บทที่ 357 : ล้างบางเมืองจิงฉู (6) – เทพแห่งปีศาจ

ถังเมิ่งไม่อยากกลับไป แต่หลิงหยุนกลับขยิบตาให้พร้อมกับบอกเขาว่า “นายไม่กลัวโดนพิษอย่างเหยาลู่หรือยังไง? ถ้านายโดนพิษหนอนกู่เข้า ฉันจะบอกกับแม่ของนายว่ายังไง?”

ถังเมิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะคิดได้ว่าตนเองไม่ควรอยู่ที่นี่ เพราะอาจได้รับพิษจากหนอนกู่นั่นได้ และถึงตอนนั้นเขาก็ต้องกลายเป็นภาระของหลิงหยุนอีก เมื่อไม่สามารถโต้แย้งได้ ถังเมิ่งจึงได้แต่พยักหน้าเงียบๆ

หลิงหยุนและยอดฝีมืออีกสองคนพากันลงจากรถ และเมื่อถังเมิ่งขับรถกลับไปแล้ว หลิงหยุนได้ส่งกระแสจิตบอกกับเจ้าขาวปุยว่า

“ขาวปุย.. หลังจากที่พวกเราเข้าไปข้างในแล้ว เจ้าจัดการใช้วิชาพรางตาปิดประตูหน้าต่างไว้ อย่าให้มีใครหนีออกมาได้แม้แต่คนเดียว!”

เมื่อเจ้าขาวปุ่ยพยักหน้าเข้าใจในคำสั่ง หลิงหยุนก็โบกมือส่งสัญญาณให้ตู้กู่โม่กับเหล่ากุยตามเขามา ทั้งหมดเดินตรงเข้าไปยังร้านของคนเซียงซีที่ตอนนี้ปิดประตูไว้

เหล่ากุ่ยใช้ผ้าปิดบังใบหน้าไว้ เขาไม่ต้องการเปิดเผยตัวต่อหน้าคนอื่น..

ปัง!!

หลิงหยุนจัดการถีบประตูร้านเสื้อผ้าของคนเซียงซี แล้วเดินเข้าไปด้านในทันที เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ต่างก็วิ่งตามเข้าไป

เจ้าขาวปุยรีบใช้วิชาพรางตา และจากนี้ไปคนที่อยู่ด้านในจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านนอกได้อีก

ร้านเสื้อผ้าของคนเซียงซีในตอนนี้ใหญ่กว่าคลีนิคของหลิงหยุนมาก ชั้นสองตกแต่งไว้เป็นที่อยู่อาศัย และแน่นอนว่ากลุ่มคนที่เข้าไปบุกทำลายคลีนิคของหลิงหยุนนั้น ตอนนี้ก็อยู่ที่ชั้นสองกันหมดทุกคน

“พวกเจ้ายังจะมุดหัวอยู่ในรูอีกหรือไง.. ข้ามาจัดการกับพวกเจ้าแล้ว ออกมาแล้วก็เตรียมตัวตายได้แล้ว.. เร็วเข้า!”

หลิงหยุนตรงเดินเข้าไปยืนอยู่กลางร้านที่ชั้นล่าง และเมื่อไม่พบใครอยู่ที่ชั้นล่างเลยแม้แต่คนเดียว เขาก็ใช้มังกรพรางร่างไปโผล่ที่ตีนบันได้!

เหล่ากุ่ยได้แต่จ้องมองพร้อมกับคิดในใจว่า นายน้อยของเขานั้นดูเหมือนจะมีกำลังภายในล้ำเลิศกว่าที่เขาคิดไว้ ดูแล้วน่าจะอยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-6!

หลิงหยุนที่ยืนอยู่ตีนบันไดเงยหน้าขึ้นไปทางชั้นสอง เขาพบชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปีกำลังจ้องมองมาด้านล่างเช่นกัน ชายวัยกลางคนผู้นั้นกำลังยืนแสยะยิ้มให้กับหลิงหยุนอย่างเย็นชา

หลิงหยุนเห็นชัดว่า หน้าผากของชายวัยกลางคนผู้นั้นเป็นสีเขียวเข้ม และกำลังเดินลงบันไดมาทีละขั้น

หลิงหยุนจึงร้องออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าเป็นเจ้าของคลีนิคฝั่งตรงข้ามที่แกพาคนเข้าไปบุกทำลาย!”

ชายวัยกลางคนนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับมาว่า “ที่แท้ก็เป็นเจ้าเด็กที่ฆ่าหนอนกู่ของข้านี่เอง คิดไม่ถึงว่าข้าไม่ต้องเสียเวลาไปหาเจ้า แต่เจ้ากลับมาหาข้าที่นี่ซะเอง.. ช่างรนหาที่แท้ๆ!”

หลิงหยุนไม่ตอบแต่ถามต่อว่า “เจ้าต้องการพังคลีนิคของข้า.. แต่ทำไมต้องทำร้ายเด็กสาวบริสุทธิ์ด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมแบบนั้น ใหนจะคนงานอีก พวกเขาไปขัดขวางอะไรเจ้า เจ้าถึงต้องทำร้ายพวกเขาแบบนั้น?”

ชายวัยกลางคนทำท่าทางราวกับกำลังฟังเรื่องตลก แล้วตอบหลิงหยุนไปว่า “คนอ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของคนที่แข็งแรงกว่า! ใครให้พวกมันอยู่ที่นั่นขวางทางข้า!”

“พูดได้ดี!”

หลิงหยุนไม่คิดที่จะพูดคุยกับคนพรรณนี้อีก เขาก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้น..

“คนอ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของคนที่แข็งแรงกว่างั้นรึ? ถ้างั้น.. แกก็เตรียมตัวตายด้วยฝีมือของข้าได้แล้ว!”

พูดจบ.. หลิงหยุนก็ใช้หมัดปีศาจเถียนกังชกใส่ชายวัยกลางคน แต่เขาเพียงแค่ยิ้มและยืนนิ่งไม่หลบหมัดของหลิงหยุนที่พุ่งเข้ามา แต่กลับกางฝ่ามือสีเขียวดำของตนเองขึ้นรับหมัดของหลิงหยุนแทน

 “หลิงหยุนระวัง!”

เหล่ากุ่ยที่มองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนนั้น เขารู้ดีว่ากำลังภายในของชายวัยกลางคนผู้นี้อยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-8 และสามารถเอาชนะหลิงหยุนได้อย่างสบาย แต่การที่หลิงหยุนใจกล้าบุกเข้าไปจู่โจมแบบนั้น ไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรือยังไง?

เหล่ากุ่ยคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะพุ่งเข้าไปด้วยความรวดเร็วแบบนั้น และตอนนี้ถึงเขาจะห้าม ทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว!

ปัง!!! เสียงหมัดของหลิงหยุนปะทะเข้ากับฝ่ามือของชายวัยกลางคนอย่างรุนแรง!

เหล่ากุ่ยหลับตาแน่นเพราะไม่ต้องการเห็นภาพสยดสยองของหลิงหยุน แต่ตู้กู่โม่กลับยืนมองการต่อสู้ที่ตื่นเต้นนั้น และกำลังรอดูความโชคร้ายของชายวัยกลางคนด้วยท่าทีสงบนิ่ง

อ๊าก!!

เสียงกรีดร้องของชายวัยกลางคนดังขึ้น และร่างของเขาก็ลอยละลิ่วออกไปไกลถึงสี่เมตรจากการปะทะกับพลังหมัดของหลิงหยุน ร่างของเขาลอยไปกระแทกเข้ากับกำแพงที่อยู่ด้านหลัง แล้วจึงหล่นลงบนพื้น!

“เจ้าคนอ่อนแอ! เอาล่ะ.. ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่าใครที่เป็นคนอ่อนแอ และใครที่เป็นคนแข็งแรง?!”

พูดจบหลิงหยุนก็ใช้มังกรพรางร่างไปโผล่ตรงหน้าของชายวัยกลางคน และชกเข้าที่หน้าอกของเขาอย่างแรงอีกหนึ่งหมัด!

