ฟ้าดินแกว่งไกวท่ามกลางความมัวสลัวผืนหนึ่ง
ท่ามกลางความเลือนรางยังคงเป็นหิมะของค่ำคืนนั้น เหินขวางเหินดิ่งเหินทวนเหินคำรามประหนึ่งลูกศรลอยล่อง ผสมผสานกลายเป็นแผ่นดินผืนฟ้ายุ่งเหยิง ผืนหนึ่งคือความขาวโพลนไม่มีที่สิ้นสุด อีกผืนหนึ่งคือความมืดมิดชั่วนิรันดร์ ภายในอุโมงค์มืดมิดลึกล้ำนั้นพลันมีใบหน้าหนึ่งโผล่ออกมา โลหิตชุ่มโชกน้ำตาไหลริน ร้องโหยหวนขอความช่วยเหลือจากนาง คนคนนั้นคือชุ่ยเจี่ย…นางกำลังจะพุ่งออกไป ข้างหลังชุ่ยเจี่ยพลันมีอีกใบหน้าหนึ่งโผล่ออกมา ซีดเซียวแสยะยิ้ม ยื่นนิ้วมือเรียวยาวออกมาลากชุ่ยเจี่ยเข้าสู่กลางอุโมงค์มืดมิดอย่างรุนแรง คนคนนั้นคือจิ้งอวิ๋น…นางพุ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง ทว่าอุโมงค์มืดมิดปิดสนิทแล้ว หิมะทั่วท้องฟ้าพลันเยือกแข็งกลายเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยซ้ำยังทำให้นางเจ็บปวดหวาดกลัวใบหน้านั้น ริมฝีปากบนใบหน้านั้นกำลังขยับเขยื้อนเดี๋ยวหุบเดี๋ยวอ้า ผ่านไปเนิ่นนานนางถึงมองออกว่านั่นคือวาจาเยือกเย็นสี่คำ เอ่ยว่าพิสูจน์เพื่อข้า…พิสูจน์เพื่อข้า…พิสูจน์เพื่อข้า…
หิมะเหล่านั้นคล้ายพลันกลายเป็นช่อเดียว ทะลวงเข้าสู่ภายในร่างของนาง เลียบตามชีพจรข้อมือตรงสู่เส้นลมปราณพิเศษแปดเส้น ภายในร่างกายเกิดร้อนผ่าวกะทันหัน คล้ายยังคงเป็นความรู้สึกจากยาเม็ดนั้นเมื่อคืนนี้ หยาบกระด้างและพองบวมเล็กน้อย ลุกไหม้เส้นลมปราณของนาง นางโบกมืออย่างเจ็บปวดทรมาน จิตใจครึ่งหนึ่งดิ้นรนอยู่กลางฝันร้าย จิตใจอีกครึ่งหนึ่งต่อต้านพลังคลุ้มคลั่งของยาเม็ด นิ้วมือไขว่คว้ากลางอากาศอย่างไร้เรี่ยวแรง สัมผัสอากาศเย็นเยียบผืนหนึ่ง
ระหว่างกึ่งหลับกึ่งตื่น นางก็รู้สึกว่าในสมองตนเองคล้ายเบิกเนตรสวรรค์ มองเห็นทิวทัศน์ภายในห้องได้เล็กน้อยรำไร บางครั้งอาจจะไม่ใช่การมองเห็น เพียงแต่รู้สึกว่าทิวทัศน์มัวสลัวประหนึ่งคลุมด้วยผ้าขาวบาง ท่ามกลางความมัวสลัวมีคนค่อยๆ เดินออกมาจากหลังฉากกั้นห้อง แขนเสื้อสีหิมะคดเคี้ยววกวนบนพื้นศิลาเขียวคราม ดุจเมฆาที่ลอยลงมาจากภูเขาหิมะอย่างเงียบเชียบ
ดั่งความฝันครั้งหนึ่ง บังเกิดขึ้นยามไม่ได้คาดการณ์เลยแม้แต่น้อย
