บทที่ 89 มาเขาหยกสมดุลอีกครั้ง

ท่องภพสยบหล้า

ไป๋เหลียนนำทางมุ่งหน้าไปบนเขา เจียงวั่งกัดฟันตามอยู่ข้างหลัง

แมงมุมภูเขาท่าทางเหี้ยมเกรียมตัวหนึ่งคลานอยู่ข้างหน้าพวกเขา แต่กลับไม่สนใจพวกเขา

“นอกจากจะหิวจนเหลือทนแล้ว โดยปกติระหว่างสัตว์ร้ายพวกนี้จะไม่ทำการโจมตี” ไป๋เหลียนถือโอกาสเล่าเรื่องตลกที่ไม่ค่อยจะตลกสักเท่าไรไปด้วยเลยว่า “คงเป็นเพราะพวกมันรู้ว่าเนื้อของตัวเองรสชาติช่างย่ำแย่นักกระมัง”

เนื่องจากเข้ามาอยู่ในวงล้อมสัตว์ร้ายแล้ว เสียงของไป๋เหลียนจึงเบาลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นระมัดระวัง คงเป็นเพราะไม่จำเป็นกระมัง

เจียงวั่งไม่ส่งเสียง เขาพิจารณาสัตว์ร้ายที่ได้เจอตลอดทางมาอย่างรอบคอบ พบว่าไม่มีตัวไหนทำการโจมตีพวกเขามาก่อนจริงๆ ด้วย

“เจ้าพูดได้ สัตว์ร้ายพวกนี้ฟังไม่เข้าใจเสียหน่อย คิดว่าเจ้าส่งเสียงเห่าหอนโหยหวนเสียด้วยซ้ำ” ไป๋เหลียนถามขึ้นต่อว่า “คิดอะไรอยู่”

“ข้ากำลังคิดว่าทำไมวิธีที่ง่ายขนาดนี้กลับไม่มีใครคิดถึงมาก่อน คนฉลาดบนโลกนี้มีมากมาย โดยเฉพาะเจ้าเมืองซานซานสองรุ่นนี้ล้วนแต่เป็นบุคคลยอดเยี่ยมแห่งยุคทั้งสิ้น”

“มีเพียงแค่เหตุผลเดียว” เสียงหัวเราะของไป๋เหลียนดังขึ้นข้างๆ “เพราะมีคนฉลาดจำนวนมากกว่าขัดขวางผู้คนขบคิดเรื่องพวกนี้ ซุนเหิง โต้วเยวี่ยเหมยล้วนยอดเยี่ยมทั้งนั้น แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าสัตว์ร้ายคืออะไร และก็ไม่มีโอกาศได้เข้าใจอย่างแท้จริงเช่นกัน”

“คนฉลาดพวกนั้นที่ท่านว่าเป็นใคร ทำไมพวกเขาจึงทำเช่นนั้น”

“ข้าตอบเจ้าไม่ได้ เพราะคำตอบที่แท้จริงอยู่ในใจของเจ้า” น้ำเสียงของไป๋เหลียนเปลี่ยนไป กลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง “เอาล่ะ ไปทางนั้น”

นางเหมือนคุ้นเคยกับเขาหยกสมดุลเป็นอย่างมาก จำนวนสัตว์ร้ายบนทางเส้นเล็กทางนี้ที่เลือกเส้นนี้เห็นได้ชัดว่าน้อยมาก

ตอนนี้ บนหินผาก้อนหนึ่งข้างหน้ามีเสียงสัตว์คำรามต่ำๆ มา นั่นเป็นสัตว์ร้ายรูปร่างหน้าตาคล้ายแมว ตัวไม่ใหญ่ กระทั่งว่าท่าทางก็ไม่ได้ดูโหดเหี้ยมดุดัน

“เจ้าตัวน้อยที่น่าสงสาร คงจะเป็นเจ้าถิ่นตัวใหม่ของพื้นที่แถบนี้” ไป๋เหลียนอธิบายให้เจียงวั่งฟัง “แต่ว่าพวกเราอ้อมไปก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไร”

นางพูดแล้วก็พลันพุ่งไป

เจียงวั่งยังเห็นเงาร่างของนางอยู่ข้างหน้าอยู่แว็บๆ แต่นางกลับใช้กริชแทงเข้าที่หัวของสัตว์ร้ายรูปร่างแมวตัวนั้นไปแล้ว

เลือดสดๆ ไหลรินออกมาอย่างเงียบเชียบ เสียงสัตว์คำรามนิ่งสนิท

“ในที่แบบนี้ทางที่ดีที่สุดคืออย่าใช้วิชาเต๋า เพราะสัตว์ร้ายทั่วไปไวต่อวิชาเต๋ามาก โดยเฉพาะมีสัตว์ร้ายบางประเภทที่ใช้วิชาเต๋าได้ มันจะมองเจ้าเป็ผู้ท้าชิงแย่งพื้นที่ หากทำให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตก็จะมีปัญหายุ่งยาก”

