บทที่ 86 เจ้าเหมือนใคร

ท่องภพสยบหล้า

หลังจากฝึกวิชาช่วงเช้า เจียงวั่งก็ออกไปซื้ออาหารเช้าตามปกติ

แป้งทอดข้างถนนใหญ่พฤกษาคราม เต้าฮวยเค็มตรงข้ามร้านน้ำแกงตู้เต๋อวั่ง ล้วนเป็นของโปรดของอันอันในช่วงนี้

พลักประตูเรือนที่พักออกไปกลับเห็นคนที่ไม่คาดคิด

คนนี้หน้าตาซื่อๆ ร่างกายกำยำ สะพายห่อสัมภาระเอาไว้ เห็นเจียงวั่งก็ทำการคารวะ “อาจารย์เจียง!”

เป็นมือปราบถังตุนที่ได้พบที่ตำบลถังเส่อตอนนั้นนั่นเอง ความสัตย์ซื่อจริงใจของเขาในตอนนั้นทำให้เจียงวั่งมีความทรงจำฝังลึก

เพียงแต่การคารวะนี้ไม่ถูกกฎระเบียบ คำเรียกขานก็ไม่ถูกกฎเกณฑ์

เจียงวั่งนึกขึ้นมาได้ว่า ถังตุนตอนเด็กๆ เคยได้รับการอบรมชี้แนะจากลูกศิษย์สำนักหรูที่พเนจรมาคนหนึ่ง คงจะบอกเขาว่า ‘อาจารย์’ เป็นคำเรียกที่แสดงถึงความเคารพสูงสุดกระมัง

“มือปราบถัง ท่านมาเมืองเฟิงหลินเพื่อสอบเป็นศิษย์สายนอกสำนักเต๋าหรือ” เจียงวั่งถามอย่างประหลาดใจ “มาตอนนี้เร็วเกินไปกระมัง”

เดือนสามของทุกปีเป็นวันสอบเลือกลูกศิษย์สายนอกสำนักเต๋า ตอนนี้เพิ่งเป็นเดือนเหมันต์ ยังต้องรอให้ข้ามสิ้นปีไปอีก

“ไม่ใช่มือปราบแล้ว ข้าไม่ทำแล้ว” ถังตุนหัวเราะเอ่ยอย่างซื่อๆ “ไม่เร็วหรอก สอบสำนักเต๋ายากขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าต้องเตรียมตัวล่วงหน้าหรือกหรือ ข้าคิดแล้วว่าครั้งนี้ใช้ขวานผุๆ จมเรือ จะต้องสำเร็จแน่นอน!”

“…ทุบหม้อข้าวจมเรือกระมัง”

“ใช่ๆๆ! หมายถึงอย่างนั้นแหละ! สมแล้วที่อาจารย์เจียงความรู้ความสามารถรอบด้าน!” ถังตุนยกยอปอปั้นอย่างหน้าชื่นตาบาน แล้วก็ประสานมือเอ่ยขึ้นมาว่า “ในบรรดาคนที่ข้ารู้จักมีเพียงอาจารย์เจียงเท่านั้นที่มีความสามารถมาก ข้าคิดอยากขอให้อาจารย์เจียงชี้แนะข้าสักช่วงหนึ่ง…”

“ไม่ให้สอนเปล่าๆ ไม่ให้สอนให้เปล่าๆ!” เขาพูดพลางล้วงกระเป๋าผ้าใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เปิดออกทีละชั้นๆ ก็เห็นเงินตำลึงส่องแสงระยิบระยับ ประมาณสิบลึงได้

เขาถลึงตามองเจียงวั่ง “อาจารย์…”

อาจเป็นเพราะอยากจะแสดงความจริงใจออกมา แต่ท่าทางกลับเหมือนมือปราบจ้องมหาโจรเสียมากกว่า

“ห่างจากสอบเข้าสำนักเต๋ายังอีกหลายเดือน เจ้ามีที่พักหรือยัง” เจียงวั่งถาม

เรื่องแบบนี้หากไม่ตอบรับทันทีก็ต้องปฏิเสธให้เด็ดขาด ถ้าลังเลกลับจะทำให้เสียหน้า

“ยังไม่มีๆ ข้าพอเข้าเมืองมาก็เที่ยวถามคนมาหาท่านเลย ในเมื่องท่านมีชื่อเสียงมาเลยนะ!” ถังตุนชูนิ้วโป้ง พูดอย่างลิงโลดสามสี่ประโยค แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะไปหาเดี๋ยวนี้ ทันทีเลย!”

