ขุนนางแคว้นเซียงรวดเร็วยิ่งนัก ดูท่าทางไม่มีทางฝ่าฝืนคำสั่งของกงอิ้นเช่นกัน จัดการหาจวนแห่งหนึ่งบริเวณนี้ที่ตระกูลใหญ่ในท้องถิ่นตระกูลหนึ่งเสนอตัวมอบให้ เพื่อรับรองความปลอดภัย คนในจวนหลักต้องออกจากจวนทั้งหมดภายในหนึ่งเค่อ หลังจากอวี้จ้าวหลงฉีเข้าตรวจสอบภายในจวนอย่างรวดเร็วแล้วจึงเชิญราชครูเคลื่อนขบวน

 

 

“ให้ข้าไป” จิ่งเหิงปัวกระซิบบอกเหอหว่านที่เดินมาข้างกายนางอย่างเงียบเชียบ

 

 

เหอหว่านกำลังจะตอบรับ เหมิงหู่ที่อยู่ทางนั้นก็เดินเข้ามาแล้ว สายตาของเขาเพียงทอดลงบนใบหน้าของเหอหว่าน เอ่ยว่า “องค์หญิง ราชครูกราบทูลเชิญพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เหอหว่านกำลังจะเดินไป เหมิงหู่เอ่ยอีกว่า “ส่วนแม่นางข้างพระวรกายพระองค์ท่านนี้ องค์หญิงโปรดทรงอภัย พวกกระหม่อมต้องจับตัวไว้สอบสวนรอบหนึ่ง”

 

 

เหอหว่านตื่นตระหนก ร้องว่า “เพราะเหตุใด?”

 

 

เหมิงหู่ไม่มองจิ่งเหิงปัว เอ่ยอย่างแข็งกระด้างว่า “บนนิ้วมือของแม่นางท่านนี้อาจจะมีอาวุธลับ พวกกระหม่อมสงสัยว่านางเป็นมือสังหารที่ปะปนเข้ามาข้างพระวรกายองค์หญิง จำเป็นต้องสอบสวนให้กระจ่างแจ้งพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เหอหว่านอ้าปากกว้าง สีหน้าตกตะลึง

 

 

“องค์หญิงไม่ต้องทรงสนพระทัย อย่างไรเสียรีบเสด็จไปพบราชครูเถิด เวลามีจำกัด เสียเวลามิได้พ่ะย่ะค่ะ” เหมิงหู่เร่งเร้า

 

 

จิ่งเหิงปัวมองดูอยู่เงียบเชียบ นางอยากมองดูแม่นางน้อยคนนี้ว่ามีท่าทางอย่างไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับทางเลือก

 

 

ระหว่างได้รับความช่วยเหลือได้รับความรักเมื่อหนีงานแต่ง กับการปกป้องเพื่อนแท้ที่ช่วยนางอย่างจริงใจ นางจะเลือกทอดทิ้งสิ่งใดกัน

 

 

แน่นอนว่านางไม่ได้มีความหวังอะไรมากมาย นางเข้าใจว่าคนธรรมดาจะเลือกอะไร

 

 

“ข้า…” เหอหว่านมองดูนาง จากนั้นถึงมองดูเหมิงหู่ที่มีใบหน้าเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เดินออกมาสองก้าวแล้วหยุดฝีเท้า

 

 

“ไม่” นางพลันเอ่ยว่า “โปรดขออภัยราชครูแทนข้า ข้าไม่ไปแล้ว”

 

 

เหมิงหู่มองนางอย่างประหลาดใจ

 

 

“นางเป็นสหายของข้า ข้าเชื่อนาง” เหอหว่านเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ว่า “ยามนั้นข้าเคยช่วยราชครูโดยไม่ตั้งใจ ภายหลังเขารับปากว่าหากใช้แมลงปอหยกแดงจะช่วยข้าครั้งหนึ่ง ยามนี้ข้าใช้แมลงปอหยกแดงขอร้องเขา อย่าได้สืบหาความผิดของสหายข้าผู้นี้ นางไม่ใช่มือสังหาร ข้าขอสาบานด้วยชีวิต”

 

 

ในใจของจิ่งเหิงปัวอุ่นวาบ

 

 

แต่เดิมนางนึกว่าทุกหนทุกแห่งบนโลกนี้จะมีเพียงอุปสรรคและความเหน็บหนาว ไม่เคยคิดว่าหลังจากผ่านพ้นหุบเหวแห่งนรกแล้ว นางยังจะได้รับความอบอุ่น ความจริงใจ ความเชื่อมั่นและการปกป้องจากโลกมนุษย์อีก

