บทที่ 87 ยากที่จะทำให้พอใจได้ทั้งสองฝ่าย

ท่องภพสยบหล้า

เมืองซานซาน

ซุนเสี่ยวหมานรีบร้อนเดินเข้าไปในห้องมารดา

นับตั้งแต่ศึกบนยอดเขาสมดุลหยกสิ้นสุดลง โต้วเยวี่ยเหมยก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง ธุระจัดการในเมืองส่งให้ซุนเสี่ยวหมานเป็นคนจัดการ ขนาดเรื่องเจ้าสำนักคนต่อไปของสำนักเต๋าเมืองซานซาน นางยังไม่ออกหน้ามาจัดการเลย

และนี่เป็นครั้งแรกในหลายวันนี้ที่ยอมพบกับผู้คน

“…ท่านแม่” พอเห็นโต้วเยวี่ยเหมยผาดแรก ในใจซุนเสี่ยวหมานก็สั่นกึกขึ้นมา

ความซีดเซียวความเหนื่อยล้านั่น..นางยังใช่มารดาของตนเองอยู่หรือไม่กัน

“เสี่ยวหมานเอ๋ย” โต้วเยวี่ยเหมยมองลูกสาว ใบหน้าขาวซีดในที่สุดก็มีสีเลือดขึ้นมาบ้างแล้ว “ในเมืองเป็นอย่างไรบ้าง”

“ยังดีอยู่ พอได้อยู่” ซุนเสี่ยวหมานไม่กล้าบอก ว่าหลังจากที่เลือกถอยร่นกลับมาโดยไม่ยอมบุกฌจมตีจากยอดเขาสมดุลหยก ศิษย์มีพรสวรรค์หลายคนในสำนักเต๋า ล้วนย้ายไปยังเมืองอื่นกันแล้ว บอกว่าอยู่ที่นี่มองไม่เห็นความหวัง

คนเหล่านี้แม้จะไม่เยอะ แต่สำหรับเมืองซานซานที่ขาดแคลนผู้มีความสามารถอยู่แล้ว ก็เหมือนกับโปรยน้ำค้างแข็งทับถมชั้นหิมะซ้ำเติมเข้าไปอีก

“เช่นนั้นก็ดี” โต้วเยวี่ยเหมยเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำตอบนี้นัก เปลี่ยนคำถาม “เซี่ยวเหยียนเป็นอย่างไรบ้าง”

“ยังขังตัวเองในห้องอยู่เลย บอกว่าจะไม่สนใจท่านอีกแล้ว”

โต้วเยวี่ยเหมยถอนใจ เอ่ยขึ้นอย่างกลัดกลุ้ม “ดูท่าคราวนี้จะโกรธแล้วจริงๆ”

“ไม่เป็นไร ผ่านไปอีกพักหนึ่งก็คงลืม”

ดวงตาซุนเสี่ยวหมานมีแววเหนื่อยล้า แต่พยายามอย่างเต็มที่ไม่ให้มารดามองออก

การจัดการกิจการในเมืองเดิมทีไม่ใช่สิ่งที่นางถนัด แต่ซุนเซี่ยวเหยียนเองก็ไม่สามารถไปจัดการได้ มารดาเองก็ดิ่งลงแบบนี้ ทำตัวอึมครึมทั้งวัน นางเองจึงต้องฝืนทนทำไป

สำหรับนางแล้ว นางยอมออกไปไล่ทุบกับยอดฝีมือนับร้อยมากกว่าจะต้องมาฝังตัวทำงานทางการแบบนี้

“หลายวันมานี้ข้าเข้าใจแล้ว” โต้วเยวี่ยเหมยดูมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย ถอนใจเอ่ยต่อว่า “เมืองซานซานยังต้องทนต่อไป การฝึกบำเพ็ญของน้องชายเจ้าจะเสียเปล่าไม่ได้ และที่สำคัญที่สุดคือ แม่จะไม่ทำให้เจ้าเสียเวลาอีก”

ซุนเสี่ยวหมานเงยหน้ามองนาง “ท่านแม่…”

“ไปหาอาจารย์เจ้าเถอะ!” โต้วเยวี่ยเหมยทอดถอนใจ “โลกใบนี้ไม่ได้เป็นดังเช่นที่บิดาเจ้าเข้าใจ สิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดมันไร้ซึ่งความหมาย โลกใบนี้ไม่ใช่โลกแห่งเหตุผล แต่เป็นโลกของผู้แข็งแกร่ง”