เขายื่นเงินมาที่หน้าเจียงวั่ง “ท่านรับไว้เถิด”

เจียงวั่งช่วยเขาห่อกระเป๋าผ้าทีละชั้นๆ กลับไปอย่างอดทน “เจ้าเก็บไว้เถอะ เช่าห้องในเมืองเฟิงหลินแพงนัก นับจากวันนี้ข้าก็จะสอนน้องสาวฝึกยุทธ์พอดี เจ้ามาฟังด้วยก็ได้แล้ว ข้าก็ไม่ได้เปลืองแรงอะไรเพิ่ม”

เขาดึงประตูเรือนที่พักปิดมาตามมือ “ตอนนี้ข้าจะออกไปซื้ออาหารเช้า ไปด้วยกันสิ ถือโอกาสถามถนนรอบๆ ว่ามีที่พักที่เหมาะสมอะไรหรือไม่”

“ได้เลย!” ถังตุนสะพายห่อสัมภาระ เดินตามมาอย่างลิงโลด

ถังตุนคนนี้สุขุม และก็มีการปรับตัวได้เร็วที่มีเฉพาะคนซื่อ แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนรังเกียจ เจียงวั่งไม่รู้สึกขัดหูขัดตากับเขา แน่นอน บางทีหลายส่วนอาจเป็นเพราะเด็กหญิงตัวน้อยที่เขาได้เห็นเพียงกระดูกและภาพคนนั้นก็เป็นได้

อันที่จริงในเรือนที่พักหลายห้องก็ยังว่างอยู่ ใช่ว่าจะให้ถังตุนอยู่ไม่ได้ แต่หนึ่ง พวกเขาความสัมพันธ์ยังไม่สนิทกันจนถึงขั้นนั้น สอง บ้านหลังนี้ไม่ได้เป็นของเจียงวั่งคนเดียวเท่านั้น ความรู้สึกของอันอันก็สำคัญมาก เขาจะให้ใครอีกคนหนึ่งเข้ามาอยู่โดยไม่ถามความรู้สึกของอันอันไม่ได้

นี่ไม่ได้เกี่ยวกับคุณธรรม คุณสมบัติประจำตัวของคนอื่นเลย เกี่ยวกับความรู้สึกที่เจียงวั่งจะปกป้อง ‘บ้าน’ เอาไว้อย่างระมัดระวังเท่านั้น

……

หอชมจันทร์

สุราอาหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดยกมาเรียบร้อยแล้ว นางรำหลายคนที่ฟางเจ๋อโฮ่วใช้เงินมหาศาลเลี้ยงดูเอาไว้ร้องเพลงร่ายรำอยู่ด้านหน้าแล้ว

ฟางเฮ่อหลิงวันนี้เลี้ยงเสิ่นหนานชี หรูหราอลังการได้ถึงเพียงไหนก็จัดขนาดนั้น

ฟางเฮ่อหลิงรอยยิ้มสดใส คอยรินสุราอยู่เรื่อยๆ แต่เสิ่นหนานชีกลับท่าทางเหมือนยังไม่ตื่นมาโดยตลอด

“เชิญ ศิษย์พี่เสิ่น! ข้าขอคารวะสุราท่าน ขอให้ท่านก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป พลังฝึกบำเพ็ญพัฒนาอย่างรวดเร็ว เป็นอันดับสามของเมืองในเร็ววัน!”

“ไม่ดื่มแล้ว” เสิ่นหนานชียื่นมือกดจอกสุราของฟางเฮ่อหลิง เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ใกล้แล้ว”

ฟางเฮ่อหลิงชะงักไปเล็กน้อย ถึงได้เข้าใจว่าเสิ่นหนานชีหมายถึงอะไร ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “นั่นย่อมแน่อยู่แล้ว! ด้วยพรสวรรค์ของศิษย์พี่เสิ่น มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เร็ว”

“จู้เหวยหว่อใกล้จะไปสำนักเต๋าประจำรัฐแล้ว เว่ยเหยี่ยนช่วงนี้สังหารลัทธินอกรีตมากขนาดนั้นก็น่าจะใกล้เลื่อนขั้นแล้วเหมือนกัน” เสิ่นหนานชีหมุนจอกสุราของตน หยีตาเอ่ยขึ้นว่า “ข้าก็เร็วแล้วไม่ใช่หรือไร”

คำพูดนี้ต่อบทยากนัก

“ข้าว่าตอนนี้ศิษย์พี่ก็มีความสามารถเป็นอันดับสามของสำนักเต๋าแล้ว!”

