บทที่ 439

บทที่ 439

ภายใต้การหารือของจ้านอู่ฉางและทุก ๆ คน มันก็ทำให้เสี่ยวชางเริ่มเห็นด้วยกับแผนโจมตีครั้งนี้แล้ว

ฮ่าวจ้าวอยากลอบโจมตีโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่จ้านอู่ฉางรู้สึกว่ามันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมและคิดว่าจะต้องรอเวลาอีกสักนิดหน่อยเพื่อให้ได้ชัยชนะที่แน่นอน

ทำให้ฮ่าวจ้าวที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับขมวดคิ้วถาม “ท่านคิดอะไรอยู่กัน ? กำลังเสริมพวกมันจะมาในไม่ช้าแล้วนะ !!”

“ข้าเข้าใจดี แต่แม่ทัพฮ่าวอย่าดูถูกพวกเทียนหยวนนั่นเชียว” จ้านอู่ฉางอธิบาย

“ไร้สาระ !” คำสบถของฮ่าวจ้าวถูกพ่นออกมาจนเสี่ยวชางต้องพูดห้าม

“ฮ่าวจ้าว ให้ท่านจ้านอู่ฉางพูดให้จบก่อน”

แม้จะไม่ชอบใจนัก ทว่าฮ่าวจ้าวก็ต้องทำตาม แต่โดยส่วนตัวแล้วนั้นเขาคิดว่าจ้านอู่ฉางไม่ใช่คนที่จะต้องได้รับความเคารพสักเท่าไหร่ เพราะถ้าหากอีกฝ่ายแข็งแกร่งจริง แล้วทำไมถึงถูกพวกเทียนหยวนไล่ตบเป็นหมาหงอยแบบนี้กัน ?!

จ้านอู่ฉางไม่สนใจใครอยู่แล้ว เขามองทุกคนแล้วยิ้มออกมา “ข้ามีแผนแล้ว พรุ่งนี้เช้าจะส่งแม่ทัพที่เก่งกาจออกไปท้าสู้พวกมัน พวกท่านคิดว่าไง ?”

ทุกคนได้ยินก็ครุ่นคิด จากนั้นเสี่ยวชางก็พูดขึ้น “เป็นแผนที่เยี่ยมมาก ข้าคิดว่าจะต้องใช้การได้แน่”

แม้ว่าฮ่าวจ้าวจะไม่ชอบหน้าจ้านอู่ฉาง แต่ก็รู้ว่าแผนของอีกฝ่ายน่าสนใจมาก “แล้วท่านจะส่งใครไปกัน ?”

จ้านอู่ฉางส่ายหัว “ข้าไม่รู้จักแม่ทัพของพวกท่านหรอก แต่ข้าแนะนำว่าให้ส่งคนที่มีฝีมือออกไป ทว่าคนผู้นี้จะต้องไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดหรืออ่อนแอที่สุด และขอแค่อย่าให้ทำแผนแตกก็พอ”

เสี่ยวชางพยักหน้าให้ “ถ้าเช่นนั้นล่ะก็….”

เขามองซ้ายขวาเลือกจากแม่ทัพคนอื่นที่ไม่ใช่ฮ่าวจ้าวและเจี๋ยนฟาน เนื่องด้วยทั้งสองคนนี้เคยออกไปรบก่อนหน้านี้แล้ว จึงควรให้พวกเขาได้พักผ่อน และให้คนอื่นออกไปแทนบ้าง… หลังจากครุ่นคิดอยู่นานเขาก็พูด “กู่เฟิง เจ้าคิดว่าไง ?”

