“เหยียนซี รีบตื่นมาโทรศัพท์เร็ว!” บอสวังมองไปทางเหยียนซี
เหยียนซียกมือขึ้นบดบังดวงตา พูดอย่างไร้อารมณ์ว่า “ไม่รับ”
บอสวังไม่สนใจเขา กดรับสายแล้วเดินไปข้างๆ สองข้าวอย่างระแวดระวัง วางมือถือลงข้างหูอย่างนอบน้อม ลดเสียงลงสองระดับ “ท่านเทพ”
เหยียนซีที่ไม่ยี่หระและง่วงเหงาหาวนอนในตอนแรกดีดตัวลุกขึ้นทันที เขาลืมตาขึ้น น้ำเสียงเย็นชา “ใครนะ!”
บอสวังจ้องเขา ไม่พูดไม่จา ยื่นมือถือให้เหยียนซีดู
หน้าจอมีตัวหนังสือปรากฏให้เห็นเด่นหรา…
เจียงซาน
เหยียนซีมองบอสวังแวบหนึ่ง รีบรับมือถือมาเป็นพัลวัน จากนั้นลุกขึ้น เดินไปทางหน้าต่าง ลดเสียงเบาลง “ท่านเทพ”
ฉินหร่านยังคงเปิดลำโพงเช่นเดิม เมื่อมีคนรับสายแล้วก็วางมือถือลงบนโต๊ะ หยิบน้ำขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง เริ่มกินข้าวต่อ น้ำเสียงสบายๆ “ทำไมนานขนาดนี้”
“เมื่อกี้อยู่ในห้องน้ำน่ะ” สีหน้าของเหยียนซีเรียบเฉย
ฉินหร่านขานรับในลำคออย่างไม่ค่อยแยแส กินผักไปก้านหนึ่งแล้วพูดอย่างไม่รีบเร่งว่า “ยังอยู่ในเมือง c หรือเปล่า”
“อยู่” เหยียนซีเชยตาขึ้นมองนอกหน้าต่าง “ทำไมเหรอ”
“ดี ฉันก็อยู่ที่นี่ มีรายการเรียลลิตี้โชว์พอดี” ฉินหร่านนั่งไขว่ห้าง เลิกคิ้วพูดว่า “ต้องเชิญแขกรับเชิญ นายว่างมาหรือเปล่า”
เหยียนซีเม้มปากเล็กน้อย นัยน์ตาดำขลับฉายความตกใจ สงสัยว่าตัวเองหูฝาดไป “เธอ…ถ่ายเรียลลิตี้โชว์?”
ฉินหร่านตอบแค่ ‘อืม’
แม้จะเคยเจอหน้ากันไม่กี่ครั้ง แต่เหยียนซีรู้จักฉินหร่านมานานหลายปีแล้ว
เมื่อเขาหายตกใจแล้ว ก็ได้สติทันที น้ำเสียงของเขาหนักแน่น “กี่เดือน”
ฉินหร่านชะงัก “กี่เดือนหรอ?”
