ตอนที่ 135 เก็บของดีไว้ในครอบครัว

โจวหมิ่นกล่าว “ภรรยา ไม่เลย ไม่ใช่เลย! ตอนนี้ผมไม่มีความอยากอาหารเลย ผมเหมาะกับการกินข้าวนิ่ม[1] แบบนี้ จริง ๆ นะภรรยา!”

“พรืด” พี่สาวใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ คนนั้นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

โจวหมิ่นที่โทรศัพท์อยู่ทางฝั่งนี้ก็รู้สึกพึงพอใจแล้ว หล่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นคุณก็กลับไปบอกพ่อกับแม่สักหน่อยเถอะค่ะ ฉันกับลูกจะรอคุณอยู่ทางนี้ ที่อยู่ของที่นี่ฉันทิ้งไว้ให้คุณแล้ว คุณมาตามที่บอกไว้ก็พอ”

“ตกลง ภรรยา คุณรอผมนะ คุณต้องดูแลตัวเองให้ดี ๆ นะรู้ไหม?” เย่หมิงเป่ยกำชับ

“ฉันแอบรู้สึกปวดหัวนิดหน่อย ฉันไม่คุยกับคุณแล้ว แค่นี้นะคะ” โจวหมิ่นกล่าว

“ภรรยา คุณอย่าเพิ่งรีบกลับไปนะ นั่งพักสักหน่อย รอให้อาการดีขึ้นแล้วค่อยกลับ ผมจะรีบไปหาให้เร็วที่สุดอย่างแน่นอน!” เย่หมิงเป่ยกล่าวร้อนรน

โจวหมิ่นที่อยู่ทางฝั่งนั้นวางสายไปในทันที จนทำให้เขาลนลาน

จ้าวเหวินเทาส่งของแล้ว หลังจากคิดบัญชีเสร็จจึงเดินออกมา แล้วก็เห็นเย่หมิงเป่ยกลับมาด้วยท่าทางหนักอกหนักใจ ทำให้เขาชะงักงันไป

“พี่สาม เป็นอะไรไป?” จ้าวเหวินเทาถาม พอนึกขึ้นได้ว่าเย่หมิงเป่ยเพิ่งโทรไปหาโจวหมิ่น จึงกล่าวว่า “เกิดเรื่องขึ้นกับพี่สะใภ้สามเหรอ?”

เย่หมิงเป่ยเองก็ไม่ปิดบัง เขาขับรถออกจากสถานีส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรไปพลาง พูดไปพลาง “พี่สะใภ้สามของนายท้องแล้ว”

“จริงเหรอครับ?” จ้าวเหวินเทาประหลาดใจ

“พรุ่งนี้ฉันจะนั่งรถไปหาหล่อน หลังจากนี้ก็คงต้องอยู่ที่นั่นเลย” เย่หมิงเป่ยกล่าว

แม้เขาจะรู้สึกว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะไปปักกิ่ง แต่ตอนนี้ภรรยาต้องการเขา ลูกของพวกเขาก็ต้องการเขา เขายังจะห่วงแต่เรื่องหน้าตาตัวเองอีกเหรอ?

ถ้าไม่ไปดูแลภรรยาตอนนี้ ภรรยาของเขาคนนั้นสู้ไปแต่งกับไม้ตะบองยังจะดีเสียกว่าแต่งกับเขา!

เขาเองก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน ที่จะทิ้งภรรยาผู้กำลังตั้งครรภ์อย่างไม่มีเหตุผลในเวลาที่หล่อนต้องการเขา

ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจเรื่องอื่นแล้ว เขาจะไปปักกิ่งในวันพรุ่งนี้ เขาไม่สบายใจเลยสักนิดที่จะปล่อยให้ภรรยาที่ตั้งครรภ์ให้ใช้ชีวิตอยู่ทางนั้นเพียงลำพัง

“พี่สาม ตอนนี้พี่ไม่ลังเล ไม่โลเลแล้วเหรอ?” จ้าวเหวินเทาเห็นท่าทางของเขาที่แทบอยากจะติดปีกบินไปหา จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เย่หมิงเป่ยพูดอย่างจนปัญญา “พี่สะใภ้สามของนายท้องแล้วดันเป็นลมอยู่บนถนนใหญ่ ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนใจดีพาไปส่งที่โรงพยาบาล ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง นายว่าฉันยังจะลังเล ยังโลเลอะไรอีกล่ะ?”

“อีกอย่างถ้าฉันไปทางนั้นแล้ว ก็ใช่ว่าฉันจะไม่มีมือไม่มีเท้า ถ้าพี่สะใภ้สามของนายอาการไม่น่าเป็นห่วงแล้ว ฉันเองก็จะไปหางานทำเหมือนกัน ไม่ไปเป็นตัวถ่วงให้พี่สะใภ้สามของนายหรอก” เขากล่าวต่อ

จ้าวเหวินเทาพยักหน้า กล่าวว่า “พี่สาม ในเมื่อพี่จะไปปักกิ่งแล้ว รถคันนี้จะทำยังไงล่ะ?”

