เธอจะรีบติดต่อเพื่อนทั้งสองคนของเธอเดี๋ยวนี้เลยเหรอ
ผู้จัดการที่กำลังดูรายชื่อในตอนแรกตกใจเมื่อได้ยินประโยคนี้ของฉินหร่าน
ที่เธอบอกว่าจะเชิญเพื่อนมาไม่ใช่เรื่องโกหก และไม่ได้ล้อเล่น แต่จริงจังงั้นเหรอ!
“ฉันขอถามหน่อยว่า เพื่อนสองคนที่เธอจะเชิญมาเป็นเพื่อนในวงการเหรอ” ผู้จัดการพอจะรู้เรื่องของฉินหร่านอยู่บ้าน เธอน่าจะไม่รู้จักคนในวงการนี่นา
คงไม่ได้จะเชิญเด็กเรียนอันดับหนึ่งของตัวเองมาหรอกนะ
ฉินหร่านนั่งไขว่ห้าง มือวางพาดกับโต๊ะ เมื่อได้ยินคำถามของผู้จัดการ เธอก็เลิกคิ้วนิดหน่อย พูดสั้นกระชับว่า “แน่นอนอยู่แล้ว”
ผู้จัดการจ้องหน้าฉินหร่าน ไม่อยากจะเชื่อเลย
เขาถามอย่างกระยึกกระยักว่า “เพื่อนสองคนนั้นเป็นใคร…”
“เอาละ” ฉินซิวเฉินที่นั่งอยู่อีกมุมเหลือบมองผู้จัดการอย่างไม่สบอารมณ์ พูดกับฉินหร่านด้วยแววตาที่อ่อนโยนว่า “เธอจะเชิญเพื่อนสองคนมาก็ได้ พวกเขามาทันพรุ่งนี้ไหม อยากให้ช่วยอะไรหรือเปล่า”
ฉินหร่านเคาะโต๊ะ ใบหน้ามีแต่ความเฉื่อยชา แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่น “ได้ค่ะ”
“งั้นก็ดีแล้ว” ฉินซิวเฉินผงกศีรษะเบาๆ เขาเก็บรายชื่อบนโต๊ะขึ้น “ฉันกลับไปตรวจการบ้านของเสี่ยวหลิงก่อน”
ผู้จัดการที่อยู่ข้างๆ มองฉินซิวเฉินราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อถูกฉินซิวเฉินจ้อง จึงละสายตาในทันที
ทั้งคู่บอกลาฉินหร่านเสร็จแล้วก็ออกมา ตั้งแต่ต้นจนจบใช้เวลาคุยกับฉินหร่านไม่ถึงสิบนาที
เมื่อปิดประตู ผู้จัดการมองประตูห้องฉินหร่าน จากนั้นชี้ไปที่รายชื่อในมือฉินซิวเฉิน เขากดเสียงให้ต่ำลงอย่างกระวนกระวาย “รายชื่อนี่จะทำยังไง หลานสาวคุณเธอจะเชิญเพื่อนของตัวเองมา”
“เธอไม่เข้าใจ แต่คุณน่าจะรู้กฎในวงการดี ไม่รู้ว่ารายการจะตัดต่อยังไง แต่ไม่ว่าจะตัดต่อยังไง ถึงเวลาฉาย ยังไงซะเธอก็ต้องโดนด่าอยู่ดี” ผู้จัดการมองฉินซิวเฉิน
ฉินหร่านบอกว่าเป็นเพื่อนในวงการ แต่ผู้จัดการก็รู้สึกจริงๆ ว่า…ฉินหร่านไม่รู้จักเพื่อนในวงการ
ฉินซิวเฉินพยักหน้าพลางหยิบกุญแจขึ้นมา ไขประตูห้องอย่างนิ่งเฉย “ฉันรู้ นายไม่ต้องย้ำ”
ผู้จัดการมองฉินซิวเฉิน พบว่าพูดอะไรกับเขาก็เปล่าประโยชน์ จึงตรงดิ่งเข้าไปนั่งลงตรงข้ามฉินหลิง “เสี่ยวหลิง”
ฉินหลิงยกมือขึ้นหยิบหูฟังออก เลิกคิ้วมองเขา “ว่ามา”
ผู้จัดการ “…”
เขานิ่งไปชั่วขณะแล้วชะโงกหน้าเข้าไป เอ่ยถามช้าๆ ว่า “นายรู้หรือเปล่าว่า…พี่สาวนายมีใครเป็นเพื่อนบ้าง”
“เพื่อนของพี่เหรอ” ฉินหลิงยกมือไปกดที่คีย์บอร์ดแล้วละสายตา พูดสบายๆ ว่า “เยอะเลยละ”
“ตัวอย่างเช่น มีเพื่อนที่เป็นดาราศิลปินหรือเปล่า” ผู้จัดการถามขณะที่มือวางพาดกับโต๊ะ
