ตอนที่ 151.3 บทลงโทษของหย่งจยา (3)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นหว่านชิ่นมองนางด้วยสายตาที่แน่นิ่ง 

 

 

ฮึ แสร้งทำเป็นนิ่ง คงจนมุมแล้วสิท่า! ถ้าไม่ใช่ก็คงเอาหลักฐานออกมาแล้ว! 

 

 

ถ้าไม่จัดการนางครั้งนี้ แล้วจะรอให้ถึงเมื่อไหร่เล่า 

 

 

ท่านหญิงหย่งจยาบิดมุมชายกระโปรงสองข้าง จากนั้นลุกขึ้นยืนและยิ้มอย่างผู้ชนะ “พระชายาปฏิบัติภารกิจอันสำคัญ ชื่อเสียงคงจะเลื่องลือจนไร้ขีดจำกัด แต่กลับทำพลาดได้ถึงเพียงนี้ คิดจะโยนความผิดให้กับผู้อื่นเพื่อทวงชื่อเสียงของตนกลับมา หย่งจยาไม่แปลกใจเจ้าค่ะ แต่ข้าเสียดาย ที่ท่านพี่สามรับคนอย่างเจ้าไว้ เจ้าใส่ร้ายข้าไม่เป็นไร แต่เจ้าทำให้การพาณิชย์ของทั้งสองราชอาณาจักรล่าช้า ทำให้ต้าเซวียนต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าแขกบ้านแขกเรือน ความผิดนี้มิอาจให้อภัย โชคดีแค่ไหนที่พบก่อนส่งออกไป หากพบในวันที่ท่านทูตกลับไปแล้ว ก็คงคิดว่าราชสำนักนี้ไม่ให้ความสำคัญกับพวกเขาเป็นอย่างมากแน่ๆ” 

 

 

“ท่านหญิง!” เยี่ยนอ๋องตะโกนออกไปด้วยความอดทนต่อไปไม่ไหว 

 

 

พูดต่อสิ ให้นางพูด พูดให้พอ ตอนนี้คงคิดว่าเก่งนัก เดี๋ยวนางก็จะรู้เองว่าตบหน้าตัวเองนั้นเจ็บแค่ไหน 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มอย่างแผ่วเบาและกล่าวว่า “ท่านหญิง การพูดเสียงดังไม่ได้แปลว่ามีเหตุผลนะเจ้าคะ ท่านหญิงพูดอยู่ครึ่งค่อนวัน ทั้งร้องไห้ทั้งโวยวาย คงจะคอแห้งไม่น้อย นั่งลงดื่มน้ำก่อนสิเจ้าคะ ยังไงก็ต้องรออยู่ดี คงต้องใช้เวลาอีกสักครู่เลยเจ้าค่ะ” 

 

 

รออะไร ท่านหญิงหย่งจยาอึ้ง ดวงตาอันงดงามคู่นั้นมองหญิงสาวตรงหน้าที่เดาอะไรจากนางไม่ได้เลย จากนั้นร่างกายก็รู้สึกขนลุกซู่ “หมายความว่าอย่างไร แล้วรออะไร” 

 

 

ดวงตาของอวิ๋นหว่านชิ่นเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดราวกับเปลวไฟ “ท่านหญิงเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่าจับโจรและคนชั่วร้ายต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง นี่ก็กำลังนำหลักฐานมาให้ท่านหญิงทีละอย่างอยู่นี่ไงเจ้าคะ” 

 

 

ทันทีที่เสียงเงียบลง เสียงย่ำเท้าด้านนอกก็ดังขึ้น องครักษ์สองนายคุมตัวขันทีน้อยไร้หนวด ปากแหลมแก้มแดงเหมือนลิงเข้ามา 

 

 

ขันทีน้อยมองบรรยากาศภายในท้องพระโรง จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองเบื้องบน เหงื่อเม็ดใหญ่เริ่มไหลลงจากหน้าผาก ขันทีคุกเข้าลงที่พื้นฟุบ “ถวายบังคมฝ่าบาท…” 

 

 