 

 

แค่ได้ยินวาจาประโยคนี้ในวันนี้ นางต้องช่วยเหลือแม่นางคนนี้ให้ได้

 

 

“องค์หญิง ยากยิ่งนักกว่าจะขวางราชครูไว้ได้ อย่าได้สูญเสียโอกาสล้ำค่าครั้งนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์” นางยิ้มแย้ม จูงมือของเหอหว่าน กล่าวต่อไปว่า “เจ้าต้องเชื่อว่าองครักษ์ของราชครูจะไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ เพียงให้ข้าตามพวกเขาไปเอ่ยให้ชัดเจนก็พอแล้ว”

 

 

“ทว่าเจ้า…” สีหน้าของเหอหว่านเปี่ยมด้วยความกังวลอย่างแท้จริง

 

 

“ไม่เป็นไร เจ้าไปพบราชครูเถิด จะได้ช่วยข้าเอ่ยความจริงให้ชัดเจนด้วย”

 

 

เหอหว่านคิดแล้วเห็นด้วย เอ่ยกำชับครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “เจ้าจะต้องระมัดระวัง หากมีสิ่งใดผิดปกติจริงอย่าลืมร้องขอความช่วยเหลือ” ซ้ำยังไหว้วานเหมิงหู่ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “หัวหน้าองครักษ์ สหายผู้นี้ของข้าไม่ใช่มือสังหารเป็นแน่ พวกเจ้าอย่าได้ทำให้นางลำบากใจเชียวนะ”

 

 

“องค์หญิงทรงวางพระทัย พวกเราถามจนชัดเจนแล้วจะปล่อยนาง” สีหน้าของเหมิงหู่พลันนุ่มนวลขึ้นมาก โค้งกายให้เหอหว่าน น้ำเสียงเคารพนบนอบมากขึ้นเช่นกัน เอ่ยว่า “เชิญพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

จิ่งเหิงปัวมองเหอหว่านเดินเข้าสู่คฤหาสน์อย่างพะว้าพะวัง จากนั้นก็เอียงศีรษะมองเหมิงหู่

 

 

ในใจนางคิดว่าเหมิงหู่อาจจะจำนางได้แล้ว อย่างไรเสียแม้ว่าฝีมือการแต่งหน้าแปลงโฉมของนางจะค่อนข้างดี แต่ยังไม่ดีพอที่จะตบตาคนคุ้นเคย ยิ่งกว่านั้นอาซั่นกับเหมิงหู่อยู่ด้วยกันโดยตลอด เหมิงหู่จะไม่คุ้นเคยกับฝีมือการแปลงโฉมของนางได้อย่างไร?

 

 

เหมิงหู่รั้งนางไว้ต้องการทำอะไรกันแน่? นางไม่อยากคิดมาก ถ้ามีเจตนาร้ายแค่หนีไปก็พอแล้ว ถ้าจะลงมือโจมตีคืนก็พอแล้ว

 

 

หากเขาจดจำไมตรีจิตแต่ก่อนไม่ได้แล้ว ทำไมนางยังต้องใส่ใจด้วย?

 

 

ทว่าเหมิงหู่ยังคงไม่มองนางแม้แต่ปราดเดียว บนใบหน้าแข็งทื่อดุจสวมหน้ากาก รีบร้อนคล้ายต้องไปรับใช้กงอิ้น หันหน้าเอ่ยกับองครักษ์อวี้จ้าวสองนายที่อยู่ข้างกายว่า “พาไปในจวน อย่าทำให้นางลำบากใจ ประเดี๋ยวข้าว่างแล้วจะมาสอบสวนด้วยตนเอง”

 

 

องครักษ์ผู้นั้นขานรับแล้วเดินเข้ามาจูงจิ่งเหิงปัว จิ่งเหิงปัวคิดว่าถ้าเขามัดนางไว้นางจะหายตัวจากไปทันที ไม่รอคอยให้ตกหลุมพรางเองแน่ แต่อีกฝ่ายมีท่าทางเกรงใจยิ่งนักคล้ายไม่คิดจะทำให้นางลำบากใจเลย นางยังไม่เข้าตาจน จึงไม่อยากหายตัวต่อหน้าคนเหล่านี้ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนส่งสัญญาณมือให้เหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ไกลออกไปว่าอย่าเพิ่งวู่วาม แล้วเดินตามองครักษ์เข้าประตูจวน