ทำเอาคนจินตนาการไม่ออกเลย ในฐานะที่เป็นหญิงสาวที่มองสามีเป็นเสาหลักแห่งจิตวิญญาณ เชื่อมั่นตัวเขาอย่างสุดหัวใจ ต้องผิดหวังถึงขนาดไหนจึงจะพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา จึงจะปฏิเสธต่อความพยายามทั้งหมดที่สามีทำออกมาเช่นนี้

ซุนเสี่ยวหมานรู้สึกว่าสิ่งที่มารดาพูดมาไม่ค่อยถูกต้อง แต่นางก็ไม่รู้ว่าควรจะคัดค้านอย่างไร

“อาจารย์ของเจ้าแข็งแกร่งมาก แต่แม่เองตอนนั้นก็ยืนหยัดที่จะดึงเจ้าไว้ข้างกาย เพราะว่าแม่เชื่อว่าวันหนึ่งจะไม่พ่ายแพ้ให้แก่เขา เจ้าใช้ชีวิตอยู่กับแม่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการฝึกบำเพ็ญ”

โต้วเยวี่ยเหมยรู้สึกตกต่ำ “ตอนนี้…แม่ไม่มีทางก้าวข้ามเขาไปได้อีกแล้ว”

ตอนนี้โต้วเยวี่ยเหมยนั่งอยู่เบื้องหน้ากระจกแต่งหน้าที่นางมักจะนั่งอยู่บ่อยๆ เพียงแต่นั่งหันหลังให้กระจก แสงแดดส่องลอดผ่านบานหน้าต่างส่องลงมาบนใบหน้าซีดเซียวของนาง ยิ่งเผยความขาวซีดให้เด่นชัดยิ่งขึ้น

ซุนเสี่ยวหมานนั่งลง ตุ้มเล็กสีเงินแกว่งไกวอยู่บนข้อมือ ใช้มือพาดเป็นหมอนอยู่บนเข่าของมารดา

โต้วเยวี่ยเหมยลูบจอนผมของนาง เอ่ยต่อว่า “การฝึกยุทธ์อย่างเดียว ตอนนี้ยังไม่มีเส้นทางที่สมบูรณ์เปิดออกมา ดังนั้นเส้นทางของจอมยุทธ์จึงเดินได้ยากลำบาก อาจารย์ของเจ้าเป็นแค่หนึ่งในผู้แสวงหา จะมีอีกหลายครั้งที่เจ้าจะพึ่งพาได้แต่ตนเอง ต้องขบคิดพิจารณา”

“อืม” ซุนเสี่ยวหมานตอบเสียงเบา

“เจ้ามีพรสวรรค์ ก่อนที่จะถึงสิบสองชั้นฟ้าสำหรับเจ้าก็เหมือนเส้นทางเรียบให้ม้าวิ่ง ดังนั้นการฝึกบำเพ็ญก่อนหน้าระดับอวัยวะภายในจึงไม่ต้องพูดถึงแล้ว”

โต้วเยวี่ยเหมยหยิบคัมภีร์เล็กออกมาเล่มหนึ่ง บางจนดูเหมือนมีกระดาษอยู่ไม่กี่แผ่น “นี่คือสิ่งที่แม่สืบค้นได้มาจากเมล็ดพันธุ์พลังวิเศษ เจ้าเอาไปเถิด วิชาเต๋าแม้จะคนละสายแต่ปลายทางก็เหมือนกัน เข้าใจเพียงหนึ่งก็เหมือนเข้าใจได้ถึงร้อย อาจจะมีประโยชน์กับเจ้าก็ได้”

พอเห็นซุนเสี่ยวหมานรับไป นางก็ทอดถอนใจออกมาว่า “จอมยุทธ์เหยียบย่างสามสิบสามชั้นฟ้า ปัจจุบันยังเป็นเพียงแค่จินตนาการ ยังไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จสมบูรณ์ ไม่รู้ว่าลูกสาวของข้าจะเดินไปได้ถึงไหนกันนะ”

ซุนเสี่ยวหมานชูมือขึ้นสูง ลูกตุ้มเงินเล็กแกว่งไกว “เดินไปให้ถึงจุดสูงสุด!”

โต้วเยวี่ยเหมยยิ้ม นางยื่นนิ้วออกมาสะกิดจมูกลูกสาว “ไปเถอะ ไปเถอะ”

ซุนเสี่ยวหมานลุกขึ้น เท้าเปลือยเปล่าเหยียบพื้น “ท่านแม่ ถ้างั้นข้าไปแล้วนะ”

โต้วเยวี่ยเหมยยิ้มทั้งน้ำตา “ไปเถิด”

ซุนเสี่ยวหมานยิ้มปลิ้นปล้อนขึ้นมากะทันหัน “ก่อนจะไป ข้าจะช่วยท่านสั่งสอนซุนเซี่ยวเหยียนเอง!”