หย่งจยาตระหนกตกใจมากเมื่อเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นและเจ้าหน้าที่ทูตนำตัวขันทีน้อยคนนี้เข้ามา แต่นางต้องกลั้นหายใจเอาไว้ก่อน ขอแค่ขันทีคนนี้ไม่ยอมรับแล้วจะทำอะไรนางได้ ต่อหน้าทูตและต่อหน้านางเช่นนี้ คิดจะใช้วิธีทรมานเพื่อให้ยอมรับผิดอย่างนั้นรึ 

 

 

“ขันทีท่านนี้ ท่านหญิงรู้จักหรือไม่” อวิ๋นหว่านชิ่นยักคิ้วถาม 

 

 

ท่านหญิงหย่งจยาพยายามตอบกลับด้วยน้ำสิ่งที่นิ่งที่สุด “ขันทีท่านนี้ชื่อไหลวั่ง เป็นผู้จัดซื้อของให้กับตำหนักหลวนอี๋” 

 

 

เยี่ยนอ๋องลุกขึ้นหันหน้าเข้าหาหนิงซีฮ่องเต้และประสานมือยกขึ้นระดับอก “ทูลฝ่าบาท หลี่ฝานย่วนตรวจสอบพบว่า คืนแรมสิบเอ็ดเดือนนี้ เป็นวันที่สองหลังจากที่เฉี่ยวเย่ว์ไปซื้อไข่แมลงที่ตลาด ไหลวั่งถือโอกาสวันที่ไปซื้อของออกจากวังไป แล้วมีคนเห็นว่าเขาไปถนนไป๋หนิงพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ที่พักของทูตต้าสือตั้งอยู่บนถนนไป๋หนิง 

 

 

หนิงซีฮ่องเต้ทนความกริ้วต่อไปไม่ไหว ฝ่ามืออันใหญ่ตบลงที่วางมือและทรงตรัสขึ้นว่า “ทำเช่นนี้ได้อย่างไร! ยังไม่ยอมรับอีก!” 

 

 

ไหลวั่งตกใจสะดุ้ง แต่ยังจำคำพูดของเฉี่ยวเย่ว์ได้ไม่ลืม แม้จะกลัวเพียงใดก็ห้ามปริปากพูดออกไปเด็ดขาด ถ้าไม่เช่นนั้นคงแย่แน่ เขาตอบกลับด้วยความตกใจและไม่ยอมรับว่า “ข้า ข้าน้อยเคยไปถนนไป๋หนิงก็จริง แต่——เรื่องปล่อยไข่แมลงหม่อมฉันไม่ได้เป็นคนทำพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

“เสด็จลุง!” ท่านหญิงหย่งจยาคุกเข่าลงอีกครั้งพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินลงมา “แม้ว่าไหลวั่งเคยไปถนนไป๋หนิง แล้วมีใครเคยเห็นเขาเข้าไปยังที่พักของท่านทูตหรือไม่ หรือแม้จะเคยเข้าไป แล้วใครกันที่จะยืนยันได้ว่าเขาเคยแตะต้องลังสินค้าเหล่านั้น นี่มันใส่ร้ายกันนะเพคะ! จะโยนความผิดให้หย่งจยา เพียงเพราะขันทีเคยเข้าไปยังสถานที่ที่เกิดเหตุและการคาดเดาต่างๆ นานาเหล่านี้ไม่ได้นะเพคะ! ตัวหม่อมฉันไม่เท่าไหร่ แต่ท่านพ่อผู้ล่วงลับของหม่อมฉัน และพี่ชายหม่อมฉันที่ปกป้องเขตชายแดนอยู่ พวกเขาจะรู้สึกเจ็บปวดแทนหม่อมฉันนะเพคะ!” 