ในใจนางหวาดกลัว ลางสังหรณ์ทั้งปฏิเสธทั้งกระวนกระวาย ทว่าเมฆก้อนนั้นมาถึงบริเวณใกล้เคียงอย่างเชื่องช้า ลมหายใจผนึกแน่นรอบด้าน หอมกรุ่นเยือกเย็นทั่วผืน
มือของนางเร่งรีบกวัดแกว่งมากยิ่งขึ้น หวังจะดิ้นรนออกมาจากฝันร้ายเพื่อโจมตีผู้มาเยือน ทว่านิ้วมือพลันสัมผัสวัตถุเกลี้ยงเกลาหนาวเย็น เฉียดผ่านเพียงครั้ง ปลายนิ้วนางคล้ายมีความทรงจำเช่นกัน ตกตะลึงด้วยเพราะการสัมผัสทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้าครั้งนี้ ชะงักงันอยู่กลางอากาศ
ชะงักเพียงครั้ง นิ้วมือของนางก็ถูกกุมไว้แล้ว ค่อยๆ วางคืนสู่ข้างหน้าร่างกายอย่างต่อต้านไม่ได้ นิ้วมือถูกขยับเขยื้อนรวมกันกลายเป็นท่าทางหนึ่ง
ระหว่างความคล้ายจริงคล้ายเพ้อฝัน คนผู้นั้นคล้ายเคลื่อนไหวแผ่วเบายิ่งนัก คือสายลมแห่งค่ำคืนวสันต์ ไม่ยินยอมพัดพาดอกตูมดอกใดให้บุบสลาย
ยามพาดผ่านหลังมือนาง นิ้วมือนั้นชะงักเล็กน้อย นางรู้สึกว่าสิ่งของอะไรบางอย่างบนนิ้วมือถูกลูบไปลูบมาแผ่วเบา ในใจคิดอย่างมึนงงวิงเวียน โอ้ เป็นแหวนวงนั้น
จากนั้นนางก็รู้สึกว่าแหวนถูกถอดออกไปแล้ว
นางรู้สึกไม่สบายใจและร้อนใจอยู่บ้าง อย่างไรเสียสิ่งนี้ก็เป็นของเหยียลี่ว์ฉี นางยังคิดจะคืนให้เขาในภายหลังเมื่อไม่ได้ใช้แล้ว จะถูกคนอื่นถอดเอาไปแบบนี้เลยเหรอ?
มือข้างนั้นถอดแหวนออกไปแล้ว จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาเลือนราง ฟังไม่ออกว่ากำลังทำอะไร ทว่าเพียงครู่เดียวนั้น คอเสื้อของนางก็ขยับเขยื้อนเล็กน้อยคล้ายมีคนวางสิ่งของอะไรสักอย่างลงไป
หอมกรุ่นเยือกเย็นสะกดผู้คน กลิ่นหอมนี้ไม่คุ้นเคยเลย แต่ในใจนางเกร็งแน่นหลายระลอก แทบจะไม่ทันได้พิจารณาความเปลี่ยนแปลงของคอเสื้อ
กระแสธารบริสุทธิ์หอบหนึ่งพลันไหลสู่ร่างกาย แล่นผ่านภายในร่างกายนางตลอดทาง เติมเต็มบาดแผลเล็กน้อยตรงเส้นลมปราณที่ถูกยาเม็ดรุนแรงเผาไหม้ พัดผ่านขจัดความรู้สึกหยาบกระด้างภายในร่างกายที่เกิดจากการไม่อาจซึมซับสรรพคุณยาของชาดจอแส[1] ทั้งเสริมความชุ่มชื้น บำรุงรักษาและขยับขยาย ที่ซึ่งกระแสธารพาดผ่านผืนฟ้าแผ่นดินกว้างขวาง ภายในช่องทางแห่งชีวิตเกิดหญ้าเขียวชอุ่มตลอดทาง ผลิหน่ออ่อนรอคอยยามวสันต์คราวหน้า
พลังซ่อนแฝงดั้งเดิมภายในร่างกายนางถูกปลุกให้ตื่นฟื้น ภายในตานเถียน ไอสีม่วงผืนหนึ่งกับไอสีขาวผืนหนึ่งวนเวียนขานรับ ฮึกเหิมหวังพรั่งพรู
