคว้นเซียงนั้นเหมือนจะไม่มีจี้อีฝาน

 

 

ในใจนางคล้ายเข้าใจขึ้นมา

 

 

ดูท่าทางเจ้าคนนี้ไม่ยอมโผล่หน้าแต่โหดเ**้ยมพอตัวเลย คนที่ผลักนางคงเป็นเขาอีกแล้วล่ะมั้ง?

 

 

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วคงต้องคอยดูสถานการณ์แล้วค่อยวางแผน รวมเรื่องเหอหว่านเข้ามาด้วย น่าจะมั่วต่อไปได้อยู่หรอก

 

 

นางเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งต่อพื้นดินว่า “ยากจะอธิบายเพียงชั่วครู่ชั่วคราว ราชครูโปรดหยุดขบวน ฟังข้าน้อยเอ่ยทุกสิ่งโดยละเอียด”

 

 

“บังอาจ!” ขุนนางแคว้นเซียงผู้หนึ่งพลันตวาดว่า “ราชครูเข้านคร กษัตริย์ทรงรอคอยต้อนรับ พิธีกรรมทุกสิ่งจัดการตามเวลา สตรีชาวบ้านโง่เขลานางหนึ่งเฉกเช่นเจ้าจะมาก่อกวนตามใจชอบได้อย่างไร! ถอยไป…”

 

 

“ทางแคว้นโปรดจัดหาบ้านเรือนบริเวณนี้ เปิ่นจั้วอยากหยุดพักเหนื่อยสักหน่อย” วาจาประโยคเดียวของกงอิ้นทำให้ทุกผู้คนเงียบงันไร้สรรพเสียงอีกครั้ง

 

 

จิ่งเหิงปัวมองไม่ออกว่าเหอหว่านสนิทสนมกับกงอิ้นไม่น้อยเลย

 

 

พอกงอิ้นหยุดขบวน อวี้จ้าวจึงปิดล้อมถนนทั้งสาย กระจายฝูงชนที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมด รถม้าที่พลิกคว่ำของเหอหว่านย่อมเป็นจุดสนใจ สารถีรถม้าหวังจะประคองเหอหว่านไป เหอหว่านกำลังดิ้นรน สายตาของกงอิ้นมองผ่านมา จากนั้นองครักษ์อวี้จ้าวหลายนายเดินเข้ามาขวางกั้นคนที่อยากจะพาตัวเหอหว่านไป เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “องค์หญิง เชิญเสด็จตามพวกกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เหอหว่านที่สวมหมวกม่านพยักหน้าอย่างซาบซึ้งใจ ซ้ำยังมองดูจิ่งเหิงปัวด้วยความขอบคุณไม่มีที่สิ้นสุด จิ่งเหิงปัวกลั้นโลหิตอึกหนึ่งไว้ บอกใบ้พวกเหยียลี่ว์ฉีที่ถูกแยกห่างไกลกลางฝูงชนว่าอย่าประมาทเลินเล่อ ก้มหน้าใคร่ครวญว่าควรใช้วิธีอะไรปลีกตัวออกไป

 

 

หลังจากสะบั้นธงหน้าประตูเมืองในวันนั้น นางไม่เคยมีความคิดจะลอบสังหารกงอิ้นอีก นางรู้แน่ชัดว่าตนเองฆ่าเขาไม่ได้

 

 

มนุษย์เฉลียวฉลาดยามรู้จักประเมินตนเอง ความกล้าหาญของคนไร้สติปัญญานั้นไร้ค่า ความอดทนคือคุณธรรมอันดีงามหนึ่งเดียวในโลกหล้า

 

 

น่าเสียดาย เขาเป็นคนสอนประโยคเหล่านี้เอง

 

 

จิ่งเหิงปัวก้มหน้าลง ค่อยๆ กำนิ้วมือในแขนเสื้อแน่น