 

 

ฝ่าบาททรงรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลานสาวแน่ แต่ไม่ได้มีผู้ใดพบเห็นไหลวั่งเข้าไปยังที่พักและปล่อยหนอนในลังสินค้ากับตา ยิ่งได้ฟังหลานสาวเอ่ยถึงหลี่หยางอ๋องกับซื่อจื่อแล้ว ฝ่าบาทก็ยิ่งไม่รู้จะพูดอย่างไร จึงทำได้เพียงส่งสายตาให้กับพระชายาฉินและองค์ชายแปดเยี่ยนอ๋อง 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมองออกไปด้านนอก ฟังเสียงย่ำเท้าที่อยู่ไม่ใกล้และไม่ไกลจากพระที่นั่ง ประสาทสัมผัสที่ว่องไว ทำให้นางสัมผัสได้ถึงความพิเศษที่กำลังจะมาถึง ปากของนางขยับเล็กน้อย 

 

 

เพียงครู่เดียวเสียงประกาศดังขึ้น “กงมอมอ ฝ่ายซักเสื้อผ้า!” 

 

 

สายตาทุกคู่มองไปด้านนอกพร้อมกัน เป็นนางกำนัลมอมอร่างผอมบาง ใส่ชุดสีเขียว ที่มือมีเสื้อผ้าพาดอยู่หนึ่งตัว กำลังเดินก้มหน้าเข้ามา 

 

 

ฝ่ายซักเสื้อผ้า? เรียกคนจากฝ่ายซักเสื้อผ้ามาด้วยเหตุใดอีก 

 

 

กงมอมอคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์พร้อมทั้งแสดงความเคารพ จากนั้นนางกล่าวว่า “หม่อมฉันแซ่กง รับใช้อยู่ที่ฝ่ายซักเสื้อผ้า รับหน้าที่ซักตากเสื้อผ้านางกำนัลของตำหนักองค์หญิงเพคะ” 

 

 

ทันทีที่นางกล่าวเสร็จ ไหลวั่งตระหนกตกใจและเหมือนจะเข้าใจบางอย่างแล้ว สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซีดขาวในทันใด แม้ว่าท่านหญิงหย่งจยายังไม่เข้าใจว่าคืออะไร แต่พอเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของไหลวั่ง นางรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาด้วยทันที 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าวด้วยความอ่อนโยนว่า “กงมอมอ ช่วยเล่าสิ่งที่เจ้าพบเจอในวันนั้นให้ฝ่าบาทฟังเถิด” 

 

 

กงมอมออ้ำอึ้ง “เช้าวันแรมสิบสองของเดือนนี้ คนรับใช้ในตำหนักองค์หญิงนำเสื้อผ้าของคนรับใช้มาส่งตามปกติ หม่อมฉันเห็นเสื้อผ้าของไหลวั่งกงกงจากตำหนักหลวนอี๋มีรอยเปื้อนตรงปลายแขนเสื้อ รู้สึกว่าจะเป็นรอยเปื้อนสีจาง ติดอยู่ตรงนั้น ซักอย่างไรก็ซักไม่สะอาด แถมยังส่งกลิ่นเหม็นฉุน หม่อมฉันกลัวว่ามันจะทำให้เสื้อตัวอื่นสกปรกไปด้วย ก็เลยวางมันไว้อีกที่หนึ่ง เป็นเสื้อตัวนี้เพคะ” 

 

 

นางพูดพร้อมกับยื่นมือทั้งสองข้างออกไป 

 

 

เจ้าหน้าที่หลี่ฝานย่วนท่านหนึ่งเดินมาหยิบเสื้อและสะบัดเสื้อออก จากนั้นชูแขนเสื้อข้างขวาขึ้นมาให้ทุกคนเห็น 

 

 

ภายใต้แสงที่สาดส่องมายังภายในท้องพระโรง ทำให้เห็นชัดว่าตรงแขนเสื้อ มีคราบสีเหลืองอ่อนเป็นวงกลมติดอยู่ตามนั้นจริง 

 

 

หนิงซีฮ่องเต้หยิบขึ้นมาดู ยังไม่ทันดมก็ได้กลิ่นเหม็นแล้ว จากนั้นทรงเข้าใจเรื่องทั้งหมดทันที 

 

 

มันเป็นกลิ่นเดียวกันกับน้ำมันกันความชื้น กันหนอนที่ทาบนสินค้า! 

