บทที่ 926 พรหมลิขิตชัดๆ!

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

พอเห็นถังฮ่าวยอมให้ความร่วมมือ หลิงม่อก็ไม่เสียเวลาอีก เขากวักมือเรียกเสี่ยวป๋าย เจ้าหมีแพนด้ากลายพันธุ์รีบเดินส่ายหัวเข้ามา จากนั้นก็ยกร่างถังฮ่าวขึ้นมาท่ามกลางเสียงแหกปากร้องของเขา

“พวกเรารีบไปหาอวี๋ซือหรานก่อน ส่วนคำถามพวกนั้น ฉันจะถามแกระหว่างทาง เรื่องอื่น ฉันจะไม่พูดอะไรอีก” หลิงม่อมองหน้าถังฮ่าวอย่างเย็นชา แล้วบอก

ถังฮ่าวอดทนต่อความเจ็บปวดพร้อมพยักหน้ารับ ขณะเดียวกันก็เหลือบมองกรงเล็บของเสี่ยวป๋ายอย่างกลัวๆ กรงเล็บอันแหลมคมนั้นจ่ออยู่ตรงกระดูกสะบักของเขา ราวกับหากออกแรงอีกนิด ก็จะสามารถบีบกระดูกเขาให้เละคามือได้ทุกเมื่อ เห็นชัดเจนว่านี่เป็นข่มขวัญ และเป็นคำเตือนอย่างหนึ่ง เมื่อมีมีดที่มองไม่เห็นจ่ออยู่ที่คออย่างนี้ หลิงม่อก็ไม่จำเป็นต้องพูดมากอะไรอีก…

“ดูเหมือนหมอนี่คงแค่ทำเป็นใจเย็น แต่ที่จริงคงกังวลแทบแย่สินะ…ไม่แน่ว่ามันอาจคิดจะใช้ฉันเป็นตัวประกันก็ได้…” ถังฮ่าวลอบคิด

พอคิดว่าการกระทำของหลิงม่อเหมือนลูกแกะที่เดินเข้าปากเสือ ถังฮ่าวก็อดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ เขากระทั่งอดคิดในใจไม่ได้ว่า “หึหึ ไปตายซะเถอะ จะให้ดีที่สุดก็ตายไปพร้อมกับเด็กผู้หญิงคนนั้น และถูกฉีกทึ้งร่างต่อหน้าฉันอย่างช้าๆ…” แต่ภายนอก ถังฮ่าวยังคงทำหน้าเหมือนเป็นตายแล้วแต่ฟ้าลิขิต แม้แต่สายตาก็ยังเลื่อนลอยสิ้นหวัง ทว่าในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นความคิดในใจ หรือสีหน้าที่แสดงออกมา ล้วนแล้วแต่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองทางอารมณ์ที่แท้จริงของเขาทั้งนั้น…

“เหอะ…” ก่อนจะเดินลงไปข้างล่าง หลิงม่อก็แสร้งทำเป็นเหลือบมองถังฮ่าวอย่างไม่ใส่ใจแวบหนึ่ง

ถึงแม้เพิ่งรู้จักคนคนนี้ได้ไม่นาน แต่หลิงม่อกลับเข้าใจนิสัยของเขาบ้างบางส่วนแล้ว ด้านหนึ่งคนคนนี้ได้รับผลกระทบจากการแปลงร่างเป็นซอมบี้ จิตใจโหดร้ายกระหายเลือด ในอีกด้าน ตอนที่ยังมนุษย์เขากลับขี้ขลาดอ่อนแอ และมีจิตใจที่ลังเล ทำอะไรไม่เด็ดขาด เมื่อสองบุคลิกที่แตกต่างกันนี้มารวมตัวกัน ยามปกติยังพอประคองให้อยู่ในภาวะสมดุลได้ แต่ทันทีที่มีแรงกระตุ้นจากภายนอกเข้ามา เขาก็จะคลุ้มคลั่งได้ง่ายมาก