พอเห็นโต้วเยวี่ยเหมยจะอ้าปากห้าม นางก็รีบแย่งพูด “ท่านแม่ ท่านฟังข้านะ การตีลูกๆ มันดีต่อสุขภาพ อย่ารู้สึกว่ามันทำไม่ได้ ท่านพ่อเองก็จากไปแล้ว อดีตก็ให้มันหยุดไว้ตรงนั้น อนาคตสิที่ยังอีกยาวไกล!”

นางกระโดดออกไปสองก้าว จากนั้นก็หันหน้ากลับมา กระพริบตาปริบ “ข้าว่าท่านอาจารย์ข้าดูจะชอบท่านอยู่นะ!”

“ไปไปไป! เจ้าจะมารู้อะไร!”

ลูกสาวเดินออกไป ไปไล่ตีลูกชายแล้ว

โต้วเยวี่ยเหมย เกิดความรู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นางเอาความคิดประหลาดนี้โยนออกไปนอกสมอง

หันหลังกลับจ้องมองที่กระจกแต่งหน้า

ในกระจก เป็นใบหน้างามไร้การปรุงแต่ง ถึงแม้จะดูซีดเซียวไปบ้างแต่ก็ยังคงโครงหน้าอันงดงามเอาไว้

นางยื่นมือลูบใบหน้าตนเองเบาๆ ถอนใจออกมาเงียบๆ “ท่านพี่ ท่านตายไปเร็วเหลือเกิน รู้สึกบ้างไหมว่าไม่คุ้มค่า น่าเสียดายจริงๆ ใบหน้าข้าที่งดงามเสียขนาดนี้…”

สำหรับรองเจ้าสำนักซ่งฉีฟาง เจียงวั่งแน่นอนว่ารู้จักเป็นอย่างดี และก็ไม่ขาดความเคารพอีกด้วย ต่งเออถูกส่งมาเมืองเฟิงหลิน เป็นเรื่องไม่กี่ปีก่อนหน้า ดังนั้นก่อนหน้านี้สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินจึงมีซ่งฉีฟางเป็นผู้ควบคุม

แน่นอนว่าเรื่องพลังและการมองโลก ภายใต้การควบคุมของเขาสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินก็มีแนวโน้มไปทางย่ำแย่กว่า

ปัจจุบันต่งเออเป็นผู้ควบคุมสำนักเต๋า ซ่งฉีฟางเป็นรองเจ้าสำนัก นอกจากการสอนแล้ว ยังตั้งอกตั้งใจหลอมยารวมไปถึงอนุมานวิชา แบ่งงานได้ชัดเจน จัดวางได้อย่างดี

เนื่องจากคนผู้นี้ไม่มีความคิดจะแย่งชิง เป็นกันเองน่าเข้าหา จึงได้รับการเคารพจากศิษย์มาแต่ไหนแต่ไร

เพียงแต่เจียงวั่งนึกไม่ออกจริงๆ ซ่งฉีฟางทำไมจู่ๆ จึงเรียกพบเขา

“รองเจ้าสำนักซ่ง” เจียงวั่งเดินเข้าไปในห้องหลอมยา คารวะอย่างนอบน้อม “ท่านมีเรื่องอะไรกับข้าหรือ”

ซ่งฉีฟางผมขาวหันหน้าออกมาจากหน้าเตาหลอม มองเจียงวั่งด้วยรอยยิ้มเป็นกันเอง “เจียงวั่ง ช่วงนี้ฝึกบำเพ็ญเป็นอย่างไรบ้าง มีปัญหาอะไรบ้างไหม”

“ลำบากท่านรองเจ้าสำนักซ่งมากังวลเสียแล้ว” เจียงวั่งตะลึงจากการได้รับความเอ็นดู “ข้ารับผิดชอบต่อการเรียนอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ศิษย์ยังฝึกฝนในช่วงที่ตื้นเขิน ปัญหาจึงล้วนเป็นเรื่องง่ายๆ บางครั้งเหล่าศิษย์พี่ก็มาช่วยแก้ไขปลดปลง ยังไม่มีปัญหาที่หนักหนาเป็นพิเศษอยู่ชั่วคราว”

ซ่งฉีฟางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เจ้าเป็นหนึ่งในศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสำนักเต๋าเมือง ข้าวางใจต่อตัวเจ้า”

“ในสำนักมียอดฝีมืออยู่มากมาย ศิษย์มิกล้ารับคำชมเช่นนี้”