เขาเรียกชื่อแม่ทัพอาวุโสของกองทัพที่เข้าร่วมกองทหารมานานกว่า 20 ปี ผู้มีความสามารถทางพลังปราณและทักษะที่ถือว่าเก่งกาจพอควร

เจี๋ยนฟานไม่สนใจอะไรมาก เขาปล่อยเลยตามเลย แต่ฮ่าวจ้าวกลับบอกออกไปว่า “ข้าเห็นด้วยกับท่าน”

ทว่าเมื่อเห็นฮ่าวจ่าวพูดแบบนั้น เจี๋ยนฟานก็พลันหันมองหน้าเขาอย่างสงสัย เพราะว่ากู่เฟิงเป็นแม่ทัพที่มีอิทธิพลในกองทัพพอสมควร ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นจะส่งผลเสียต่อกองทัพทั้งหมดได้ และการที่ฮ่าวจ้าวเห็นด้วยแบบนี้ มันก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามันห่างเหินกันขนาดไหน !!

เสี่ยวชางถามเจี๋ยนฟาน “เจี๋ยนฟาน ท่านคิดยังไง ?”

“ข้าเห็นด้วยกับท่าน”

“เยี่ยมมาก ถ้างั้นพรุ่งนี้เช้าแม่ทัพกู่เฟิงจะเข้าต่อกรกับศัตรู !”

ทุกคนประกบมือรับคำสั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฮ่าวจ้าวที่ยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย

เช้าวันต่อมา พวกทหารม้าก็พากันเคลื่อนพลออกมาจากเมืองจางหยูนับหมื่นนาย ซึ่งนำทัพโดยแม่ทัพที่สวมเกราะโซ่ถักสีทอง ผ้าคลุมสีแดง และง้าวในมือ

กองทัพเปิงจัดขบวนมาเป็นอย่างดี และแม่ทัพวัยกลางคนก็อยู่แถวหน้าสุด เขาชี้ง้าวไปยังค่ายพวกเฟิงแล้วตะโกนเรียกชื่อถังหยิน

ไม่นานนักเจ้าตัวก็ได้ข่าวจากพวกทหาร

ตอนนี้ถังหยินกำลังรอกำลังเสริมอยู่ แต่เมื่อได้ยินข่าวการท้าประลองเขาก็จึงต้องถามขึ้น “อีกฝ่ายเป็นใคร ?”

“อีกฝ่ายบอกว่าชื่อกู่เฟิง”

“กู่เฟิง ?” ถังหยินไม่รู้จักชื่อนี้ จึงได้หันไปถามพวกหน่วยข่าว

“กู่เหิงเป็นแม่ทัพอาวุโสของเกาฉวน คนผู้นี้ถือว่าเก่งกาจและมีความสามารถมากที่สุดในเกาฉวนเลยทีเดียวนายท่าน”

ถังหยินพยักหน้าให้ เพราะดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องต่อสู้กับแม่ทัพที่มากด้วยประสบการณ์ผู้นี้อย่างเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว

ซึ่งในเวลานี้หยวนยู่ก็เป็นคนที่ก้าวออกมา “นายท่าน ให้ข้าไปสู้กับเขาเถอะ”

ถังหยินครุ่นคิด ด้วยมันถือเป็นเรื่องปกติที่ควรใช้แม่ทัพที่เก่งกาจในการดวล แต่ทว่าเขาก็ไม่คิดว่าหยวนยู่จะเหมาะสมในครั้งนี้

จากนั้นจึงเป็นหยวนเปียวที่พูดขึ้นบ้าง “ให้ข้าไปเถอะนายท่าน” ถ้าเป็นคนอื่นหยวนยู่คงจะล้อเลียนไปแล้ว แต่ในเมื่อเป็นน้องชายตัวเองเขาก็ไม่ได้พูดอะไร

ถังหยินที่เห็นแบบนั้นจึงพยักหน้าให้ “เอาล่ะ หยวนเปียวเจ้าจงไปต่อสู้กับพวกมันซะ แล้วก็อย่าประมาทเชียว”

“รับทราบนายท่าน” หยวนเปียวรับคำสั่งแล้วเดินออกไป

ถังหยินไม่คิดเสียเวลาแม้แต่น้อย เขาพาแม่ทัพคนอื่น ๆ ติดตามหยวนเปียวไปในทันที

ส่วนหยวนเปียว เขาก็ได้ควบม้าพุ่งทะยานออกไปประจันหน้ากับแม่ทัพศัตรูในทันทีเช่นกัน “เจ้าคือกู่เฟิงสินะ ?”