 

 

ฝ่าบาทสะบัดเสื้อลงที่ลานบัลลังก์อย่างรุนแรง “ไอ้พวกขี้ข้า! ถ้าไม่เคยเข้าที่พัก ไม่เคยเข้าใกล้สินค้า แล้วมีน้ำมันตัวเดียวกันกับลังไม้ติดมากับเจ้าได้อย่างไร” 

 

 

ไหลวั่งคิดไม่ถึงว่าบนลังไม้จะถูกทาด้วยน้ำมัน เพราะมันมีสีจาง จึงไม่ได้สนใจคราบที่ติดอยู่ตรงแขนเสื้อ อีกทั้งยังไม่คิดว่าน้ำมันนี่จะติดแน่นถึงเพียงนี้ ไม่เพียงแต่ล้างไม่ออก แถมยังส่งกลิ่นออกมาจนเหมือนกับหักหลังตัวเอง เขาไม่รู้จะโต้แย้งอย่างไรอีก จึงคลานไปยังบัลลังก์ด้วยความกลัวจนฉี่ราดและก้มศีรษะติดพื้น “โปรดให้อภัยกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท โปรดให้อภัยกระหม่อมด้วย นางเฉี่ยวเย่ว์เป็นคนสั่งให้กระหม่อมแทรกตัวไปยังที่พัก และสั่งให้นำไข่แมลงใส่เข้าไปในเครื่องหอมที่จะส่งออกพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

ใบหน้าอันขาวดั่งหิมะของท่านหญิงหย่งจยากลายเป็นใบหน้าสิ้นเลือดทันที นางมึนงงไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนอย่างกะทันหันอีกครั้ง นางเดินไปหาเฉี่ยวเย่ว์อย่างรวดเร็ว เพียะเพียะ ตบหน้าไปสองที หน้าของคนโดนตบนั้นส่ายไปส่ายมาจนเวียนหัว “นังคนชั่ว! เจ้าทำแบบนี้ทำไม!” 

 

 

เรื่องหาแพะรับบาปล่ะเร็วเชียว แต่ก็เด็ดขาดเหมือนกัน ได้ข่าวว่าเฉี่ยวเย่ว์เป็นสาวใช้ที่เกิดในจวนอ๋อง รับใช้ท่านหญิงตั้งแต่ยังแบเบาะ ทั้งสองคนเข้าวังพร้อมกัน วันนี้กลับกลายเป็นหมากรุกที่ไร้ประโยชน์ บทจะทิ้งก็ทิ้งทันที อวิ๋นหว่านชิ่นขำ “ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเฉี่ยวเย่ว์เป็นสาวใช้ที่ท่านหญิงรัก สิ่งที่เฉี่ยวเย่ว์ทำ ท่านหญิงกล้าพูดหรือว่าไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย” 

 

 

“ฝ่าบาท” พอเรื่องดำเนินมาถึงตรงนี้ทุกอย่างก็กระจ่างแจ้งทั้งหมด สีหน้าของท่านทูตเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง “ไม่ว่าท่านหญิงของอาณาจักรนี้จะเป็นเด็กไร้เดียงสา ขี้เล่นซุกซน หรือมีเจตนาต่ออาณาจักรของข้าน้อยได้โปรดฝ่าบาทช่วยให้คำอธิบายแก่ข้าน้อยด้วย เหมือนดั่งที่ท่านหญิงกล่าวเองว่า โชคดีที่พบเจอในเขตต้าเซวียน หากพบเจอตอนกลับถึงต้าสือแล้ว ท่านประมุขของข้าน้อยจะต้องสงสัยในความสามารถการทำงานของข้าน้อยเป็นแน่ และยังไม่มีผลดีต่อสองอาณาจักร สร้างความเสียหายต่อมิตรภาพของเราสองพ่ะย่ะค่ะ! หากใช้คำพูดของท่านหญิงมาพูดต่ออีกที เรื่องนี้ให้อภัยไม่ได้! ข้าน้อยจะต้องดำเนินการให้ถึงที่สุด!”