เหยียนซีตอบอย่างเป็นธรรมชาติว่า “เธอเซ็นสัญญากี่ปี เซ็นด้วยกันเลย”
ฉินหร่าน “…”
เธอหยิบมือถือขึ้นมา ส่งพิกัดของที่นี่ไป “แค่สองวัน เป็นแขกรับเชิญ ฉันก็อยู่แค่ไม่กี่วัน”
เหยียนซีเสียดายนิดหน่อย “ก็ได้”
ทั้งคู่วางสาย เหยียนซีหันกลับไป เห็นบอสวังกำลังลากกระเป๋า เหมือนกับว่ากำลังเก็บของ
เหยียนซีเก็บมือถือ นัยน์ตาสีอ่อนหรี่ลงเล็กน้อย “ทำอะไรน่ะ”
“เก็บของไง” บอสวังยกมือขึ้นมองเวลาบนมือถือ “อีกหนึ่งชั่วโมงห้าสิบนาทีเครื่องบินจะออกแล้ว นายบอกว่าอีกแค่วินาทีเดียวนายก็ไม่อยากอยู่ เรารีบออกเดินทางกันเถอะ”
เหยียนซี “…”
เขาไม่เชื่อว่าบอสวังไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับท่านเทพ คนคนนี้ต้องจงใจแน่ๆ…
ด้านนอก ผู้ช่วยหนุ่มเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามา เมื่อชะโงกหน้ามอง ก็เห็นบอสวังกำลังเก็บสัมภาระแล้ว “บอสวัง รถมารอหน้าโรงแรมแล้ว จะเดินทางไปสนามบินตอนไหน”
เหยียนซีมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
บอสวังวางสัมภาระไว้อีกทางหนึ่ง แสยะยิ้ม “ยกเลิกตั๋ว”
“ยกเลิกตั๋ว?” ผู้ช่วยหนุ่มเกาหัว “คุณแน่ใจนะ พี่เหยียนไม่ชินอยู่ต่อไม่ได้แม้แต่วันเดียว”
บอสวังหยิบมือถือแล้วเดินออกไป ก้มหน้าค้นพิกัดที่เหยียนซีส่งให้เขาในมือถือ เขาต้องเตรียมเส้นทาง พอได้ยินก็ไม่แม้แต่จะเงยหน้า พูดเสียงราบเรียบว่า “เขายอมลูกพี่ของเขา”
…
ทางด้านเมืองติดภูเขา
ฉินหร่านกินข้าวเสร็จแล้ว
เธอเพิ่งเก็บถ้วยชามที่กินเหลือไว้ ไม่ได้ออกไปทันที แต่เอนตัวพิงพนัก ค้นแชทของเจียงตงเยี่ยในวีแชท
ส่งข้อความไปประโยคหนึ่งว่า
“หนุนหลังไป๋เทียนเทียน?”
เจียงตงเยี่ยตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว ‘ไป๋เทียนเทียน?’
‘งั้นก็ดีแล้ว’ ท่าทางจะไม่ได้หนุนจริงจัง
ประโยคนี้ไร้อารมณ์ เดาน้ำเสียงของฉินหร่านไม่ออก เจียงตงเยี่ยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานนั่งไม่ติดแล้ว เขาเรียกเลขาเข้ามาสอบถามความเป็นไป
เลขาชะงัก “คุณถามถึงไป๋เทียนเทียนกับผมครั้งก่อน คนข้างล่างคิดว่าคุณตั้งใจจะเลี้ยงเธอ แถมยังให้ทุนเธอไปตั้งก้อนใหญ่…”
“เอาตารางแผนงานมาให้ผม” มีความรู้สึกไม่ดีบางอย่างซุกซ่อนในใจเจียงตงเยี่ย
เลขารีบกลับไปหาเอกสารแล้วมายื่นให้เจียงตงเยี่ยอย่างรีบร้อน
เจียงตงเยี่ยพลิกดู ข้างในมีเนื้อหารายละเอียดและแผนของรายการเรียลลิตี้โชว์ ที่เมือง c นี่เอง
เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ เจียงตงเยี่ยก็นึกถึงเรื่องที่เฉิงเจวี้ยนคุยกับเขาเมื่อตอนเช้าขึ้นมาทันที...