“ใช่แล้ว เจ้าล่ะ ?”

“ฉางกวงหยวนเปียว !”

“พี่น้องฉางกวงนี่เอง พวกเจ้าถือว่ามีชื่อเสียงมากทีเดียว แต่ข้าล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าเจ้าจะเก่งได้สักครึ่งของพี่ชายเจ้าหรือไม่ !!” กู่เฟิงรู้ดีว่าหยวนยู่นั้นเก่งมาก ดังนั้นเขาจึงคาดเดาว่าหยวนเปียวก็น่าจะเก่งกาจไม่ต่างกัน ทำให้เขาตัดสินใจยั่วโมโหอีกฝ่ายเพื่อสร้างความได้เปรียบให้ตน

และก็เป็นไปตามคาด หยวนเปียวนั้นเกลียดการถูกเปรียบเทียบมาก เขาโกรธจัดจนหน้าแดงแล้วตะโกนออกไป “ไอ้แก่เวรตายซะเถอะ !” จากนั้นเขาก็แทงหอกออกไปโดยเปลี่ยนให้มันกลายเป็นหอกปราณสีขาวในชั่วพริบตา

เมื่อเห็นแบบนั้นกู่เฟิงก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย เขาใช้หนามปราณโต้กลับในทันที

…ทั้งสองวิชาปะทะกันจนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วสนามรบพร้อมกันเศษฝุ่นที่กระจายมากมาย

ทั้งสองมีพลังเกือบเท่ากัน ดังนั้นหยวนเปียวจึงมุ่งเน้นไปที่การปล่อยวิชาปราณออกมาเรื่อย ๆ พร้อมกับหลบทุกครั้งเท่าที่ทำได้จนในบางครั้งก็สามารถบีบให้อีกฝ่ายตกอยู่ในความย่ำแย่ได้ แต่กู่เฟิงเองก็มีข้อได้เปรียบเช่นกัน และนั่นคือพลังปราณมากมายที่เขาเก็บงำเอาไว้เพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม

ถังหยินที่มองการต่อสู้อยู่ได้แต่ส่ายหัว เพราะเขารู้ดีเลยว่าถ้าหยวนเปียวยังบ้าพลังแบบนี้สุดท้ายก็คงหมดแรงโดยเร็ว ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงหันไปบอกหยวนอู่ในทันทีว่า “หยวนอู่เข้าไปสู้แทนซะ” เขามั่นใจว่าหยวนอู่จะต้องมีความคิดและประสบการณ์ที่ดีกว่าคนน้องแน่ ๆ ดังนั้นจึงได้สั่งออกไปแบบนั้น ส่วนทางหยวนอู่เองก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย เมื่อได้รับคำสั่งเขาก็พลันควบม้าวิ่งเข้าไปทันที

หยวนเปียวที่กำลังสนุกอยู่ เมื่อเห็นพี่ชายของเขามาก็เริ่มหงุดหงิด “เจ้าเข้ามาทำไม ?”

“กลับไปซะ นายท่านให้ข้ามาแทนเจ้า”

ไม่มีทางที่หยวนเปียวจะถอย เขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและแทงหอกใส่กู่เฟิงอย่างไม่ใส่ใจอะไรทั้งนั้น และเมื่อเขาไม่ถอยออกมาแบบนี้ หยวนอู่ก็จึงได้แต่เข้าไปร่วมด้วยเสียเลย

…ไม่ว่ากู่เฟิงจะเก่งแค่ไหน แต่การโดนรุมสองแบบนี้มันทำให้เขาเสียเปรียบมาก !!