เหมือนสถานการณ์ของถังฮ่าวเมื่อกี้…

ทว่าคนประเภทนี้มักมีความไม่แน่นอนอยู่เสมอ ดังนั้นถึงแม้ตอนนี้เขาเลือกยอมจำนน แต่หลิงม่อกลับไม่คิดจะประมาทเขาเลยแม้แต่น้อย…

ขณะที่พวกเขาเดินลงชั้นล่าง ในช่องลิฟท์ของบริษัทลอว์สัน

ตั้งแต่สามนาทีที่แล้ว หลี่ย่าหลินก็สัมผัสผัสได้ถึงความเงียบของหุ่นซอมบี้ เธอจึงไม่พูดอะไรอีก และตั้งใจปีนขึ้นไปตามปากรูที่โผล่มาทีละรูๆ และทุกครั้งที่เธอปีนขึ้นไปถึงปากรูพวกนั้น เธอก็จะปีนเข้าไปสำรวจข้างในหนึ่งรอบ

เมื่อเป็นอย่างนี้ ความเร็วของพวกเธอจึงช้ากว่าซย่าน่าที่ขึ้นมาก่อนไม่น้อย แต่ในฐานะที่เป็นฝ่ายตาม หลี่ย่าหลินเลือกที่จะระมัดระวังให้มากขึ้นหน่อย ดีกว่าประมาทเลินเล่อแล้วพลาดอะไรไป

ในการวิเคราะห์เมื่อกี้ เธอกับหลิงม่อสันนิษฐานว่าซย่าน่าน่าจะปีนเข้าไปในรูใดรูหนึ่ง บวกกับคำพูดพวกนั้นที่ซย่าน่าพูดทิ้งไว้ก่อนหายตัวไป หลี่ย่าหลินจึงได้ข้อสรุปบางอย่าง

“ซย่าน่าน่าจะไล่ตามอะไรบางอย่างเข้ามาสินะ” หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน อยู่ๆ หลี่ย่าหลินก็หันมา แล้วพูดกับหุ่นซอมบี้ที่อยู่เยื้องลงไปข้างล่าง

หุ่นซอมบี้ที่กำลังปีนป่ายเหมือนหุ่นยนต์พลันชะงักไปชั่วขณะ ดวงตาเลื่อนลอยคู่นั้นกระพริบปริบๆ ไม่นานก็สะท้อนให้เห็นกลิ่นอายแห่งชีวิตขึ้นมา “อื่ม…ลองจินตนาการดู การเข้ามาของเธออาจไปรบกวนอะไรเข้าก็ได้ จากนั้นในตอนที่เธอปีนเข้ามา เธอก็ถูกจับตามองแล้ว ขณะเดียวกันซย่าน่าก็รู้ตัวว่าถูกจับมองอยู่ ดังนั้น…”

หลี่ย่าหลินเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน บอกว่า “ดังนั้นตอนนี้เธอน่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทั้งไล่ล่าและหนีไปพร้อมกัน…ถ้าอย่างนั้น เจ้าสิ่งนั้นก็น่าจะปีนขึ้นข้างบนตลอด ดูจากความเร็วของซย่าน่า…เธอน่าจะไล่ตามมันได้ทันที่รูถัดจากรูต่อไป…”

“ถ้าอย่างนั้น ซย่าน่าก็อาจจะปีนตามมันเข้าไปในรูถัดจากรูต่อไปงั้นหรอ?” หลิงม่อพูดขึ้นอย่างแปลกใจ อย่างอื่นไม่ว่า แค่คำว่า “ความเร็วของซย่าน่า” ก็ทำเอาเขาอึ้งแล้ว เกรงว่าคงมีแต่ “พี่น้อง” ซอมบี้ที่อยู่ด้วยกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงอย่างพวกเธอ ที่จำความเร็วเฉลี่ยของอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำขนาดนี้ แล้วยังสามารถคำนวณตำแหน่งที่อีกฝ่ายอาจไปถึงโดยใช้วิธีอย่างนี้ด้วย