หมายความว่าฉินหร่านกับเฉิงเจวี้ยนอยู่ที่เมือง c ทั้งคู่ แถมยังอยู่ในกองถ่ายเรียลลิตี้โชว์ด้วยงั้นเหรอ
เจียงตงเยี่ยนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง ในใจรู้สึกมีอะไรบางอย่างไม่ปกติ เขามองเลขา “ตารางงานมีเวลาว่างตอนไหน ไปเมือง c หน่อย”
เลขาชะงักไป เขายกมือขึ้นดันแว่น หยิบสมุดตารางงานขึ้นมาพลิกดู “อีกสองวันครับ”
“ได้” เจียงตงเยี่ยพยักหน้าเล็กน้อย ปลายนิ้วเคาะโต๊ะ “ไปจัดการหน่อย อีกสองวันผมจะไป”
…
สนามบินเมืองหลวง
เถียนเซียวเซียวพกมาแค่กระเป๋าใบเดียว แต่งตัวทะมัดทะแมง เธอยืนอยู่ข้างเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ กำลังมองดูไฟล์ทบิน ขณะที่โทรหาฉินหร่านไปด้วย “หร่านหร่าน ไม่มีตั๋วของวันนี้แล้ว ถ้าฉันไปถึงอาจจะดึกหน่อย เธอไปเที่ยวเองก่อน…”
ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงกว่าแล้ว แถมยังเป็นวันอาทิตย์พอดี ไฟล์ทบินไปเมือง c ทั้งสองไฟล์ทของคืนนี้เต็มหมดแล้ว
พอผมของฉินหร่านแห้งแล้ว ก็เก็บกล่องข้าว จากนั้นถือกุญแจไปไขประตู
เธอเปลี่ยนเป็นคาร์ดิแกนหลวมโพรกสีครีม ท่อนล่างเป็นสกินนี่สีดำ ไม่สวมหมวก ดวงตาเย็นเยือก พอได้ยินเถียนเซียวเซียวพูดจบ เธอถามเพียงว่า “พี่เวินไปหรือเปล่า”
“มา ช่วงนี้เขาเองก็ว่าง ยังหาบ้านไม่ได้ด้วย” เถียนเซียวเซียวกวาดตามองไปรอบๆ มองหาตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติ โยนเหรียญสิบเข้าไปแล้วหยิบน้ำเปล่ามาขวดหนึ่ง
“เข้าใจ” มือของฉินหร่านหิ้วกล่องข้าว เดินอยู่บนทางเดินหิน “เธอรออยู่ที่สนามบินเดี๋ยวเดียว อีกสิบนาทีจะติดต่อกลับไป”
ฉินหร่านกดวางสาย เดินไปข้างหน้าอีกห้านาที ในที่สุดก็เจอตึกเล็กๆ ตรงหัวมุมถนน
ประตูแง้มออกเล็กน้อย ฉินหร่านเดินเข้าไปก็เห็นเฉิงมู่ยืนอยู่ในลานบ้าน
“คุณฉิน ทำไมวันนี้เสร็จไวจังเลย” เฉิงมู่เข้ามารับกล่องข้าวไปจากมือเธอทันที จากนั้นยื่นมือไปปิดประตู ตะโกนไปทางตึกว่า “ท่านเจวี้ยน คุณหนูฉินมาแล้ว”
เสียงดังมาก ได้ยินไปถึงห้องหนังสือชั้นบน
เฉิงเจวี้ยนมองกลุ่มคนตรงหน้า พับแขนเสื้อขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย ปลายนิ้วกลัดกระดุมแขนเสื้อ “งั้นก็เดินทางไปเมืองหลวงวันพรุ่งนี้”
คนพวกนั้นเป็นผู้ดูแลอำนาจในเมือง c ของสกุลเฉิง
