บทที่ 88 เจอกันครั้งแรกก็เห็นเจ้าเปลือยแล้ว

ท่องภพสยบหล้า

เรื่องที่ซ่งฉีฟางต้องการคัมภีร์วิชาปราณม่วงบูรพา เจียงวั่งนำไปรายงานกับต่งเออ

ไม่ใช่การฟ้องแต่อย่างใด แต่ที่เขาคัดค้านต่อความคิดของรองเจ้าสำนัก เรื่องนี้จำเป็นต้องให้ต่งเออรู้เรื่องด้วยจึงจะถูก ไม่เช่นนั้นหากซ่งฉีฟางคิดจะทำอะไรลับหลังเขา แค่นั้นก็เพียงพอที่จะเก็บเจียงวั่งได้แล้ว

แน่นอนว่าซ่งฉีฟางไม่ทำเรื่องเช่นนั้นแน่ เขาอยู่ในสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินมาหลายขวบปี มีชื่อเสียงที่ดีมาโดยตลอด การเอ่ยขอวิชากระบี่จากเจียงวั่ง ก็เป็นการคิดเพื่อสำนักเต๋าทั้งนั้น

แต่พละกำลังและตำแหน่งของทั้งสองฝ่ายยังคงแตกต่างกันมาก เจียงวั่งเองจำใจต้องเตรียมพร้อมเพื่อป้องกันปัญหาก่อนที่จะเกิดขึ้น

ต่งเออได้ฟังแล้วเพียงแค่เลิกคิ้วขึ้น “คนแก่น่ะ ไม่ต้องไปสนใจเขา”

เจียงวั่งแอบพูดไม่ออก เจ้าสำนักตรงไปตรงมาจริงๆ…

แต่คำพูดนี้เขาก็ไม่มีคุณสมบัติจะต่อคำได้

ต่งเออเอ่ยขึ้นอีก “ช่วงนี้เจ้าฝึกบำเพ็ญเป็นอย่างไรบ้าง”

“ก่อนจะกลางเดือนหน้า สามารถสำเร็จการสร้างกระแสวนเต๋าที่สองได้แล้ว”

“ถือว่าไม่เลว การสร้างกระแสวนเต๋าพอถึงช่วงหลังก็จะยิ่งเร็วขึ้น ก่อนที่จะมองเห็นประตูฟ้าดิน การฝึกบำเพ็ญส่วนใหญ่จะใช้เวลาอย่างประณีตและรอบคอบ จากระดับเคลื่อนชีพจรสู่ระดับโจวเทียน ด่านเดียวก็คือการสร้างวงจรฟ้าดินเล็ก ดังนั้นตอนที่ไปถึงระดับโจวเทียน วิชาเต๋าที่จะสลักลงไปในจุดผ่านสวรรค์ ตอนนี้ก็ต้องเริ่มพิจารณาได้แล้ว เจ้าต้องเข้าใจนะ วิชาเต๋าชั่วพริบตาวิชาแรกที่สลักในระดับโจวเทียน เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากต่อผู้ฝึกบำเพ็ญทุกคน ไม่ใช่ว่าพลานุภาพยิ่งแกร่งจะยิ่งดี ต้องหาวิชาเต๋าที่เหมาะสมกับเจ้ามากที่สุดให้เจอ”

“ศิษย์เข้าใจแล้ว”

ต่งเออคิดๆ จากนั้นจึงเสริมมาอีกประโยคหนึ่ง “หลังจากนี้ถ้ามีเรื่องแบบที่เมืองวั่งเจียง เจ้าสามารถมาแจ้งข้าล่วงหน้าได้ ขอแค่เจ้ามีหลักฐานเหตุผล สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินไม่มีทางไม่สนใจศิษย์ของตนเอง จำเอาไว้ ศิษย์พี่จู้ของเจ้าไม่แน่ว่าจะปกป้องเจ้าได้ แต่สำนักของเราทำได้”

เจียงวั่งร้อนวูบในใจ สัมผัสได้ถึงความรู้สึกฉันท์อาจารย์ฉันท์บิดาจากต่งเออ

แต่ต่งเออก็ไม่ให้โอกาสเขาได้แสดงความซาบซึ้ง พูดจบก็โบกไม้โบกมือ “เจ้าไปได้แล้ว”

กลางดึก เจียงวั่งตื่นขึ้นมาจากฝัน

เขาคลุมเสื้อถือกระบี่เดินมากลางบ้าน

หญิงสาวปิดหน้าด้วยผ้าระบายดำยิ้มมองเขา ยังคงสวมชุดบางเบาในคืนอันหนาวเหน็บ ราวกับว่าถ้าไม่ทันระวังคงจะปลิวลอยไปตามกระแสลม

“จำสามเรื่องที่เจ้ารับปากข้าไว้ได้ไหม” นางถามขึ้น

เสียงอ่อนหวานดังขึ้นแผ่วเบายามค่ำคืน

เจียงวั่งงงงัน “ตอนนี้? วันนี้?”