 

 

หลังจากนางเข้าไปในจวนแล้ว อวี้จ้าวหลงฉีจึงปิดล้อมเส้นทางทั้งสาย ไล่ราษฎรให้แยกย้ายกันโดยพลัน ราษฎรจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์ เดินไปพลางวิพากษ์วิจารณ์เรื่องมหัศจรรย์บนถนนไปพลาง บนเส้นทางค่อยๆ ไร้ซึ่งผู้คน

 

 

ภายในมุมตรอกมืดครึ้มแห่งหนึ่งมีพวกเหยียลี่ว์ฉียืนอยู่

 

 

“ขวางข้าไว้ทำไม? อ๊าก ขวางข้าไว้ทำไม? นางไปหากงอิ้นแล้วนะ! นางไปหาศัตรูหัวใจบ้าบอคนนั้นของข้าแล้วนะ!” อีชีกระทืบเท้า ชี้จมูกของเหยียลี่ว์ฉีด้วยความโกรธเคือง

 

 

เหยียลี่ว์ฉีสะบัดมือของเขาออกประหนึ่งตบแมลงวัน เอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “เขาพอจะนับว่าเป็นศัตรูหัวใจของข้าได้ ส่วนเจ้าน่ะ ครองคู่กับพี่ชายน้องชายหกคนของเจ้าไปชั่วชีวิตน่าจะเหมาะสมกว่า”

 

 

“พวกเจ้าเอ่ยวาจาไร้สาระอะไรกัน” เทียนชี่กอดอกเอ่ยอย่างร้อนใจว่า “เอ่ยมาสิ พวกเราจะทำอย่างไร จะเชื่อฟังต้าปัวจริงหรือ?”

 

 

ดวงตาของเหยียลี่ว์ฉีจ้องมองมุมหนึ่งข้างหน้า ในสายตาฉายแววแปลกประหลาด

 

 

“ข้ารู้สึกว่า” เขาค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ประเดี๋ยวคงได้ชมเรื่องสนุกสนานแล้ว”

 

 

 

 

ตระกูลใหญ่ที่ยอมมอบจวนให้กงอิ้นพักผ่อนทั้งตระกูลไม่มีที่จะไปชั่วคราว ได้แต่หยุดพักเท้าในโรงน้ำชาข้างถนน นายน้อยใหญ่ของตระกูลนี้เป็นพวกอยู่ไม่สุข พอนั่งลงพลันแล่นไปหอบุปผาแห่งหนึ่งที่อยู่ข้างกันแล้ว

 

 

เรียกแม่นางมายังไม่ทันได้หยอกเย้า เงาคนหลายสายก็พลันพุ่งทะลุหน้าต่างเข้ามา ตบแม่นางจนล้มคว่ำในฝ่ามือเดียวแล้วหิ้วเขาขึ้น

 

 

เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา

 

 

“บ้านเจ้ามีทางลับหรือไม่”

 

 

นายน้อยใหญ่สั่นเทิ้ม เอ่ยว่า “…ไม่…ไม่มี…”

 

 

“มีประตูลับหรือไม่?”

 

 

“ไม่…ไม่มี…”

 

 

“มีประตูหลังกี่บาน”

 

 

“มี…ประตูหลังเพียงบานเดียว…”

 

 

“เอ่ยมา!” คนปิดหน้าชุดเทาผู้นั้นพาดกระบี่ไว้บนลำคอของเขา แล้วเอ่ยว่า “เจ้ามีวิธีใดให้ข้าเข้าไปในบ้านได้โดยไม่มีผู้ใดพบเห็น! นึกให้ออก! หากคิดไม่ออกข้าจะตอนเจ้า!”

 

 

“อ๊าๆๆ อย่าตอนข้า ข้านึกก่อน…ข้าขอนึกก่อน…” นายน้อยใหญ่พยายามปาดเหงื่อ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเอ่ยอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่า “…ข้า…กำแพงข้างหลังบ้านข้ามีประตูเล็กบานหนึ่งไว้ให้สุนัขเข้าออก…”

 

 

“แม่งเอ้ย เจ้ากล้าให้ข้าลอดโพรงสุนัข!”