พลังหยินในร่างกายของหลิงหยุนพุ่งจากจุดตันเถียน ผ่านขึ้นมาทางเส้นลมปราณเยิ่น และทะลักเข้าสู่หมัดขวาของเขา ทำให้หมัดปีศาจเถียนกังของหลิงหยุนยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น!

อ๊าก!

เลือดสีแดงสดพุ่งออกจากปากของชายวัยกลางคน และตอนนี้เขาก็เริ่มหวาดกลัวอย่างมาก!

หลิงหยุนกระโดดถอยหลังเพื่อหลบเลือดที่พุ่งออกมาจากปากของชายวัยกลางคน และยืนมองร่างของมันที่นอนนิ่งอยู่ข้างกำแพง สภาพไม่ต่างจากสุนัขที่ตายแล้วตัวหนึ่ง หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดต่อว่า

“การถูกคนอื่นรังแกไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเลยใช่ไม๊ล่ะ?”

“นี่มันอะไรกัน..?!”

เหล่ากุ่ยคิดว่าหลิงหยุนคงจะอยู่ในสภาพที่น่าสยดสยองไปแล้ว แต่เมื่อลืมตาขึ้น เขากลับพบว่าหลิงหยุนยังปลอดภัยดี เพียงแค่สองหมัด.. หลิงหยุนก็สามารถทำให้คู่ต่อสู้ที่อยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-8 ได้รับบาดเจ็บสาหัส..

เหล่ากุ่ยจึงได้แต่ยืนตะลึงด้วยความงุนงง!

‘หลิงหยุนใช้มือเปล่า และเพียงแค่โจมตีคู่ต่อสู้แค่สองหมัด ก็สามารถทำให้ยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8 ถึงกับบาดเจ็บสาหัส นี่หมายความว่ายังไงกัน?!’ เหล่ากุ่ยทั้งตกใจและประหลาดใจจนไม่อาจบรรยายออกมาได้..

‘นับว่าสวรรค์เมตตา! คุณชายสาม – หลิงเสี่ยว ก็เข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-3ได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ แต่ข้า..เหล่ากุ่ยกลับนึกไม่ถึงว่าหลิงหยุนที่อายุเพียงแค่สิบแปด จะสามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-9ได้เช่นกัน!?’

แน่นอนว่า.. ข้อมูลเหล่านี้หลิงห่าวเองก็ไม่รู้..

หลังจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในจุดตันเถียนของหลิงหยุน แม้แต่เหล่ากุ่ยเองก็ไม่สามารถมองออกว่ากำลังภายในของหลิงหยุนอยู่ในระดับใหนกันแน่ เขาทำได้เพียงแค่วิเคราะห์จากศักยภาพที่หลิงหยุนได้แสดงออกมาระหว่างการต่อสู้เท่านั้น!

ตัวเขาเองไม่สามารถมองออก ทำให้เหล่ากุ่ยอดคิดไม่ได้ว่า.. เป็นไปได้หรือไม่ว่ากำลังภายในของหลิงหยุนนั้นสูงกว่าของเขา? เป็นไปได้หรือไม่ว่าหลิงหยุนจะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนแล้ว?!

เหล่ากุ่ยอดคิดไม่ได้ว่า หากเขาส่งข่าวเรื่องนี้ไปให้นายผู้เฒ่าหลิงและคุณชายสามแล้วล่ะก็ ทั้งคู่จะตื่นเต้นดีใจกันสักเพียงใด?!

แม้แต่เหล่ากุ่ยเอง.. ตอนนี้ก็ตื่นเต้นดีใจอย่างมาก เขาได้แต่คิดว่าตระกูลหลิงมีผู้สืบทอดแล้ว!

ที่ผ่านมานั้น.. คนในตระกูลหลิงล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีพรสวรรค์ในด้านการฝึกวิทยายุทธ! เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมเลยก็ว่าได้ และเรื่องนี้ก็เป็นที่จดจำของเหล่านิกายลับและตระกูลเก่าแก่

อีกทั้งแต่ละคนก็ล้วนสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนกันได้ตั้งแต่อายุเพียงแค่ยี่สิบ ไม่มีใครสักคนในตระกูลที่จะไม่สนใจกับการฝึกวิทยายุทธ

ในช่วงที่ตระกูลหลิงเฟื่องฟูอย่างที่สุดนั้น หัวหน้าตระกูลหลิง – หลิงลี่ ยังอยู่ในขั้นเซียงเทียน-4 หลิงเสี่ยวเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-3 ได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ และหลิงเจิ้นเองก็อยู่ในขั้นเซียงเทียน ในขณะที่หลิงเย่วก็อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9!