ไป๋เหลียนอธิบายไปด้วย โยนสัตว์ร้ายตัวนี้ไปไกลๆ “ทำแบบนี้สัตว์ร้ายตัวอื่นจะไม่คิดว่าเป็นต่างเผ่ารุกราน แต่เป็นการฆ่าล้างสังหารทั่วไประหว่างสัตว์ร้ายด้วยกัน ทิ้งซากไว้ที่นี่ สัตว์ร้ายที่หิวจนคลั่งก็จะเลือกที่จะกินมัน”

“ท่านเหมือน…เหมือนจะเข้าใจสัตว์ร้ายดีจัง” เจียงวั่งเอ่ย

“เอ่อ หากเจ้าตอนสูงได้ประมาณนี้” มือนางเทียบไว้ที่ท้อง นึกอยู่ครู่หนึ่งก็ลดมือลงไปอีกเล็กน้อย “ประมาณตอนที่สูงเท่านี้ก็ถูกเอามาทิ้งไว้ในดงสัตว์ร้าย เจ้าก็จะเข้าใจมันดีเหมือนกัน”

“เป็นอะไรไป” จู่ๆ นางก็ยื่นหน้าเขามาใกล้ๆ เจียงวั่งที่เงียบงัน “ตกใจแย่เลยหรือ น้องชาย”

เจียงวั่งไม่พูดอะไร

“จิ๊ๆๆ” นางส่ายหน้า “ไม่ต้องใช้สายตาเห็นใจแบบนี้มองพี่สาว พวกเรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ใครน่าสงสารกว่ากันก็ยังไม่แน่”

“อารมณ์สงสารเห็นอกเห็นใจไม่ได้มีความหมายด้อยค่าคนคนหนึ่ง ใจสงสารเป็นความรู้สึกของมนุษย์ทั่วไป มันเป็นอารมณ์ด้านบวก ทำให้ระหว่างมนุษย์ด้วยกันมีความเอื้ออารีและความเข้าใจมากขึ้น” เจียงวั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นต่อว่า “ตอนเด็กๆ พ่อข้าบอกแบบนี้”

“ไม่เลวนี่ รู้จักทะนุถนอมสาวงามด้วย” ไป๋เหลียนหัวเราะเสียงขึ้นจมูกทีหนึ่ง “แต่ว่า หากเจ้าเห็นใบหน้าน่าชิงชังใต้ผ้าคลุมหน้าจะยังมีความรู้สึกทะนุถนอมอีกหรือไม่”

“คนที่ข้าทะนุถนอมคือเด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นที่ตื่นตระหนกลนลานในหมู่สัตว์ร้ายคนนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับว่านางหน้าตาอย่างไร”

“ข้าไม่ได้ตื่นตระหนกลนลานสักหน่อย” ไป๋เหลียนบ่นงึมงำ แล้วขึ้นเสียง “เดินเร็วหน่อย!”

เจียงวั่งรู้สึกแปลกประหลาดนักที่ถูกนางตวาด แต่ก็ทำได้เพียงเร่งความเร็วตามไปเท่านั้น

พูดตามความจริงแล้วยอดเขาหยกสมดุลทิวทัศน์งดงาม ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้า ดอกไม้หินผา ทุกที่ล้วนสวยตระการตา หากไม่ใช่ว่าพบเจอสัตว์ร้ายได้ทุกที่ ที่นี่คงเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวแน่นขนัด

ครั้งที่แล้วที่กวาดล้างยอดเขาหยกสมดุล เมืองซานซานแทบจะทุ่มกำลังทั้งเมือง ทั้งยังเชิญกำลังภายนอกมาช่วยอีกไม่น้อย แต่กลับหยุดที่ครึ่งทางสู่ยอดเขาหยกสมดุลเท่านั้น

แต่ตอนนี้เจียงวั่งกับไป๋เหลียนเพียงแค่สองคนกลับผ่านครึ่งทางสู่ยอดเขา มุ่งหน้าไปยังยอดเขาอย่างง่ายดาย

ข้างหน้ามีหินมหึมาก้อนหนึ่งพาดยื่นออกไปจากยอดเขา ก่อเป็นบันไดสูงตามธรรมชาติ

ไป๋เหลียนหยุดฝีเท้าที่นี่

เจียงวั่งเดินตามมายังใต้ ‘บันไดสูง’ ถึงได้พบว่าข้างล่างหินยักษ์มีถ้ำแห่งหนึ่ง เหมือนจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ถ้ำทอดตัวลึกนัก มืดเย็นเยือกมองไม่เห็นปลายทาง

ไป๋เหลียนเดินเข้าไปในถ้ำ แล้วก็หยุดฝีเท้าลงที่บริเวณปากถ้ำ ถอดหนังสัตว์ออก ปูไว้ที่พื้นแล้วนั่งลงไปบนนั้น

“นั่งสิ มองข้าทำไม”