ถ้าหากเปลี่ยนเป็นซย่าน่า เกรงว่าเธออาจได้ข้อสรุปนี้ทันทีที่เข้ามาในนี้แล้ว แต่การที่หลี่ย่าหลินทำได้ถึงขั้นนี้ กลับทำให้หลิงม่อรู้สึกประหลาดใจปนดีใจมาก หลังจากที่เธอเข้าสู่โหมดซอมบี้เต็มตัว นางพญางูตัวนี้ก็มีอะไรเปลี่ยนไปมากจริงๆ…

“บางที รุ่นพี่ที่อยู่ในสภาวะนี้ อาจเป็นตอนที่เธอรู้สึกเป็นตัวของตัวเองและรู้สึกถูกเติมเต็มที่สุดก็ได้…ปกติเพื่อที่จะอยู่กับมนุษย์ เราเลยให้พวกเธอข่มกลั้นตัวเองเอาไว้ตลอด…ดังนั้นความแตกต่างอย่างนี้ จะใช่ผลข้างเคียงอย่างหนึ่งไหมนะ…”

หลิงม่อกำลังครุ่นคิด แต่อยู่ๆ ก็ได้ยินหลี่ย่าหลินถามขึ้นพร้อมกับจ้องหน้าว่า “หลิงม่อ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

“เอ่อ…”

“นายหายใจแรงมาก” หลี่ย่าหลินพูดขึ้นอีกครั้ง

“คือ…” หลิงม่อครุ่นคิด แล้วตอบว่า “ข้างนอกเกิดเรื่องนิดหน่อย…”

“เรื่องใหญ่หรอ?” หลี่ย่าหลินเอียงคอถาม ทว่าดูจากสีหน้าของเธอ เดาว่าเธอคงอยากถามว่า “สนุกไหม” มากกว่า…

หลิงม่อส่ายหน้า หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็มองหลี่ย่าหลินแล้วถามว่า “รุ่นพี่ ปกติพี่รู้สึกกดดันบ้างไหม? ผมหมายถึง…การอยู่กับมนุษย์ น่าจะเป็นเรื่องที่ลำบากสำหรับซอมบี้…ดังนั้นเมื่อไหร่ที่มีโอกาสปลีกตัวออกห่างมนุษย์ และได้ต่อสู้กับพวกเดียวกัน พี่คงรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขมากใช่ไหม?”

“อืมม…” หลี่ย่าหลินตั้งใจคิดอย่างจริงจัง แล้วอยู่ๆ ก็หัวเราะขึ้น “ความจริงนายพูดผิดแล้วล่ะ”

“หา?”

“ถ้าหากไม่มีนาย การอยู่กับมนุษย์คนอื่นต้องเป็นเรื่องที่ลำบากมากอยู่แล้ว…”

“เอ่อ…อยู่ๆ ก็มาพูดอย่างนี้ในเวลาแบบนี้ กะทันหันไปหน่อยนะ…” หลิงม่อเกาหัว รุ่นพี่นี่ช่างใจกล้าอย่างที่คิดจริงๆ…

“ถึงแม้พวกเราจะเป็นสามีภรรยากันมานานแล้ว แต่ความจริง ผมก็ยังไม่เคยพูดเป็นเรื่องเป็นราว…”

หลิงม่อเพิ่งจะพูดได้ครึ่งเดียว ก็ถูกหลี่ย่าหลินพูดแทรกขึ้นมาก่อน “แต่พอมีนายอยู่ เนื้อของคนอื่นก็ดูไม่น่าดึงดูดเลยซักนิด ส่วนกดดันน่ะหรอ…เห็นอยู่ตรงหน้าแต่กลับกินไม่ได้ ก็ต้องกดดันอยู่แล้วสิ แต่นานๆ ทีได้เลียตรงนั้นตรงนี้หน่อย ก็ดีขึ้นไม่น้อยเลยล่ะ…แล้วเรื่องมีความสุข…ฉันก็มีความสุขอยู่ตลอดนั้นแหละ บางครั้งแค่มองดูนายแล้วแอบกลืนน้ำลาย ฉันก็ตื่นเต้นมากแล้ว! แต่ไม่ต้องกลัว ฉันไม่กินนายหรอก อิอิ…”