เย่หมิงเป่ย “รถก็ยกให้นายขับไง หลังจากนี้นายต้องวิ่งรถเองแล้ว ระวังความปลอดภัยด้วยล่ะ”

จ้าวเหวินเทากล่าว “พี่สาม งั้นขายเปลี่ยนมือรถคันนี้ให้ผมก็แล้วกัน” พี่สามของภรรยาออกไปครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะกลับมาอีกครั้งเมื่อไร ดังนั้นซื้อมาเป็นของตัวเองจึงจะดีที่สุด

เขาไม่ได้เอาเปรียบพี่สามของภรรยา อีกอย่างก็คือการเดินทางไปปักกิ่งก็ต้องใช้เงินอีกไม่น้อย เอาเงินไปเยอะสักหน่อยก็ดี

เย่หมิงเป่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก็ได้ นายให้ฉันมาหกร้อยแล้วกัน”

เดินทางไปครั้งนี้ เขาคงไม่กลับมาทำงานนี้ร่วมกับน้องเขยอีกแล้ว ดังนั้นรถคันนี้ก็เปลี่ยนมือไปให้น้องเขยเลยก็แล้วกัน

ตอนที่ซื้อมาใหม่ ๆ พวกเขาใช้เงินไปเก้าร้อยกว่าหยวน ตอนนี้เพิ่งขับมาไม่ถึงครึ่งปีและเปลี่ยนมือให้จ้าวเหวินเทาในราคาหกร้อยหยวนก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว อีกอย่างเงินจำนวนนี้เขาก็รู้ดีว่าน้องเขยสามารถจ่ายไหว ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ก่อนหน้านี้ หลังจากซื้อรถคันนี้กลับมาก็ทำเงินหลายร้อยหยวนแล้ว

เป็นเพราะคุ้มค่า ดังนั้นจ้าวเหวินเทาจึงพูดอย่างชัดเจน “ได้ แต่พี่สาม ในบ้านไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้น พรุ่งนี้ตอนที่ผมไปส่งพี่ขึ้นรถ ผมจะไปเอาเงินมาให้นะ”

เย่หมิงเป่ยเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เดินทางไปทางนั้น เขาเองก็ต้องนำเงินไปให้มากสักหน่อย ตอนนี้เขาก็พอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่ในเมืองหลวงแห่งนั้นเป็นสถานที่แบบไหนกัน อย่างไรก็ไม่พอหรอก เอาเงินไปให้มากสักหน่อยดีกว่า ถ้ามีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องลำบากใจ

หลังจากจ้าวเหวินเทากลับมา เขาก็นำเรื่องนี้มาเล่าให้เย่ฉูฉู่ฟัง

เย่ฉูฉู่เองก็ดีใจแทนพี่สามและพี่สะใภ้สามของเธอ หลังจากนั้นจึงมองไปที่รถสามล้อติดเครื่องยนต์สำหรับขนของคันนี้ กล่าวว่า “เหวินเทา รถคันนี้คุณคุยกับพี่สามว่ายังไงเหรอคะ?”

“ผมบอกกับพี่สามแล้ว ว่าให้เขาเปลี่ยนมือมาเป็นของผม” จ้าวเหวินเทากล่าว “พี่สามไปปักกิ่ง หลังจากนี้ก็ไม่ได้ใช้แล้ว เปลี่ยนมือมาเป็นของตัวเองก็จะได้ขับอย่างสบายใจด้วย”

“เท่าไหร่คะ?” เย่ฉูฉู่เอ่ยถาม

“พี่สามบอกว่าหกร้อย” จ้าวเหวินเทาตอบ

เย่ฉูฉู่ส่ายหน้า “คุณเอาเงินไปให้พี่สามเจ็ดร้อยแล้วกันค่ะ รถคันนี้ถ้าขายหกร้อย คงเป็นการเอาเปรียบแล้ว”

“ได้สิ” จ้าวเหวินเทาก็ไม่ได้คัดค้าน ภรรยาพูดว่าเจ็ดร้อยก็เจ็ดร้อย

“พี่สามจะไปตอนไหนเหรอคะ?” เย่ฉูฉู่เอ่ยถาม

“พรุ่งนี้ผมจะขับรถพาพี่สามไปส่งขึ้นรถ” จ้าวเหวินเทาตอบ

เย่ฉูฉู่ชะงักไปครู่หนึ่ง “รีบขนาดนี้เลยเหรอ?”