พอผ่านช่วงเวลานี้ไปก็จะเป็นวันที่สิบเอ็ดเดือนสิบเอ็ด วันแห่งการคัดเลือกของสำนักเขตปกครอง

สามสำนักเขตปกครองเป็นคลังผู้ฝึกบำเพ็ญที่ขึ้นตรงที่สุดของสำนักเต๋ารัฐ

อย่างหลินเจิ้งเหรินที่ได้รับรายชื่อเข้าสำนักเต๋ารัฐจากงานเสวนาเต๋าสามเมือง ถือว่าเป็นการรับประกันส่งตัว ส่วนจู้เหวยหว่อทางสำนักเต๋ารัฐส่งเทียบเชิญมาด้วยตนเอง ถือว่าเป็นการรับเข้าพิเศษ แต่ก็มีเพียงส่วนน้อย

การประลองที่สามสำนักเขตปกครองจัดขึ้นหนึ่งครั้งในห้าปี จึงเป็นเส้นทางเข้าสู่สำนักเต๋ารัฐที่แพร่หลายที่สุด ทุกครั้งจะรับผู้ฝึกบำเพ็ญจำนวนหนึ่งร้อยคน

ศิษย์สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินที่ฝึกมามากกว่าห้าปีล้วนสมัครเข้าร่วมการแข่งคัดเลือกนี้ทั้งสิ้น แน่นอนว่ารวมไปถึงหลีเจี้ยนชิว หลังจากผ่านประสบการณ์ที่เมืองซานซาน ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็สนิทสนมกันยิ่งขึ้น วันนี้เจียงวั่งเดิมทีเตรียมตัวจะไปส่งเขา

หญิงสาวผ้าระบายดำเอ่ยขึ้นเสียงนุ่ม “เรื่องแรกก็คือวันนี้”

เจียงวั่งขบคิด ถอยกลับไปในห้อง “รอสักครู่”

เขาเขียนกระดาษไว้ให้อันอันแผ่นหนึ่ง บอกนางว่าตนเองมีเรื่องต้องออกจากบ้านชั่วคราว ถ้าหากวันนี้กลับมารับนางไม่ได้ ก็ให้นางไปหาหลิงเหอ

อันที่จริงตอนนี้อันอันเองไม่มีอะไรต้องกังวลมากนัก เวลาที่เจียงวั่งติดภารกิจ ถังตุนเองก็คอยรับผิดชอบภารกิจสำคัญอย่างการไปรับส่งอันอันที่โรงเรียนอยู่หลายครั้ง จากคำพูดของเขา ขอแค่ได้ช่วยอะไรท่านอาจารย์เสียหน่อยจึงจะวางใจได้ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองคนล้วนกำลังรับการชี้แนะวิชายุทธ์จากเจียงวั่ง ฝืนพูดว่าเป็น ‘ศิษย์พี่ศิษย์น้อง’ กันได้อยู่ ความสัมพันธ์ก็ดูคุ้นเคยกันดี

เจียงวั่งปิดประตูเดินออกมาอีกครั้ง หญิงสาวคลุมผ้าระบายดำลอยตัวขึ้นบนหลังคาออกห่างไปไกลแล้วภายใต้แสงจันทร์

เจียงวั่งลอยตัวตามไป ภาพอ้อนแอ้นอรชรเบื้องหน้าราวกับเพียงเอื้อมมือก็แตะถึง แต่ยังคงห่างออกไปชั้นหนึ่งเสมอ

“แม่นาง ข้าควรจะเรียกท่านอย่างไร” ตอนที่เจียงวั่งอยู่ห่างประมาณสี่ชั่วตัวคน ไล่กวดไปด้วย ถามขึ้นไปด้วย

“ไม่ใช่ว่าบอกไปแล้วหรือ ให้เรียกพี่สาว” เสียงด้านหน้าลอยมา ฟังแล้วเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง

“ ‘พี่สาว’ มันดูคลุมเครือเกินไป ไม่ได้เป็นตัวแทนรูปธรรมของตัวท่านเลย” เจียงวั่งตอบกลับอย่างจริงใจและมั่นใจ

เขาเคยถามเจ้าหรู่เฉิงเกี่ยวกับคำถามนี้มาแล้วเป็นพิเศษ เจ้าหรู่เฉิงสอนให้ตอบกลับเช่นนี้

“โห” หญิงสาวคลุมผ้าระบายดำจงใจหยุดลงมา รอจนเจียงวั่งตามมาถึงข้างตัวจึงหันหน้าเหลือบไปมองเขาเหมือนทั้งเคืองทั้งชอบ “ใครสอนเจ้าพูดกันเนี่ย”

“ไม่ ไม่” เจียงวั่งมองไปข้างๆ “ข้าแค่พูดไปเรื่อย”

“ตอนที่ผู้ชายพูดโกหก มักจะหลบสายตาไม่กล้ามองข้า”

ข้าไม่กล้ามองท่าน? เจียงวั่งคิด หันหน้าไปมองนางอย่างจงใจ สายตามั่นคง

“และเพื่อจะปิดบังความใจฝ่อ บางครั้งก็จะกลายเป็นแข็งกร้าวขึ้นมาเหมือนกัน”

เอาเป็นว่าข้าหุบปากไว้ดีกว่า เจียงวั่งคิด

“คิกๆ” หญิงสาวเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ในเมื่อตอนที่พวกเราเจอกันครั้งแรก ข้าเองก็เคยเห็นเจ้าเปลือยมาแล้ว…”

ตอนที่เจียงวั่งหน้าเริ่มแดง นางก็เอ่ยบิดไปอีกทาง “ดอกบัวบนแผ่นหลังเปลือย เช่นนั้น เรียกข้าว่าไป๋เหลียนแล้วกัน”

“ได้เลย แม่นางไป๋เหลียน” เจียงวั่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก ตัดสินใจแล้ว ถ้าไม่คุยได้ก็ไม่ต้องคุยจะดีกว่า

แต่เขาก็รีบถามขึ้นมาอีก “พวกเราจะไปทำอะไรกันหรือ”

“ถึงแล้วเจ้าก็รู้เอง” แม่นางไป๋เหลียนที่ได้ชื่อมาอย่างขอไปทีเอ่ยตอบ

“แล้ว พวกเราจะไปไหนกันหรือ”

“ถึงแล้วเจ้าก็รู้เอง”

“…”

เงียบงันมาตลอดทาง

ไป๋เหลียนเหมือนต้องการจะทเสอบขีดจำกัดความเร็วของเจียงวั่ง หลังออกจากเมืองเฟิงหลินก็เพิ่มความเร็วไม่หยุด จนตอนที่เจียงวั่งเผยอาการกินแรงออกมาถึงผ่อนความเร็วลง

สีท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนไป เงาวัตถุข้างทางที่ถอยออกก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเช่นกัน

เจียงวั่งอดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ “พวกเราจะไปเมืองซานซานหรือ”

“ถึงแล้วเจ้าก็รู้เอง” ไป๋เหลียนดูเหมือนจงใจจะหยอกล้อ พอพูดจบตัวเองก็เหมือนจะสนุกขึ้นเสียแล้ว

เจียงวั่งจึงทำได้เพียงอดกลั้นต่อความสงสัย ไล่ตามอย่างหน้ามืด

ตอนที่ไป๋เหลียนหยุดลง ตะวันก็โด่งขึ้นสูงแล้ว

มองยอดเขาสูงตรงหน้า หูแว่วเสียงคำรามสัตว์ เจียงวั่งเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกไม่ค่อยดี “ท่านจะไปยอดเขาสมดุลหยกทำไมกัน”

ไป๋เหลียนมองเขา ในดวงตาเหมือนจะยิ้ม “วางใจเถิด จะไม่ทำทั้งเรื่องที่ขัดกับหลักการของเจ้า และไม่ทำเรื่องอย่างส่งเจ้าไปตายด้วย”

“ดังนั้น จะไปทำอะไรกันล่ะ”

“ตามข้าขึ้นมาก่อนแล้วกัน”

“เดี๋ยวก่อน พวกเราจะขึ้นยอดเขาสมดุลหยกหรือ สัตว์ร้ายตั้งมากมาย แค่พวกเราสองคนน่ะนะ”