เมื่อเห็นเฉิงเจวี้ยนตัดสินใจง่ายๆ แบบนี้ ชายวัยกลางคนสวมสูทดำที่เป็นผู้นำก็อดพูดไม่ได้ว่า “คุณชายสาม กลุ่มของเรามีคนเยอะ ถ่ายโอนมาไม่ได้หรอก เวลาเพียงวันเดียวมันไม่พอ ยังไม่ได้เบิกทาง…”
ชายวัยกลางคนพูดพลางยื่นเอกสารจำนวนคนกับต้นทุนฉบับหนึ่งออกมา
เฉิงเจวี้ยนฉวยมาแล้วพลิกอ่าน ใช้เวลาราวๆ หนึ่งถึงสองนาที “พอแล้ว ถ่ายโอนมาได้”
เขาปิดเอกสาร นัยน์ตาเฉยชาและเกียจคร้าน ยกเอกสารลงบนโต๊ะอย่างไม่ยี่หระ “เจ็ดโมงเช้าของวันมะรืนให้ไปที่สนามบินเชียนหงของเมือง c”
“คุณชายสาม” ชายวัยกลางคนกำมือแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน แต่ก็เตือนอย่างมีน้ำอดน้ำทนว่า “เมือง c ไม่ได้อยู่ในขอบเขตการดูแลของสกุลเฉิง น่านฟ้ายิ่งไม่ได้อยู่ในขอบเขตเลย การถ่ายโอนทุนกับจำนวนคนต้องผ่านการตรวจสอบของสนามบิน ต้องเจรจากับแต่ละฝ่าย ถ้าไปได้ง่ายๆ แบบนี้ พวกเราคงไม่แจ้งให้นายท่านส่งคนมา…”
กำลังของสกุลเฉิงในเมือง c ไม่อ่อนด้อย นายท่านเฉิงอยากให้เฉิงเจวี้ยนมาเพราะอยากให้เขาปรับปรุงกำลังทางนี้
ระหว่างนี้มีหลายด่านที่ต้องผ่านไปให้ได้ หากสกุลเฉิงไม่ส่งคนที่ควบคุมได้มา จะไม่มีทางเอาอยู่เลย
เฉิงเจวี้ยนมองไปนอกหน้าต่าง คล้ายว่าจะเห็นเงาคน ช้อนตาขึ้นตามความเคยชิน มุมปากมีรอยยิ้มเอื่อยเฉื่อย “รู้แล้ว คนทั้งหมดรวมตัวกันที่สนามบินก็พอ”
คร้านจะคุยกับคนพวกนี้แล้ว จึงลงจากตึกไป
และไม่พูดถึงเรื่องเบิกทาง
เมื่อเขาออกจากห้องหนังสือ หลายคนในห้องก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“ท่านรอง” คนที่เหลือจ้องชายวัยกลางคน พูดอย่างกังวลว่า “ก่อนหน้านี้เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับคุณชายสาม ผมไม่เชื่อจนมาวันนี้…อีกไม่กี่วันเราจะทำยังไงกันดี”
จะยกโขยงกันขนของทั้งหมดไปที่สนามบินจริงๆ เหรอ
ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่ถึงสนามบินเลย แม้แต่ช่องทางปลอดภัยยังไม่มี เฉิงเจวี้ยนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ท่านรองจินตนาการออกว่า ถึงตอนนั้นเกรงว่าของถูกสนามบินยึด ตั้งแต่ยังไม่ถึงสนามบินด้วยซ้ำ
สกุลเฉิงเป็นหนึ่งไม่เป็นสองในประเทศ
แต่ด้านสนามบิน ไม่กล้าล่วงเกินจริงๆ