สีหน้าวุ่นวายใจของนางค่อยๆ จางหาย ไอสีม่วงและไอสีขาวปรากฏกลางหน้าผากรำไร ฟ้าดินแลดูกว้างขวางหลายส่วน ผิวกายเปล่งประกายแวววาวพราวแพรว
มือสงบเงียบเจือความหนาวเย็นคู่นั้นหยุดค้างเล็กน้อย จากนั้นค่อยๆ ยกขึ้นคล้ายจะลูบบนหว่างคิ้วนาง ทว่าชะงักค้างอยู่กลางอากาศเช่นนั้น
จิ่งเหิงปัวตกอยู่ท่ามกลางความรู้สึกแปลกประหลาดตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ
นางรู้สึกได้แต่มองไม่เห็น บรรยากาศรอบด้านแปลกประหลาดคล้ายขวางกั้นด้วยกระจกเจือหมอก มองเห็นเงาทับซ้อนเลือนรางของชาติก่อนและชาติหน้า
นางรู้สึกว่ามีคนอยู่ด้วยแต่สัมผัสไม่ได้ ขณะที่สติพร่าเลือนรู้สึกว่าสิ่งนั้นเป็นแค่ความฝัน ขอเพียงลืมตาขึ้น ความฝันนั้นคงจะกลายเป็นไอควันสูญสลายหายไป
ลมปราณภายในร่างกายนางค่อยๆ สงบลง สมองค่อยๆ ได้สติ ดิ้นรนออกมาจากฝันร้ายได้แล้ว จากนั้นสั่งสมเรี่ยวแรง ลืมตาขึ้นพรวดพราดทันที!
ทั้งห้องกว้างโล่งเงียบสงัด
ตนเองยังนอนอยู่บนพื้น ไม่ได้ย้ายสถานที่ด้วยซ้ำ พอกะพริบตามองเห็นเส้นใยละเอียดที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้น
นางลุกขึ้นนั่งแล้วสูดหายใจ อากาศปกติธรรมดาอย่างยิ่ง ทั้งความหอมกรุ่นเยือกเย็น เงาขาว สภาพการณ์ผนึกแน่นผันผวน รวมทั้งท่าทางมือนุ่มนวลละเอียดอ่อน ทุกสิ่งเมื่อครู่คล้ายเป็นความฝันครั้งหนึ่งโดยแท้
นางลองโคจรปราณสักหน่อย ช่วงนี้นางกำลังเรียนรู้การนั่งขัดสมาธิฝึกปราณกับเจ็ดสังหาร รู้วิธีการฝึกฝนและโคจรปราณแท้แล้ว แม้เจ็ดสังหารเอ่ยว่านางเรียนวรยุทธ์ช้าเกินไป ยากจะปีนป่ายสู่จุดสูงสุดของเส้นทางกำลังภายในชั่วชีวิต แต่หากทำให้ร่างกายแข็งแรงได้นับเป็นเรื่องดีเช่นกัน อย่างน้อยที่สุดจะได้มีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นหน่อย
เมื่อโคจรปราณ นางก็พบว่าตอนนี้ความรู้สึกหยาบกระด้างเสียดสีเล็กน้อยภายในร่างกายหลังจากกินยาเม็ดเมื่อคืนนี้ได้หายไปแล้ว เส้นลมปราณมีความรู้สึกเกลี้ยงเกลาอิ่มเอิบอย่างยิ่ง นางเกิดความรู้สึกราบรื่นอย่างมากขณะโคจรปราณเล็กน้อยนั่น