“พี่สะใภ้สามท้องแล้วเกิดเป็นลม แถมยังถูกคนพาไปส่งโรงพยาบาลด้วย ไม่งั้นก็คงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อย่าว่าแต่พรุ่งนี้เลย ถ้าตอนนี้มีรถ พี่สามคงนั่งรถไปทันทีเลยแหละ” จ้าวเหวินเทากล่าว

เย่ฉูฉู่เองก็กลับห้องไปนับเงินอย่างไม่รอช้า เธอไม่ได้ยุ่งกับเงินสดที่จ้าวเหวินเทาได้กลับมาในวันนี้ เพราะเงินในสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารมีคืนให้พี่สามพอดี

จ้าวเหวินเทากล่าว “ต้องรวมเข้ากับสี่สิบหยวนด้วยนะ วันนี้ที่สถานีส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรชำระเงินของงวดที่แล้ว ของที่เอาไปส่งครั้งนี้ยังไม่จ่าย หลังจากแบ่งเฉลี่ยแล้วก็น่าจะสี่สิบ เอาไปคำนวณให้หมดเลย”

เย่ฉูฉู่พยักหน้า

ทางฝั่งเย่หมิงเป่ยหลังจากกลับมาที่บ้านก็เล่าเรื่องที่โจวหมิ่นตั้งครรภ์ให้ฟัง คุณพ่อเย่และคุณแม่เย่ย่อมมีความสุขเป็นอย่างมาก

เมื่อได้ยินว่าโจวหมิ่นเป็นลมหมดสติ คุณแม่เย่ก็ใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก

คุณพ่อเย่มองลูกชายพลางกล่าว “เจ้าสาม แกจะทำยังไง?”

“เป็นขนาดนี้แล้วยังจะทำยังไงได้อีก? ก็ต้องเก็บของรีบไปดูแลหมินหมิ่นอยู่แล้ว หล่อนยังต้องเรียนหนังสือ แถมยังต้องยุ่งกับการทำงานอีก ตอนนี้ก็ท้องแล้ว ครั้งนี้ก็มาเป็นลมอีก ฉันว่าคงเป็นเพราะเหนื่อย ข้างกายก็ไม่มีใครดูแล เจ้าสามรีบไปเก็บของเลย!” คุณแม่เย่กล่าว

เย่หมิงเป่ยย่อมไม่ลังเล เขากลับไปเก็บของที่ห้องแล้ว

คุณพ่อเย่พูดอย่างลังเล “เจ้าสามไปทางนั้นแล้ว จะใช้ชีวิตยังไง?”

“ใช้ชีวิตยังไงอะไรกัน โตเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองปวดฉี่และขาดอากาศหายใจตายหรอกมั้ง?” คุณแม่เย่เองก็พูดโดยไม่เก็บมาใส่ใจ “ไปแล้วก็ต้องเช่าบ้านอยู่ เอาเงินไปมากสักหน่อย รอให้มั่นคงก่อนค่อยว่ากัน ที่สำคัญคือต้องดูแลหมินหมิ่นให้ดี นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด!”

“เจ้าสามไปครั้งนี้เกรงว่าคงใช้เงินไม่น้อย คุณเองก็เอาเงินให้เจ้าสามสักหน่อย” คุณพ่อเย่กล่าว

คุณแม่เย่เองก็มีความคิดนี้แล้ว ดังนั้นจึงกลับไปหยิบเงินที่ห้อง

นางหยิบเงินมาให้ลูกชายสองร้อยหยวน

เย่หมิงเป่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่ ไม่ต้องหรอก ผมมีแล้ว ช่วงนี้ออกไปวิ่งรถกับเหวินเทาก็ได้เงินมาไม่น้อย”

อย่ามองว่าเขาวิ่งรถเพียงระยะเวลาสั้นๆ เพราะเขาได้เงินมาหลายร้อยหยวนเลยทีเดียว

“เอาไปเถอะ ของอย่างอื่นเอาไปน้อย ๆ ได้ แต่เงินนี่แกเอาไปเยอะสักหน่อยก็ไม่เลวนะ” คุณแม่เย่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

เย่หมิงเป่ยกล่าว “แม่ ไม่จำเป็นจริง ๆ รถสามล้อเครื่องยนต์คันนั้นผมเปลี่ยนมือให้เหวินเทาแล้ว ได้เงินมาตั้งหกร้อยแน่ะ”

แต่คุณแม่เย่ก็ยังยัดเยียดเงินให้ลูกชายอยู่ดี เพื่อให้เขานำไปด้วย

คุณพ่อเย่ได้ยินเรื่องที่คุณแม่เย่เล่าให้ฟังว่าลูกชายส่งต่อรถให้ลูกเขย จึงกล่าวว่า “หกร้อยหยวนถูกไปหน่อยมั้ง”

คุณแม่เย่กลอกตาใส่ด้วยรอยยิ้ม “ถึงยังไงก็เป็นการเก็บของดีไว้ในครอบครัว”

คุณพ่อเย่ไม่ได้พูดอะไร ตอนนี้ลูกเขยเองก็เอาการเอางานมากแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้คัดค้าน

…………………………………………………………………………………………………………………………………..

[1] กินข้าวนิ่ม (吃软饭) หมายถึง เลี้ยงชีพด้วยการเกาะผู้หญิงกิน

สารจากผู้แปล

มีคนในครอบครัวพร้อมใจกันสนับสนุนพี่สามเย่เยอะเลย คงไม่น่าเป็นห่วงอะไรแล้ว

ส่วนเหวินเทาก็โชคดีได้รถมาไว้ใช้เองโดยไม่ต้องหาจากไหนไกล

ไหหม่า(海馬)