ไป๋เหลียนราวกับเตรียมตัวเอาไว้แล้ว ก้มตัวมุดเข้าไปในโพรงหิน ผ่านไปครู่หนึ่งก็หยิบเอาหนังสัตว์สองผืนออกมา

นางคลุมไปบนตัวเองผืนหนึ่ง ส่งอีกผืนหนึ่งให้กับเจียงวั่ง

“คลุมมันไว้”

นั่นเหมือนกับเป็นหนังพยัคฆ์ผืนหนึ่ง สัมผัสมือดีมาก แต่เหมือนจะไม่ได้ผ่านการจัดการที่ประณีตนัก ยังมีกลิ่นสาปอยู่

“คลุมมันไว้ทำไมหรือ ปลอมตัวเป็นสัตว์ร้ายหรือ” เจียงวั่งรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดในวันนี้ดูไร้สาระเสียเหลือเกิน

“เจ้าไม่ใช่ถามข้าว่าจะขึ้นไปยอดเขาสมดุลหยกอย่างไรหรือ” ไป๋เหลียนห่อตัวอยู่ในหนังสัตว์ผืนยักษ์…มันดูเหมือนหนังจิ้งจอกหรืออะไรบางอย่าง มีลายดอกไม้สวยงาม…เดินผ่านข้างตัวเจียงวั่งไป “นี่ก็คือคำตอบ”

“ไม่ใช่” เจียงวั่งรู้สึกปวดเศียร “หรือว่าการคลุมหนังสัตว์ จะทำให้สัตว์ร้ายมองท่านเป็นพวกเดียวกันหรือ”

“สัตว์ร้ายไม่มีสติปัญญานะ เจ้าไม่รู้หรือ”

“ก็ได้ยินมาแบบนี้ แต่ว่า…”

“มันเหลวไหลเกินไปสินะ คิดไม่ถึงว่าต่อหน้าฝูงสัตว์ร้ายที่รับมือยากขนาดนี้ จะสามารถใช้วิธีการง่ายๆ เนียนเข้าไปได้สินะ บางครั้งสิ่งที่ยากสำหรับพวกเรา ไม่ใช่ความลำบากในสภาพความเป็นจริง แต่เป็นความลำบากด้านความคิดต่างหาก”

ไป๋เหลียนหยิบยาออกมาขวดหนึ่ง นำออกมาถูบนมือ จากนั้นจึงปาดออกมาอีกหน่อย ส่งสัญญาณให้เจียงวั่งยื่นมือออกมา จากนั้นจึงถูลงไปบนหลังมือของเขา

นางอธิบายไปด้วย “พอบวกเข้ากับยาอำพรางกลิ่นชนิดนี้แล้ว ใช้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกสัตว์ร้ายพบตัว”

นิ้วของนางเย็นและมีความอุ่นนิ่มอย่างลึกซึ้งอยู่ด้วย หมุนวนเบาๆ ไม่กี่รอบบนหลังมือ จากนั้นจึงดึงกลับไป

“พูดง่ายๆ ก็คือ ความยากลำบากมีทางแก้ แต่คนโง่มันรักษาไม่ได้” นางเอ่ยสรุปขึ้นมาตอนท้าย

“รู้สึกเหมือนท่านกำลังด่าข้าเลย…” เจียงวั่งงึมงำ นำเอาหนังพยัคฆ์มาคลุมบนร่าง

ตอนนี้เอง สายตาของเขาจ้องเขม็งออกไป

ที่ถ้ำหินที่ห่างออกไปเบื้องหน้าถ้ำหนึ่ง เขามองเห็นเงาตะคุ่ม มีผึ้งหินสังหารหลายตัวกำลังเข้าๆ ออกๆ

แต่เขาจำได้อย่างแม่นยำ ว่าไม่นานก่อนหน้านี้โต้วเยวี่ยเหมยเจ้าเมืองซานซานจัดการสัตว์ร้ายพวกนี้ไปจนหมดจดอย่างไร

“ผึ้งหินสังหารพวกนี้…ไม่ใช่ถูกกำจัดจนหมดไปแล้วหรือ” เจียงวั่งถามขึ้น

ในเสียงของเขา มีความตระหนกเล็กน้อยที่ตัวเขาเองไม่เคยสังเกตขึ้นมาก่อน

“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ”

เสียงของไป๋เหลียน เหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม

……………………………………….