หลังจากเหตุการณ์เจ็บปวดเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว ตระกูลหลิงก็ค่อยๆตกต่ำลง ไม่เพียงแค่ตระกูลหลิงไม่ได้รับการสนับสนุนจากนิกายลับและตระกูลเก่าแก่ กำลังภายในของหลิงลี่เองก็ตกลงไปสู่ขั้นเซียงเทียน-1 ส่วนหลิงเสี่ยวเองก็ต้องทำลายวรยุทธของตนเอง ถึงแม้จะกลับมาเริ่มฝึกฝนใหม่ แต่จุดตันเถียนและเส้นลมปราณต่างๆ ก็ได้ถูกทำลายเสียหายไปมาก จนกระทั่งตอนนี้ เขายังคงอยู่เพียงแค่ขั้นโฮ่วเทียน-5 และการจะก้าวข้ามขึ้นไปแต่ละขั้นก็ช่างลำบากยากเย็น!

แต่ตอนนี้.. ดูเหมือนตระกูลหลิงน่าจะได้ยอดฝีมือที่อยู่ในขั้นเซียงเทียน-2อีกคน เช่นเดียวกับผู้นำตระกูลหลิงคนปัจจุบัน – หลิงเจิ้น!

หลิงหยุนซึ่งเป็นลูกนอกสมรสของตระกูลหลิง ได้ทำให้เหล่ากุ่ยตกใจอย่างมากเมื่อได้เห็นภาพการต่อสู้ที่เกิดขึ้นตรงหน้า เพราะมันแสดงให้เห็นถึงกำลังภายในที่แข็งแกร่ง!

คนเซียงซีที่อยู่ชั้นสองต่างก็วิ่งกรูออกมาพร้อมกัน แต่กลับพบว่าหลิงหยุนได้จัดการชายวัยกลางคนจนลงไปกองอยู่กับพื้นอย่างง่ายดาย!

“เจ้า.. เหตุใดเจ้าจึงไม่ถูกพิษ?” ชายวัยกลางคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสชี้ไปทางหลิงหยุน สีหน้าของเขาดูตกใจ และร้องออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

สำหรับร่างกายของหลิงหยุนที่ฝึกดารกะดายันผ่านมาถึงสิบเอ็ดระดับย่อยแล้วนั้น แม้แต่ดักแด้ทองคำของเหมี่ยวเสี่ยวเหมา ก็ยังไม่สามารถทำอะไรเขาได้ จึงแทบไม่ต้องพูดถึงหนอนกู่กระจอกของชายวัยกลางคนผู้นี้

“ช่างน่าอัศจรรย์นัก!?”

“ก็เพราะข้าเป็นผู้ที่จะมาปราบหนอนกู่ของเจ้าไง!” หลิงหยุนยิ้มเยือกเย็นพร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปหาช้าๆ

หนอนกู่สามตัวทะยานออกมาจากฝ่ามือของชายวัยกลางคน พุ่งตรงเข้าใส่หน้าของหลิงหยุน..

หลิงหยุนไม่รีบร้อน เขาเอื้อมมือคว้าหนอนกู่ทั้งสามตัวกลางอากาศ จากนั้นจึงโยนมันลงไปที่พื้น แล้วใช้เท้าบี้หนอนกู่จนตายทั้งสามตัว แล้วพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า

“ดูท่าคนอย่างเจ้าไม่เห็นโลงศพ คงจะไม่หลั่งน้ำตาสินะ!”

ชายอีกคนที่มีใบหน้ายาวเหมือนม้าตะโกนสั่งคนอื่นๆ “พวกเรา.. ฆ่ามัน!”