ฟางเฮ่อหลิงท่าทางจริงใจ “คนอื่นไม่เคยเห็นความน่าเกรงขามของท่านของท่านตอนสังหารสัตว์ร้ายที่เมืองซานซาน แต่ข้าเห็นเองกับตา ศิษย์พี่เสิ่นท่านถ่อมตัวเกินไปแล้ว ไม่อย่างนั้นในบรรดานักเรียนชั้นปีห้าที่เข้าร่วมงานประลองสามเมืองเสวนาเต๋าตอนนั้น นอกจากศิษย์พี่จางหลินชวนก็ควรจะเป็นท่านแล้ว! ท่านไม่ได้ลงประลอง สุดท้ายเล่า หลินเจิ้งหลินคนนั้นไม่ได้อะไรกลับมาเลย ศิษย์พี่ที่ขึ้นเวทีประลองคนนั้นพ่ายแพ้ให้กับป๋อเป้าซง ท่านว่านี่มันเรื่องอะไรกัน”

“ศิษย์น้องหลิน เจ้ามีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ เถิด” เสิ่นหนานชีอมยิ้มมองไปทางฟางเฮ่อหลิง “ยกยอขนาดนี้ต่อไป ศิษย์พี่ข้าคนนี้รับเอาไว้ไม่ไหวแล้ว”

“ไม่มีเรื่องอะไรจะขอร้องศิษย์พี่จริงๆ” ฟางเฮ่อหลิงเข้าไปนั่งใกล้ๆ เอ่ยอย่างจริงจังว่า “สิ่งที่ข้าพูดล้วนมาจากใจจริง วันนี้เชิญศิษย์พี่มาก็เพราะเคาระเลื่อมใสศิษย์พี่ล้วนๆ ขอบคุณศิษย์พี่ที่ดูแลข้าที่เมืองซานซาน”

“ที่เมืองซานซานครั้งนั้นข้าก็ได้ประโยชน์ ไม่มีอะไรต้องขอบคุณ” เสิ่นหนานชีเหลือบตาขึ้นมองเล็กน้อย “เจ้าอยู่ๆ กระตือรือล้นแบบนี้ ทั้งยังไม่มีเรื่องอะไรขอร้องข้า หรืออยากจะคบค้าเป็นสหายกับข้า”

“หากศิษย์พี่เห็นค่า เช่นนั้นก็เป็นเกียรติของเฮ่อหลิงนัก!” ฟางเฮ่อหลิงท่าทางตื่นเต้นยินดีนัก “เฮ่อหลิงแม้จะไม่มีความสามารถ แต่พูดแล้วตระกูลฟางก็เป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของเมืองเฟิงหลิน อย่างไรก็มีความสามารถในการสนับสนุนศิษย์พี่ฝึกบำเพ็ญอยู่แล้ว!”

เสิ่นหนานชีหัวเราะขึ้นมา “เฮ่อหลิง เจ้าพูดตรงๆ เช่นนั้นข้าก็จะพูดตรงๆ เหมือนกัน”

เขากลับไปพิงเก้าอี้อีกครั้ง “ตัวเจ้าในก่อนหน้านี้ข้าจะต้องไม่เห็นค่าที่จะคบค้าด้วยแน่นอน”

ฟางเฮ่อหลิงพยักหน้ายิ้มประจบ “ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ความจริงๆ”

“แต่เจ้าในตอนนี้…” เสิ่นหนานชีพูดขึ้นว่า “ข้าไม่กล้าคบเป็นสหายกับเจ้า”

รอยยิ้มของฟางเฮ่อหลิงชะงักแข็งค้าง

เสิ่นหนานชีถามขึ้นว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้เจ้าเหมือนใครคนหนึ่งนัก”

“ใครกัน”

“พูดให้ถูกคือเจ้าแค่พยายามลอกเลียนแบบสิ่งภายนอกบางอย่าง” เสิ่นหนานชีลุกขึ้น ตบบ่าของเขา พูดว่า “ฟางเผิงจวี่”

พูดจบก็เดินออกไปข้างนอก “สหายนั้นช่างเถิด แลกเปลี่ยนมาหาข้าได้”

ตอนนั้นในบรรดาศิษย์สายนอก เสิ่นหนานชีเป็นหนึ่งในศิษย์พี่ที่ค่อนข้างคาดหวังในตัวฟางเผิงจวี่ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ตระกูลฟางเข้าหาเขา

“ศิษย์พี่เสิ่นกลับดีๆ!” ฟางเฮ่อหลิงยังคงฉีกรอยยิ้มให้กับเงาแผ่นหลังของเขา

ตึกๆๆ

เสียงลงจากหอห่างออกไปไกลแล้ว

เสียงเพลงและการร่ายรำไม่รู้ว่าจบลงตั้งแต่เมื่อไร

สีหน้าบนใบหน้าฟางเฮ่อหลิงค่อยๆ เลือนหายไป เขาพลันผุดลุกขึ้นมาแล้วคว่ำโต๊ะ!

เงาที่ปกคลุมบนหัวเขาบางอย่าง เขาคิดว่าฉีกมันทิ้งไปได้นานแล้ว

เขาลงแรงพยายามฉีกมันออกไปชั้นแล้วชั้นเล่านับครั้งไม่ถ้วน

สุดท้ายถึงได้รู้ว่า ที่แท้นั่นเป็นฟ้ายามราตรีทั้งผืน

ฉีกมันทิ้งไปไม่ได้

………………………………………………………