เจียงวั่งทำตาม เพิ่งนั่งลงก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “พวกเรามาที่นี่ทำไม”

“รอ”

เจียงวั่งพบว่าทุกครั้งที่เขาที่เขามีคำถามขอคำชี้แนะจากใจจริง ไป๋เหลียนก็จะพูดน้อยขึ้นมา กลับเป็นตอนที่เขาไม่มีอะไรอยากพูด นางก็จะเย้าแหย่อยู่ตลอด

เจียงวั่งไม่พูดไม่จา มองออกไปจากมุมนี้ก็จะเห็นเมฆหมอกลอยวน ตอนนี้ดวงอาทิตย์ลอยอยู่กลางท้องฟ้าสาดส่องไปทั่วหล้า และสิ่งที่ปรากฏในครรลองสายตาคือหมู่ขุนคีรีปรากฏรางเลือนในเมฆหมอก งดงามละลานตา

เจียงวั่งดึงสายตากลับมา กำลังจะมองสำรวจถ้ำแห่งนี้ให้ทั่ว

ไป๋เหลียนก็อธิบายขึ้นมาว่า “ที่นี่คือรังของแมงมุมภูเขา”

เจียงวั่งมองเข้าไปในถ้ำอย่างอดไม่ได้ “เช่นนั้นแล้วแมงมุมภูเขาอยู่ที่ไหนเล่า”

“กำลังนอนอยู่ข้างใน”

“เช่นนั้นถ้ามันตื่นแล้วจะทำอย่างไร”

ไป๋เหลียนใช้สายตาอย่างมองคนปัญญาอ่อนมองเขา “แน่นอนว่าต้องฆ่ามัน”

บางทีอาจเป็นเพราะคุยกับเจียงวั่งที่มีสติปัญญาแบบนี้น่าเบื่อเกินไป ไป๋เหลียนจึงล้วงเอาของที่เหมือนกับจานค่ายกลอย่างหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ วางไว้ข้างหน้า

“นับจากตอนนี้ไป ห้ามพูดแล้วก็ห้ามขยับด้วย”

จานค่ายกลนี้คงจะสลักค่ายกลอำพรางร่องรอยสกัดกั้นเสียงประเภทนี้เอาไว้

เจียงวั่งขบคิดในใจอยู่ แต่ก็ไม่ขยับไม่พูดจริงๆ นั่งขัดสมาธิหลับตาทำการฝึกฝนทะลวงชีพจร

การฝึกฝนในช่วงระยะนี้ ดอกบัวกระดูกขาวที่กระดูกสันหลังไม่ได้นำผลกระทบไม่ดีอะไรมาให้เขา หากไม่ใช่ครั้งนี้ไป๋เหลียนจู่ๆ มาหา เกรงว่าเขาคงค่อยๆ เมินเรื่องนี้ไปแล้ว

หากจะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงอะไรให้ได้แล้วล่ะก็ สิ่งที่เปลี่ยนไปมากที่สุดในจุดผ่านสวรรค์กลับไม่ใช่กระแสวนเต๋าแม่น้ำดาราวงที่สองที่ก่อตัวขึ้น

แต่เป็นวิญญาณแท้ชีพจรเต๋าของเขา

ทุกคนต่างรู้ว่าวิญญาณแท้ชีพจรเต๋าวิ่งไปในกระแสวนเต๋าจะทำให้มันเติบโตแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง แต่ก่อนที่มันโคจรไปรอบวงจรจักรวาลใหญ่ได้สำเร็จก็แทบจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก่อนที่ประตูฟ้าดินจะเปิดการยกระดับแก่นแท้ก็หาได้ยากเช่นกัน

แต่ไส้เดือนดินวิญญาณแท้ชีพจรเต๋าของเจียงวั่งตัวนั้น บนตัวมันประดับไปด้วยแสงดาราระยิบระยับ อีกทั้งขนาดยังใหญ่ขึ้นอีกเท่าตัวอย่างเห็นได้ชัด แม้จำนวนรากพลังเต๋าที่คายออกมาจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่การฝึกฝนทะลวงชีพจรเห็นได้ชัดว่าง่ายขึ้นมาก

นอกจากนี้เจียงวั่งยังมีความรู้สึกรางๆ อย่างหนึ่งว่าวิญญาณแท้ชีพจรเต๋าเหมือนจะใกล้ชิดกับเทียนดำเล่มนั้นมากขึ้นมาอีกเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่แน่ใจเท่าไรนัก

เจียงวั่งเป็นคนคลั่งไคล้การฝึกบำเพ็ญมาโดยตลอด หากเข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญก็จะจมอยู่ในภวังค์ได้ง่าย และด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้สังเกตว่าตอนที่เขาเริ่มฝึกฝนทะลวงชีพจร สายตาของไป๋เหลียนที่มองเขาก็เปลี่ยนไป

นั่นเป็นสายตาที่เป็นประกายและหลงใหล

………………………………………………………