ท่านรองนวดหัวคิ้ว เขาเองก็เพิ่งเคยเจอเฉิงเจวี้ยนครั้งแรก ตอนนี้นายท่านเฉิงจะเกษียณแล้ว ได้เวลากลับไปรวมตัวแล้ว…
เขายืนครุ่นคิดในห้องหนังสืออยู่พักหนึ่ง แจ้งเรื่องนี้ให้กับเฉิงเหราฮั่นในเมืองหลวงอย่างคลุมเครือ
“กลับไปเตรียมตัวเถอะ พยายามขนของไปที่สนามบินภายในสามวัน” ท่านรองเก็บเอกสารบนโต๊ะขึ้นแล้วทอดมองนอกหน้าต่าง
“ขนไปที่สนามบินทั้งหมดเหรอ ท่านไม่เบิกทางแล้วเหรอ” สมุนแสดงอาการตกใจ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ ไม่ค่อยเห็นด้วยมากนัก “ถึงตอนนั้นถ้าถูกยึด จะแจ้งนายท่านยังไง”
ท่านรองไม่พูดอะไร
ว่ากันว่านายท่านรักลูกคนที่สามที่สุด ถ้าลูกคนที่สามทำผิดมหันต์โดยไม่ฟังเสียงทัดทาน…
เขาถอนหายใจ สิ่งที่ควรห้ามเขาก็ห้ามแล้ว หากไม่เกิดเรื่องใหญ่ เขาก็กลัวว่าต่อไปสกุลเฉิงจะตกไปอยู่ในมือของคุณชายสาม
…
ใต้ตึก
เฉิงเจวี้ยนไม่ได้ลงมาโดยตรง แต่ไปหยิบเป้สีดำในห้องหนังสือออกมาก่อน มันเป็นของฉินหร่าน
เมื่อได้กระเป๋ามาแล้ว เขาถึงได้เดินไปยังโต๊ะหินในสวน วางเป้ของฉินหร่านลงบนโต๊ะ
มือของฉินหร่านกำลังถือถ้วยชา เธอดื่มพลางรูดซิปเปิดเป้ออก “ถึงไวขนาดนี้เลยเหรอ กู้ซีฉือบอกว่าต้องรออีกหลายวันไม่ใช่เหรอ”
ข้างในนี้มีแล็ปท็อปของเธอ กับยาของกู้ซีฉือ
ยาพวกนี้ส่วนใหญ่จะให้ฉินหลิง
เฉิงมู่ที่ยืนอยู่บนท่อนไม้ไม่กล้าพูดกับฉินหร่าน เมื่อคืนเฉิงเจวี้ยนข่มขู่กู้ซีฉือ หากไม่ทำให้ไวหน่อย ลั่นวาจาว่าจะระเบิดห้องทดลองของเขา…
จากนั้นบ่ายวันนี้ก็มาถึงแล้ว…
เฉิงเจวี้ยนยกมือขึ้นรินชาให้ตัวเอง นิ้วขาวยกถ้วยชา “พอใช้ได้ รุ่นน้องของฉันทำงานไวใช้ได้มาตลอด”
ฉินหร่านรูดซิป ยกมือขึ้นเท้าคาง “ไฟล์ทบินจากเมืองหลวงมาเมือง c ของวันนี้ยังเหลือหรือเปล่า”
“ไม่เหลือแล้ว” เฉิงเจวี้ยนมองเธอแวบหนึ่ง
“นี่” ฉินหร่านเท้าคาง แพขนตายาวสั่นระริก เธอจ้องเขา ลดเสียงให้เบาลง “ไม่มีจริงๆ เหรอ”
เฉิงเจวี้ยนขำในลำคอ “อีกสิบนาทีคงจะมีแล้วล่ะมั้ง”
…
สนามบินเมืองหลวง
เถียนเซียวเซียวสวมหูฟังกำลังดูหนัง แผ่นหลังถูกตบไปทีหนึ่ง เธอตกใจมือถือแทบร่วง
พอเหลียวหลังมอง เป็นพี่เวินนั่นเอง
“ดูหนังของซุปตาร์อีกแล้ว ฉันว่านะ…” พี่เวินมองมือถือของเธอแวบหนึ่ง
เถียนเซียวเซียวเก็บมือถืออย่างหน่ายใจ จากนั้นก็โบกมือ “พอๆ ฉันรู้แล้ว เลิกพูดซ้ำๆ ซากๆ ได้แล้วพี่!”