“อากู้ พี่ลู่ พี่หมิงเย่ว์ คุณอาเฟิง...” ฉินหลิงความจำดี พูดออกมาเป็นพรวนทั้งที่ไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ
ฉินซิวเฉินนั่งอยู่ข้างๆ เขาพิงพนักเก้าอี้ ฟังอย่างสนอกสนใจ น้อยนักที่ฉินหลิงจะพูดถึงฉินหร่าน เขามองฉินหลิงแล้วถามอย่างสงสัย “เป็นเพื่อนเธอหมดเลยเหรอ”
ตอนแรกเขาคิดว่านิสัยอย่างฉินหร่านมีเพื่อนได้ยากมาก
ผู้จัดการหยิบรายชื่อที่ฉินซิวเฉินวางไว้บนโต๊ะขึ้นมา ฟังพลางฉีกมันจนละเอียด
ในใบรายชื่อมีชื่อกับช่องทางการติดต่อส่วนตัว หากถูกพนักงานเก็บไป เบอร์ติดต่อของคนพวกนั้นจะถูกแพร่งพรายออกไป
“อากู้เป็นหมอ คนที่ให้ก้อนหินกับผมคนนั้นไง พี่ลู่เป็นแพทย์ประจำโรงเรียน…พี่หมิงเย่ว์เป็นเพื่อนสนิทของพี่ เรียนที่มหาวิทยาลัยเมืองหลวงเหมือนกัน…” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฉินหลิงเองก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา เขาพูดเป็นต่อยหอย ดวงตาสีนิลเป็นประกาย
ฉินซิวเฉินตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก
ผู้จัดการฟังมาหลายคนก็ไม่เห็นว่าฉินหร่านจะมีเพื่อนในวงการ
เขารินน้ำใส่แก้วบนโต๊ะให้ตัวเองแล้วดื่มไปคำหนึ่ง พอฉินหลิงพูดจบ ก็ไม่ได้ยินฉินหลิงกล่าวถึงเพื่อนในวงการอะไรเทือกนั้นเลย
อากู้พี่ลู่อะไรนั่น ผู้จัดการไม่อยากฟังเลยด้วยซ้ำ เขาลุกขึ้นอย่างเหนื่อยใจ “ซิวเฉิน พวกคุณคุยกันไปก่อน ฉันขอตัวก่อนละ”
ฉินซิวเฉินกำลังคุยกับฉินหลิง จึงโบกมือให้เขาลวกๆ ไม่แม้แต่จะเหลียวมองด้วยซ้ำ ส่วนฉินหลิงนั้น…
เย็นชายิ่งกว่าอะไรดี
ผู้จัดการลากฝีเท้าอันหนักอึ้งมายังห้องบนชั้นสองของตัวเอง เพิ่งมาถึงโถงทางเดิน ก็เห็นผู้กำกับยืนอยู่หน้าห้องตัวเอง
“ผมเคาะประตูแต่คุณไม่อยู่ เลยรอมาพักหนึ่งแล้ว” ผู้กำกับมองเขา พบว่าสีหน้าของผู้จัดการเคร่งขรึมผิดปกติ จึงอดชะงักไม่ได้ “เป็นอะไรไป”
ผู้จัดการเองก็สนิทสนมกับผู้กำกับมาก
เขาส่ายหน้า หยิบกุญแจขึ้นมาไขประตู “เข้ามาแล้วค่อยว่ากัน”
“เมื่อกี้คุณไปหาซุปตาร์ฉินเหรอ” ผู้กำกับนั่งลงข้างโต๊ะ ช้อนตาขึ้นถาม
ผู้จัดการพยักหน้า
ผู้กำกับครุ่นคิดครู่หนึ่ง พลันตาก็เปล่งประกาย “ซุปตาร์ฉินช่วยหาคนเหรอ”
ฉินซิวเฉินมีคอนเน็กชันในวงการกว้างขวาง เพื่อนเยอะ หาคนสักคนสองคนให้ฉินหร่านเป็นเรื่องกล้วยๆ
“ซุปตาร์ฉินอยากช่วยเหลือ” ผู้จัดการมองผู้กำกับ พูดอย่างอ่อนแรงว่า “แต่หลานสาวของเขาดึงดันว่าจะเชิญเพื่อนมาเอง”
ผู้กำกับ “…”
“ผมคิดว่าไม่ใช่คนในวงการ” ผู้จัดการหยุดคิดเล็กน้อยแล้วเตือนล่วงหน้า “น่าจะเป็นหมอกับเด็กเรียนร่วมมหาวิทยาลัย ตารางรายการพรุ่งนี้คุณเตรียมตัวให้พร้อม”
ผู้กำกับ “…”
หมอ?