 

 

“อ๊าๆๆ ไม่นับว่าเป็นโพรงสุนัข! ข้าเคยเลี้ยงสุนัขต๋าจื่อ[1]ที่เกิดในป่าเขาบึงโคลนไว้ฝูงหนึ่ง ร่างกายกำยำล่ำสันดั่งวัว เรือนร่างใหญ่โต ข้าสร้างทางเข้าออกสายหนึ่งโดยเฉพาะเพื่อไม่ให้ครอบครัวตกใจ แท้จริงแล้วประตูนั้นพอให้คนเข้าออกเลยล่ะ ซ่อนอยู่ภายในร่มไม้ ยากจะพบเจอยิ่งนัก…”

 

 

“เอ่ยมาสิ ประตูนั้นอยู่ที่ใด!”

 

 

 

 

จิ่งเหิงปัวเดินตามองครักษ์อวี้จ้าวตรงเข้าสู่ลานด้านหลังของจวนแห่งนี้

 

 

องครักษ์พานางเข้ามาในห้องโถงว่างเปล่าห้องหนึ่งแล้วลงกลอนประตู จากนั้นก็ยืนคุ้มกันอยู่ตรงระเบียงทางเดิน

 

 

พอจิ่งเหิงปัวได้เห็นท่าทางนี้ ขณะโล่งใจยังรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง…หรือว่าเหมิงหู่จะจำนางไม่ได้จริงๆ? ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่คุมตัวนางแบบนี้ด้วยซ้ำ ขอแค่ไม่มัดนางไว้ บนโลกใบนี้แทบจะไม่มีสถานที่ซึ่งกักขังนางไว้ได้

 

 

พอครุ่นคิดโดยละเอียดแล้ว เหมิงหู่คงคิดไม่ถึงแน่ว่านางจะกล้าปรากฏตัวต่อหน้ากงอิ้น เขามีหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยของกงอิ้น การงานวุ่นวายซับซ้อน แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่ใช่คนละเอียดรอบคอบด้วย ไม่รู้ว่าเป็นนางถือว่าปกติ

 

 

พอคิดแบบนี้แล้วนางก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา ลุกขึ้นยืนเตรียมสร้างความเสียหายเล็กน้อยต่อห้อง สร้างภาพลวงตางัดประตูแล้วค่อยจากไป แบบนี้ต่อให้นางที่เป็นมนุษย์ตัวเป็นๆ หายตัวไปจากภายในห้องที่ถูกใส่กุญแจกะทันหัน เหมิงหู่คงจะไม่นึกถึงตัวตนจิ่งเหิงปัวของนาง

 

 

นางเดินไปยังข้างประตูแล้วขยับแหวน เส้นใยละเอียดกลุ่มหนึ่งโผล่ออกมาจากภายในแหวนนั้น นางลากเส้นใยละเอียดออกมาเตรียมสอดเข้าไปในแม่กุญแจ รู้สึกขึ้นมากะทันหันว่าข้างหลังเกิดความผิดปกติ

 

 

มี…ความรู้สึกของการดำรงอยู่!

 

 

ราวกับว่ามีคนหรือสิ่งของอะไรอยู่ข้างหลัง! ไม่ได้หายใจ ไม่ได้เคลื่อนไหว แต่นางรู้สึกได้ว่าข้างหลังมีสิ่งของอะไรเพิ่มขึ้นมา!

 

 

เมื่อครู่ภายในห้องไม่มีใครสักคนเลย!

 

 

นางหลุบตาลง มองไม่เห็นเงา

 

 

นางเก็บเส้นใยละเอียดคืนมา ปรับแต่งแหวนแล้วหันหน้ากลับมาทันที

 

 

ร่างยังไม่ได้หันหลังมาโดยสมบูรณ์ มือสะบัดเพียงครั้ง แจกันเครื่องเคลือบบนชั้นวางพุ่งลงไปอย่างบ้าคลั่งแล้ว!

 

 

วงโคจรนี้มุ่งตรงสู่ข้างหลังนางพอดี ขอแค่ข้างหลังมีอะไรอยู่จริงคงต้องถูกแจกันนี้กระแทกใส่แน่นอน

 

 

แต่นางไม่ได้ยินเสียงทึบที่แจกันกระแทกใส่คน ไม่มีแม้กระทั่งเสียงแตกร้าวที่แจกันร่วงลงพื้น

 

 

นางไม่ทันได้มองเห็นชัดเจนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เรือนร่างยังไม่ได้หันกลับมาตรงหน้าพลันมืดมิด นางอ่อนยวบล้มลงไปแล้ว

 

 

 

 

 

 

[1] สุนัขต๋าจื่อมีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน รูปร่างใหญ่โตแข็งแรง นิยมเลี้ยงไว้บริโภคเนื้อ