ทว่าพิษภายในร่างกายยังคงอยู่ หลังจากนางโคจรปราณ รู้สึกได้ว่าอาณาบริเวณรากฐานลึกล้ำแห่งใดแห่งหนึ่งภายในร่างกายมีไอสีดำกลุ่มหนึ่งซุ่มซ่อนอยู่ ตอนนี้ไอสีดำกลุ่มนั้นยังอยู่เช่นเดิม แต่คล้ายเล็กลงนิดหน่อย ซ้ำยังมีความรู้สึกใกล้ชิดหนาแน่น ภายนอกไอสีดำกลุ่มนั้น นางพบอีกว่าภายในร่างกายตนเองมีกระแสปราณสองชนิด นางไม่มีความสามารถในการมองเห็นภายใน มองรูปร่างลักษณะของกระแสปราณไม่ออก แต่รู้สึกได้ถึงความแตกต่าง ชนิดหนึ่งยิ่งใหญ่เกรียงไกรทั้งหนาทั้งหนัก อีกชนิดหนึ่งปราดเปรียวรุนแรง นอกจากนี้ยังคล้ายมีกระแสปราณชนิดที่สามรำไร น้อยนิดจนเกือบไม่รู้สึกถึงการดำรงอยู่ แต่คล้ายว่ากระแสปราณชนิดที่สามนั้นกำลังช่วยเหลือนางที่ยังไม่มีรากฐานกําลังภายในอะไรมากนักอย่างลึกซึ้งลุ่มลึก ขับเคลื่อนลมปราณยุ่งเหยิงเล็กน้อยภายในร่างกายนางให้สมดุล
นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ยังไม่อาจแน่ใจได้ว่ากระแสปราณเหล่านี้เพิ่งปรากฏขึ้น ด้วยเพราะหลังจากถูกพิษ นางได้รับการชำระล้างและถ่ายทอดกําลังภายในของเหล่ายอดฝีมือมาไม่น้อย ภายในร่างกายที่สับสนวุ่นวายมีปราณแท้ของคนอื่นคอยปกป้องร่างกายถือเป็นเรื่องปกติ อีกทั้งด้วยเพราะปราณแท้เหล่านี้ดำรงอยู่ ฉะนั้นนางจึงจำแนกไม่ออกว่าความรู้สึกเจ็บปวดเสียดสีจากยาเม็ดที่อยู่ภายในร่างกายตนเองหายไป เพราะว่าปราณแท้ที่คนอื่นถ่ายทอดให้แสดงสรรพคุณขจัดออกไปหรือเป็นผลลัพธ์จากความฝันพิลึกพิลั่นเมื่อครู่นั้นกันแน่
เป็นความฝัน…จริงหรือ?
นางมีสีหน้างงงวย เอื้อมมือค่อยๆ ลูบคลำคอเสื้อ ไม่รู้ว่าที่คอเสื้อมีสิ่งของที่เหมือนคลิปหนีบเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร
นางปลดสิ่งของนั้นลงมา หลังจากมองจนชัดเจนแล้วก็เบิกตากว้างโดยพลัน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
สิ่งของตรงหน้ามีสีทองแดง ประดับด้วยพลอยไพฑูรย์…ทรงเรียวยาว
คุ้นตาเหลือเกิน
แหวนถูกตัดออกจากกันแล้วลากกลายเป็นทรงเรียวยาว สองฝั่งเหลาแหลมคม แทงผ่านคอเสื้อทั้งสองข้างของนาง กลายเป็นเข็มกลัดปกเสื้อกึ่งเครื่องประดับชิ้นหนึ่ง!
เรื่องมหัศจรรย์ยิ่งกว่าคือกลไกภายในแหวนที่ถูกดัดแปลงแล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย หนามลับยังคงเด้งออกมาได้ แม้แต่เส้นใยละเอียดยังวางคืนสู่แบบเดิมได้!