รายการของพวกเขาจะมีหมอมางั้นเหรอ
คงจะเป็นครั้งแรกที่พิลึกแบบนี้ตั้งแต่มีมาหลายซีซัน…
ผู้จัดการสบตากับผู้กำกับ
โดยเฉพาะผู้กำกับ…
เขาว่าแล้วว่าฉินหร่านต้องทำเรื่องสุดเท่! ไม่เกินคาดจริงๆ! bug คนนี้!
…
อีกด้านหนึ่ง
ฉินหร่านไดร์ผมให้แห้งแล้วเปิดกล่องข้าว คีบกับข้าวและข้าวกิน ขณะที่ปลดล็อกมือถือไปด้วย
ไล่ค้นดูในวีแชทครู่หนึ่ง
กดเข้าไปที่แชทของเถียนเซียวเซียวก่อน พิมพ์ลงไปอย่างเชื่องช้าว่า
“ว่างไหม”
อีกด้านหนึ่ง เถียนเซียวเซียวที่ได้บทตัวละครหญิงแนวฮาเร็มมาอย่างยากเย็น แต่จนใจที่นางเอกเอาแต่วางก้ามทำให้การถ่ายยืดเยื้อ ตอนแรกส่วนของเธอต้องถ่ายเมื่อคืน แต่ยืดเยื้อมาจนถึงเย็นวันนี้ เกือบจะ 24 ชั่วโมงแล้ว
“ผู้กำกับคะ ส่วนของฉัน…” เธอรับบทเป็นหญิงในฮาเร็ม ในบทเป็นหน้าร้อน เธอสวมชุดของหญิงฮาเร็มตลอดเวลา ข้างนอกสวมทับด้วยเสื้อโค้ต เดินไปหาผู้กำกับ
ผู้กำกับกำลังอธิบายบทละครให้กับนางเอกที่โดนสั่งคัทอยู่ตลอด
เบื้องหลังของนางเอกคนนี้มีนายทุนคอยหนุน เขาไม่กล้าตำหนิ เมื่อเห็นเถียนเซียวเซียวเดินมา เขาก็ด่าแสกหน้าไปว่า “ส่วนของนางเอกยังไม่เสร็จคุณใจร้อนอะไร ไม่เห็นเหรอว่าผมกำลังยุ่งน่ะ!”