“ให้ฉันไปเมือง c ทำไม” พี่เวินเองก็มีแค่กระเป๋าเป้ใบเดียว เมื่อเธอมองข้อมูลไฟล์ทบิน “คืนนี้ไปไม่ได้แล้ว กลับกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
เถียนเซียวเซียวดูมือถือ ข้อความจากวีแชทของฉินหร่านถูกส่งเข้ามาพอดี เมื่อเห็นเนื้อหา เธอก็ตกใจ “หร่านหร่านบอกว่าบินได้ เหมือนว่าเธอจะซื้อตั๋วให้เราด้วย”
“ฉันเช็กดูตอนที่มาแล้ว ไม่มีไฟล์ท...” พี่เวินหยิบมือถือขึ้นมาดูอย่างไม่เชื่อ พูดไม่ทันจบประโยคก็หยุดไป เพราะมีไฟล์ทบินตอนสองทุ่มครึ่งเพิ่มมาจริงๆ ด้วย
ส่วนตั๋วของเธอกับเถียนเซียวเซียว พี่เวินคิดว่าเถียนเซียวเซียวเป็นคนส่งข้อมูลของทั้งสองให้ฉินหร่าน เธอจึงไม่สังเกต
เพียงแค่รับบอร์ดดิ้งพาส ทั้งคู่ไม่โหลดสัมภาระ จึงผ่านด่านตรวจความปลอดภัยแล้วตรงไปที่เกททันที
ในห้องโดยสารขนาดใหญ่มีคนเพียงไม่กี่ชีวิต ให้ความรู้สึกประหลาดราวกับเช่าเหมาลำ
พอเทคออฟแล้ว พี่เวินถึงได้ถามว่า “เธอไปเมือง c เพื่อไปหาฉินหร่านเพื่อนเธอคนนั้นน่ะเหรอ”
“อืม” เถียนเซียวเซียวหยิบนิตยสารออกมา ไม่ได้เงยหน้า
พี่เวินพยักหน้า ช่วงนี้นักแสดงในมือก็มีแค่เถียนเซียวเซียวคนเดียว เธอสวมผ้าปิดตา “บทหญิงฮาเร็มนั่นถ่ายทำไปถึงไหนแล้ว ผู้กำกับไม่ได้ให้เธอเซ็นสัญญาเรื่องต่อไปเหรอ”
เธอถามเรื่องงาน
เถียนเซียวเซียวพูดอย่างไม่ยี่หระ “หมดหวังแล้ว”
“อะไรนะ!” พี่เวินดึงผ้าปิดตาลง เธอมองเถียนเซียวเซียวด้วยสายตาเป็นเชิงบอกว่า ‘เธอบ้าไปแล้วเหรอ’ “เธอคงไม่ได้ล่วงเกินทีมงานเพื่อไปเที่ยวเมือง c หรอกนะ”
เถียนเซียวเซียวช้อนตามองพี่เวิน “ใจเย็นๆ ผู้กำกับคนนั้น ฉันอยากจะออกตั้งนานแล้ว เขาเอาแต่ถ่วงเวลาฉัน”
“เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่น้องใหม่เจออยู่บ่อยๆ ทนๆ หน่อย” พี่เวินใจเย็นไม่ไหวแล้ว แต่เมื่อตระหนักได้ว่าในห้องโดยสารไม่ได้มีแค่พวกเธอสองคน มีผู้โดยสารคนอื่นอยู่ด้วย เธอจึงกดเสียงต่ำลง “เธอกำลังคิดอะไรกันแน่ ยังอยากจะอยู่ในวงการบันเทิงหรือเปล่า”
เธอเป็นห่วงเถียนเซียวเซียวจริงๆ
เถียนเซียวเซียววางมือยันบนโต๊ะอย่างสับสน “ดูก่อนแล้วกัน”
“ช่างเถอะ เธอมันคนดวงซวย” พอพี่เวินเห็นเธอเป็นแบบนี้ ก็ทำใจว่าเธอไม่ลงแล้ว “อารมณ์ไม่ดี ไปผ่อนคลายกับเพื่อนเธอที่เมือง c สักหน่อย”
จนถึงตอนนี้ ทั้งคู่ยังคงคิดว่าไปหาฉินหร่านเพื่อเที่ยวสนุก