“ใช่แล้วพวกเรา.. ฆ่ามัน!” คนเซียงซีคนอื่นๆ ต่างก็พากันส่งเสียงร้อง และวิ่งกรูเข้าใส่หลิงหยุนพร้อมกัน!

เห็นได้ชัดว่า.. หลังจากที่ชายชราได้พ่ายแพ้ให้กับหลิงหยุนเมื่อครั้งก่อน คงจะกลับไปเล่าความแข็งแกร่งของหลิงหยุนให้ชายวัยกลางคนผู้นี้ฟัง และได้เชิญเขาผู้นี้ซึ่งเป็นยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8 ให้มาจัดการกับหลิงหยุน

จากการประเมินครั้งนั้น พวกเขาคงคิดว่ายอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8นี้ จะสามารถเอาชนะหลิงหยุนได้อย่าง่ายดาย แต่ช่างโชคร้าย.. เพราะเมื่อหลิงหยุนกลับมาจากก้นหลุมยักษ์ ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มทวีขึ้นอีกหลายเท่า และยากที่หยั่งถึง!

หลิงหยุนร้องบอกตู้กู่โม่กับเหล่ากุ่ยว่า “ไม่ต้องรบกวนพวกท่านทั้งสองแล้ว ข้าคนเดียวก็จัดการกับพวกมันได้!”

ปัง.. ปัง.. ปัง..

หลิงหยุนจัดการชกคนที่วิ่งกรูเข้ามาหาเขาทีละคนจนกระเด็นออกไป บางคนกระดูกหัก บางคนกระอักเลือด และกำลังนอนดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด เรียกได้ว่าหลิงหยุนไม่คิดที่จะปราณีใครแม้แต่คนเดียว!

ในจำนวนคนทั้งหมดนั้น ชายหน้ายาวเป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สุด และหมัดของหลิงหยุนก็ได้ทำลายจุดตันเถียนของมันไปพร้อมกันด้วย

หลิงหยุนปัดมือเบาๆ และยกมือขึ้นชี้ไปที่ชายวัยกลางคน พร้อมกับพูดยิ้มๆ

“เจ้าเป็นคนพูดเองว่า.. คนอ่อนแอย่อมเป็นเป็นเหยื่อของคนที่แข็งแรงกว่า..  ตอนนี้เรามาคุยกันเรื่องที่จะกินเหยื่อยังไงกันได้หรือยัง?”

“ปีศาจ.. เจ้ามันปีศาจชัดๆ!” ชายวัยกลางคนยกมือขึ้นชี้หน้าหลิงหยุน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว!

สายตาของหลิงหยุนมีแต่ความเย็นชา หลิงหยุนบีบมือของชายวัยกลางคนจนเสียงดังกร๊อบ! มือของเขาแตกละเอียดและสาหัสยิ่งกว่าถูกหินทับเสียอีก!

ฝ่ามือของหลิงหยุนนั้นมีแรงบีบที่รุนแรง จนชายวัยกลางคนถึงกับร้องเสียงหลง!

อ๊าก!!

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อย่าเรียกข้าว่าปีศาจ.. แต่เจ้าควรจะเรียกข้าว่าเทพแห่งปีศาจ หรือไม่ก็ราชาแห่งปีศาจต่างหาก!”

เมื่อเห็นหลิงหยุนทั้งดุดันและมีอารมณ์ขัน เหล่ากุ่ยจึงได้แต่ตกใจและหันไปมองตู้กู่โม่ที่ไม่มีท่าทีประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย

นั่นเพราะตู้กู่โม่เคยชินกับภาพพวกนี้แล้ว เมื่อครั้งที่เจ้าขาวปุยได้รับบาดเจ็บจากโทคุงาวะ ทาเคซุกะ หลิงหยุนแสดงความโกรธเกรี้ยวมากกว่านี้เสียอีก..

“เอาล่ะ.. ตอนนี้บอกข้ามาว่าใครเป็นเจ้าของร้านนี้ ส่วนเรื่องที่เจ้าไปถล่มคลีนิคของข้า เรายังต้องคุยเรื่องชดใช้ค่าเสียหายกันต่อ..”