เถียนเซียวเซียวกัดฟันกรอด นึกถึงคำพูดของพี่เวินผู้จัดการของเธอ จึงไม่ได้ตอบโต้
ไปนั่งเล่นมือถืออยู่อีกมุม
เห็นข้อความของฉินหร่านพอดี เธอสูดจมูกเล็กน้อย ตอบกลับไปว่า ‘ว่าง’
เพิ่งตอบกลับไป โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาทันที
“หร่านหร่าน” เถียนเซียวเซียวรับโทรศัพท์พลางเดินออกไปข้างนอก หย่อนตัวนั่งลงบนกรอบประตูของกองถ่าย ก้มศีรษะลงเล็กน้อย
ทางด้านฉินหร่านเปิดลำโพง มือถือตะเกียบ “พรุ่งนี้เธอว่างหรือเปล่า”
“พรุ่งนี้เหรอ” เถียนเซียวเซียวเท้าคางมองข้างหน้า
“อืม ถ้าว่างก็มาหาฉันที่เมือง c ชวนเธอมาเที่ยว” ฉินหร่านลุกขึ้นไปหยิบน้ำมาแก้วหนึ่ง นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “สนุกมากเลยละ”
เถียนเซียวเซียวหันไปมองทีมงานกองถ่าย ส่วนของตนถูกยืดออกไปแล้ว บทของตัวเอกหลายคนถ่ายก่อนกำหนด
ทางนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ฉินหร่านเรียกหาตัวเอง เถียนเซียวเซียวเม้มปาก ไม่คิดอะไรมากมาย “ได้ พรุ่งนี้ฉันจะไปหาเธอ”
เธอกดวางสาย เข้าไปเปลี่ยนชุดของตัวเองที่ห้องแต่งตัวแล้วไปหาผู้กำกับ
ผู้กำกับกำลังนั่งคาบบุหรี่ มองเธออย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไมเป็นคุณอีกแล้ว บอกไปแล้วไงว่าส่วนของคุณมันอยู่ข้างหลัง…”
“เปล่าค่ะ” เถียนเซียวเซียวกระชับเสื้อโค้ตของตัวเอง “ฉันอยากขอลาหยุด”
ช่วงนี้กดดันเหลือเกิน เถียนเซียวเซียวก็อยากไปหาฉินหร่านแล้วถือโอกาสระบายสักหน่อย
“ลาหยุดเหรอ ผมว่าคุณไม่อยากแสดงแล้วต่างหาก” ผู้กำกับกวาดตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วสะบัดบุหรี่ “บทนี้มีคนแย่งกันตั้งมากมาย”
เถียนเซียวเซียวพยักหน้า “งั้นก็ไม่แสดงแล้วค่ะ”
บทหญิงในฮาเร็มนี่ไม่ได้เซ็นสัญญาแต่แรกอยู่แล้ว ไม่ต่างอะไรกับตัวประกอบเลย ก็แค่แสดงเสร็จแล้วรับเงิน
เถียนเซียวเซียวเดินออกไปอย่างสง่างาม
ด้านหลัง ผู้ช่วยฝ่ายผลิตมองผู้กำกับ “ผู้หญิงคนนี้หน้าตามีเอกลักษณ์มาก มีศักยภาพมาก…”
“แล้วมีประโยชน์อะไร” ผู้กำกับไม่แยแสมากนัก กองถ่ายไม่ได้เอามือใหม่มาเรียกกระแสอยู่แล้ว เธอไม่ใช่ดารายอดนิยมที่จะมีกระแสเสียหน่อย “คนที่แยกแยะอะไรไม่ได้ ทนความลำบากในวงการไม่ได้ ไม่มีทางดังแน่นอน”
วันนี้หากเป็นดาราหน้าใหม่ที่เป็นที่นิยม ผู้กำกับไม่มีทางปล่อยเธอไปเด็ดขาด
แต่กับเถียนเซียวเซียวเขาไม่มีให้แม้แต่สัญญาด้วยซ้ำ จะเห็นได้ว่าเขาไม่ใส่ใจคนอื่นเลยสักนิด
…
ทางด้านนี้ ฉินหร่านส่งพิกัดให้เถียนเซียวเซียว
จากนั้นกดปิดวีแชท
ค้นหาเบอร์โทรศัพท์อีกเบอร์ กับคนนี้เธอทำตามใจ ไม่สนว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร กดโทรออกทันที
ในขณะเดียวกัน
อีกฟากหนึ่งของเมือง c
เหยียนซีนอนอยู่บนโซฟารีไคลเนอร์อย่างไร้เรี่ยวแรง คิ้วงามขมวดเป็นปม “จองตั๋วเครื่องบินหรือยัง”
บอสวังพยักหน้า “ซื้อแล้ว เดี๋ยวเราก็กลับเมืองหลวงได้เลย”
“อืม” เหยียนซีพยักหน้าแล้วหลับตาลง
“วิวของเมือง c ไม่เลวเลย ครั้งหน้า…” บอสวังมองเขาแวบหนึ่ง
เหยียนซีไม่ลืมตาด้วยซ้ำ “ไม่มีครั้งหน้าแล้ว ฉันไม่อยากอยู่ต่อเลยแม้แต่วันเดียว!”
มาเมือง c หนึ่งอาทิตย์ เขาไม่คุ้นชินเลยสักวัน…
มือถือบนโต๊ะแผดเสียงดัง บอสวังหยิบขึ้นมามองแล้วตกตะลึง