จิ่งเหิงปัวนั่งเซ่อซ่าอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่ ในใจเดี๋ยวสว่างไสวเดี๋ยวมืดมิด ทั้งเลอะเลือนทั้งได้สติ ทั้งสับสนทั้งไม่อยากได้สติ รู้สึกแค่ว่าในสมองยุ่งเหยิงกลายเป็นด้ายป่านกลุ่มหนึ่ง แต่หัวใจเต้นเร่ากลายเป็นม้าป่าหลุดจากบังเ**ยนหน้าผาก
ลูบคลำ ‘เข็มกลัดปกเสื้อ’ ครั้งแล้วครั้งเล่า นางก็มีสีหน้าแปลกประหลาด ผ่านไปครู่ใหญ่ตบตนเองครั้งหนึ่งอย่างแผ่วเบาแล้วลุกขึ้นยืน ตัดสินใจว่าตอนนี้ยังไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ลงมือกระทำก่อน
นางรู้สึกว่าตอนนี้มีชีวิตชีวาเหลือเกิน คิดอยู่ว่าไม่รู้ว่าเหอหว่านคุยกับกงอิ้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ในเมื่อเหอหว่านคงไม่เป็นไร นางจากไปเสียเลยดีกว่า
เรือนร่างกะพริบวูบ นางออกจากลานกว้างแห่งนี้แล้ว ผลลัพธ์ของการกะพริบวูบครั้งนี้เหนือความคาดหมาย พอนางร่วงพื้นอย่างงงงวยอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าตนเองมาโผล่ที่ใด จากนั้นจึงจำได้ว่าออกมาจากลานบ้านที่กักขังตนเองไกลมากแล้ว ตำแหน่งในตอนนี้น่าจะใกล้กับประตูหลัง พอกะพริบวูบอีกครั้งน่าจะออกไปได้แล้ว
ขณะกำลังจะจากไป ก็ได้ยินเสียงพูดคุยแผ่วเบาแว่วมาจากบนกำแพงกะทันหัน
“ตรงนี้สินะ?”
“ใช่…ปล่อยข้าไปได้แล้วกระมัง…”
จิ่งเหิงปัวนึกไม่ถึงเลยว่าบนกำแพงจะมีเสียงพูดคุยได้ นางหลบหลังต้นไม้ต้นหนึ่ง มองเห็นกำแพงที่มีเสียงฝั่งนั้นอยู่ใกล้กับชั้นวางกระถางต้นไม้แห่งหนึ่ง เถาวัลย์บนชั้นวางกระถางต้นไม้ปกคลุมทั่วกำแพง
เถาวัลย์พลันขยับเขยื้อน ศีรษะมนุษย์หลายคนมุดเข้ามา จากนั้นนางถึงพบว่าตรงนั้นมีประตูเล็กที่ซ่อนไว้อย่างมิดชิด
การแต่งกายของคนที่มุดเข้ามาทำให้นางตกตะลึง…เป็นเครื่องแบบขององครักษ์อวี้จ้าว!
แต่พอมองโดยละเอียดก็รู้สึกว่าแตกต่าง ชุดเกราะของอวี้จ้าวหลงฉีงดงามประณีตอย่างยิ่ง ตะเข็บแขนเสื้อต่างประดับด้วยด้ายทอง ขณะเคลื่อนไหวทำให้ตาพร่ารำไร กรรมวิธีการเย็บด้ายทองนั้นพิเศษมาก คนธรรมดาเรียนรู้ไม่ได้ ฉะนั้นด้ายทองบนแขนเสื้อของคนเหล่านี้จึงผุดเผยความหยาบกระด้างออกมา ยิ่งกว่านั้นสีหน้าของคนเหล่านี้ลับๆ ล่อๆ ไม่มีความโอหังอวดดีแห่งองครักษ์หลวงอวี้จ้าวหลงฉีแบบนั้นอย่างชัดเจน
ขณะสังเกตการณ์อยู่ ก็ได้ยินเสียง “จิ๊จ๊ะ” ขึ้นมากะทันหัน
คล้ายเป็นเสียงยิ้มเยาะ ซ้ำยังคล้ายเป็นเสียงเย้ยหยัน
จิ่งเหิงปัวตื่นตระหนก…บริเวณนี้ยังมีคนอื่นด้วย!
แต่พอมองซ้ายมองขวา รอบด้านว่างเปล่า ซ่อนตัวตรงไหนได้?
หูฝาดอีกแล้วเหรอ?
[1] ชาดจอแส ซินนาบาร์ (Cinnabar) เป็นแร่ของปรอทที่พบได้ทั่วไป แร่ชนิดนี้ในตำรายาโบราณเรียกชาดจอแส ใช้สงบประสาทและถอนพิษ