“เรื่องในเมืองวั่งเจียง ข้าเองก็ได้ยินมาแล้ว” ซ่งฉีฟางหันหน้ากลับไปมองเปลวไฟในหม้อหลอมยา จากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า “เจ้าแสดงออกมาอย่างโดดเด่น แต่ว่าเรื่องบางเรื่อง ยังต้องสนใจถึงรูปแบบวิธีการด้วย พวกเรากับเมืองวั่งเจียงเองก็คั่นเพียงแม่น้ำ ไม่จำเป็นต้องอาละวาดจนหนักข้อนัก”

ไม่พูดถึงสิ่งที่พบเจอ ไม่บอกว่าผิดหรือถูก แต่พฤติกรรมที่พออ้าปากก็โยนความผิดมาใส่เช่นนี้เจียงวั่งรู้สึกไม่ค่อยดีนัก

แต่สีหน้าของเขาก็ไม่เปลี่ยน ตอบกลับเพียง “ที่ท่านรองเจ้าสำนักซ่งสั่งสอนถูกต้องแล้ว”

“แน่นอน พอเกี่ยวข้องกับเรื่องของทางบ้าน คนหนุ่มสาวจะวู่วามก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้” ซ่งฉีฟางยิ้มๆ พัดโบกไฟในเตา เอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าได้ยินว่าเจ้ามีวิชากระบี่บรรลุพลังวิชาหนึ่ง วาดลวดลายไว้อย่างยอดเยี่ยมที่เมืองซานซานกับเมืองวั่งเจียงหรือ”

“ศิษย์ได้รับวิชากระบี่วิชาหนึ่งมาโดยบังเอิญ” เจียงวั่งย่นคิ้ว เอ่ยต่อว่า “แต่ว่าวิชากระบี่นี้ไม่ได้ยอดเยี่ยมไร้เทียมทานเหมือนที่คนอื่นกล่าวไว้”

“ภูมิใจโดยไม่หยิ่งผยอง ดีมาก” ซ่งฉีฟางเว้นไปครู่หนึ่งจึงหันกลับมา จ้องมองดวงตาเจียงวั่งเอ่ยต่อว่า “ไม่ทราบว่าเจ้าจะยอมนำวิชาเต๋านี้ส่งมอบให้กับสำนักเต๋าหรือไม่ เพื่อทำให้ศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักเต๋าพวกเราได้รับผลประโยชน์ไปด้วยกัน เจ้าวางใจได้ แต้มเต๋ามีให้มากมายแน่นอน ข้าจะดูแลให้เจ้าเอง”

สำนักเต๋ารัฐจวงมีประเพณีการนำแต้มเต๋ามาแลกเปลี่ยนกับทรัพยากรจริงๆ ด้วยวิธีนี้สามารถทำให้ศิษย์ที่ร่ำรวยบริจาคทรัพยากรให้แก่สำนักเต๋า ให้แก่การฝึกบำเพ็ญของตนเองได้ ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น พวกวิชาแน่นอนว่าเป็นหนึ่งในนั้นด้วย

แต่นั่นก็ต้องอยู่บนหลักการของความยินยอม

พูดอีกอย่างก็คือ ถ้าหากเจียงวั่งยินยอม เขาคงจะแลกไปนานแล้ว ยังต้องรอให้ซ่งฉีฟางเอ่ยขึ้นมาหรือ

การที่แบ่งปันให้เจ้าหรู่เฉิง หลิงเหอและตู้เหยี่ยหู่ล้วนเป็นความยินยอมสมัครใจ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเจียงวั่งจะใจกว้างต่อคนทุกคน คำนึงถึงอาณาประชาราษฎร์ นั่นไม่ใช่ความใจกว้าง แต่เป็นความโง่เขลา

ดังนั้น เจียงวั่งจึงเอ่ยถามขึ้นตรงๆ “เรื่องนี้เป็นความเห็นจากเจ้าสำนักต่งหรือ”

สีหน้าซ่งฉีฟางขรึมลงเล็กน้อย “จะว่าไปในสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลิน คำพูดของข้าก็ยังพอมีน้ำหนักอยู่บ้าง ต่อให้เป็นเจ้าสำนักต่ง ก็คงจะเคารพต่อความเห็นของข้าเช่นกัน”

มิน่าตอนที่สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินอยู่ในมือเขาก่อนหน้านี้ถึงได้แสนธรรมดาสามัญ เต็มไปด้วยความล้าหลังเหลือเกิน!

เจียงวั่งคิดในใจ ค้อมตัวลงคารวะ “เรื่องนี้ เกรงว่าข้าเจียงวั่งคงไม่ยินยอม”

คารวะจบ เขาก็หันหลังเดินจากไป

กระบี่ของเขาแขวนอยู่ข้างเอว

ขณะนี้ เขาเองก็มีความคมกริบประดุจกระบี่อยู่ในตัวเช่นกัน

……………………………………….