“…ฮะ…ฮะฮะ” หลิงม่อมือไม้อ่อน จนเกือบจะตกลงไปข้างล่างเลยทีเดียว

ความจริงอันโหดร้ายนี้ ช่างน่าเศร้าจนอยากร้องไห้จริงๆ…

“พวกเด็กโง่ล่ะ?” หลิงม่อพยายามถามอีกครั้ง

คราวนี้หลี่ย่าหลินกลับส่ายหน้าตรงๆ โดยไม่คิดเลยด้วยซ้ำ “แน่นอนว่าต้องไม่เหมือนฉันอยู่แล้ว! แต่เรื่องกดดันอะไรพวกนั้น…ไม่มีอยู่แล้ว อืมม…นายดูสิ ครั้งนี้พอฉันเจอมนุษย์ ฉันก็ไม่ได้ลงมือทันทีเลยนี่ ตอนแรกการทำอะไรอย่างนี้เป็นเรื่องยากมาก แต่พอชินมันก็ดีขึ้นเยอะเลยล่ะ อ๊ะ ใช่สิ วิธีนี้ซย่าน่าเป็นคนสอนฉันนี่นา นายอยากรู้ด้วยไหมล่ะ?”

“มันคืออะไร?” หลิงม่อพลันสังหรณ์ใจขึ้นมาทันที

“ทุกครั้งที่เห็นมนุษย์ ให้คิดว่าพวกเขาเป็นกางเกงขาสั้นตัวหนึ่ง เท่านี้ก็จะไม่มีความอยากอาหารแล้ว…” หลี่ย่าหลินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“ปกติเขาจะจินตนาการว่าเป็นผักกาดขาวหรือเปล่า…”

“ฉันไม่เคยเห็นผักกาดขาวตอนยังไม่โดนหั่นนี่นา!”

“ไม่เคยเลย…ก็ฉันทำกับข้าวไม่เป็น”

“พรหมลิขิตชัดๆ! เหมือนผมเป๊ะ!”

“จริงหรอ? ฮิฮิ ไหนฉํนลองคิดซิ…ใช่แล้ว ฉันเรียกใช้บริการส่งอาหารตลอดเลย”

“ส่วนผมเรียกใช้เย่เลี่ยน…”

“ดูเหมือนจะเป็นพรหมลิขิตอยู่เหมือนกันนะ!”

…………

“เคร้ง!”

ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน ทันใดนั้น เสียงอะไรบางอย่างก็ดังลงมาจากรูที่อยู่ข้างบน ถึงแม้เสียงไม่ดัง แต่มันกลับชัดเจนมากเมื่ออยู่ในช่องลิฟท์แห่งนี้ หลิงม่อกับหลี่ย่าหลินมองตากัน จากนั้นก็รีบปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

ตำแหน่งที่เสียงดังมา เป็นรูที่ซย่าน่าอาจจะปีนเข้าไปพอดี!

…………

“จะให้ฉันบอกตอนนี้เลยไหม?” ในซอยเล็กๆ เส้นหนึ่ง ถังฮ่าวที่ถูกหิ้วปีกเปิดปากถามขึ้นอย่างอดไม่ได้

ไหลของเขาถูกบีบจนแทบจะไร้ความรู้สึกแล้ว แต่หลิงม่อกลับยังคงไม่มีท่าทีจะถามอะไร เด็กหนุ่มคนนี้ยังคงเอาแต้เงยหน้ามองไปข้างหน้า เดินไปพลาง ยกมือบีบหว่างคิ้วไปพลาง…

“ดวงตาคู่นั้นคงไม่ได้เปล่งประกายลึกล้ำขึ้นมาเพราะเอาแต่นวดอยู่อย่างนั้นหรอกมั้ง” ถังฮ่าวค่อนแคะในใจ จากนั้นก็เผยสีหน้าสงสัยอีกครั้ง “น่าแปลก ทำไมบางครั้งก็รู้สึกเหมือนหมอนี่มักจิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอยอยู่บ่อยๆ? ไม่สิ ไม่ใช่อย่างนั้น สมาธิเขาไม่จดจ่อเท่าเวลาปกติมากกว่า…”

“ใจลอย! ใช่แล้ว เขาใจลอยแน่ๆ!”

—————————————————————————–