บทที่ 440

บทที่ 440

สองพี่น้องหยวนอู่กับหยวนเปียวร่วมสู้ด้วยกัน หลังผ่านไปได้ไม่กี่กระบวนท่า กู่เฟิงก็เริ่มเหนื่อยและเข้าตาจนมากเข้าไปทุกที

ส่วนแม่ทัพเปิงที่ตามเขามาด้วยก็ดูจะเริ่มกังวลกับภาพตรงหน้า ก่อนจะทนไม่ไหวและตัดสินใจควบม้าวิ่งเข้าไปช่วยกู่เฟิง !!

เทียบกับสองพี่น้องแล้ว แม่ทัพคนนี้ถือว่าอ่อนแอกว่ามาก

อย่างไรก็ตาม หยวนยู่ที่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ ก็อยากจะเข้าไปช่วยน้องชายของเขามาก “นายท่าน ให้ข้าเข้าไปช่วยพวกเขาสู้เถอะ”

ถังหยินพยักหน้าให้ “ข้าไม่สนใจหรอกนะว่าจะทำยังไง แต่ต้องจับตัวกู่เฟิงมาให้ได้”

ตามข้อมูลของหลีเทียน กู่เฟิงเป็นคนที่เก่งมาก ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงต้องการที่คว้าตัวอีกฝ่ายมา ด้วยมันอาจมีประโยชน์ใดก็เป็นได้

“ไม่ต้องห่วงนายท่าน” หยวนยู่รีบควบม้าออกไปทันที

เมื่อหยวนยู่เข้าต่อสู้ด้วยแบบนี้ มันก็ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อาวุธของเขาฟันเข้าใส่ร่างของแม่ทัพเปิงอย่างแรง ก่อนจะถูกปัดป้องเอาไว้ด้วยความยากลำบาก และด้วยพละกำลังดั่งปีศาจนี่เอง มันก็ทำให้แม่ทัพเปิงถึงกับหวาดกลัวจนถอยออกไป

หยวนยู่จึงไม่รอช้าแม้แต่น้อยเมื่อได้โอกาส เขาพุ่งเข้าไปหากู่เฟิงด้วยความรวดเร็ว “หยวนอู่ หยวนเปียวหลบไป !”

สองพี่น้องเห็นพี่ชายของเขาพุ่งเข้ามาก็ได้แต่รีบถอยออกมาด้วยหัวใจที่สั่นเทา

เมื่อทั้งสองถอยออกมาแล้ว หยวนยู่ก็พลันพุ่งทะยานเข้าไปพร้อมดาบที่เล็งไปยังคอของกู่เฟิงโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันระวังตัว

กู่เฟิงหวาดกลัวแล้วถอยกลับมา ทว่าในขณะที่กำลังจะตั้งหลักได้ ก็เป็นหยวนยู่ที่ใช้สับดาบฟาดลงมาใส่หัวของกู่เฟิงพอดิบพอดี

นี่มันเกินกว่าที่กู่เฟิงคิดไว้มาก เขาไม่สามารถหลบได้และโดนคมดาบกระแทกใส่หัวจนตกจากหลังม้าไปในที่สุด

นี่ถือว่าหยวนยู่ยั้งมือเอาไว้แล้ว เพราะถ้าใส่แรงเต็มที่ …หัวของกู่เฟิงจะต้องถูกผ่ากลางออกมาแน่ !

ส่วนพวกเปิงที่เห็นแบบนั้นต่างก็หวาดกลัวที่จะเข้ามาช่วยเหลือ เปิดโอกาสให้หยวนยู่ปลดปล่อยคลื่นลมปราณออกมาก่อนส่งตรงไปยังศัตรูที่อยู่โดยรอบ

….คลื่นลมครานี้จัดการพวกเปิงไปมากมาย ทำให้พวกทหารเปิงตกจากหลังม้าพร้อมกับกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว

ทว่าหยวนยู่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขาวิ่งเข้าไปคว้าตัวกู่เฟิงแล้วรีบควบม้ากลับมาที่ฝั่งตัวเองทันที

ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก เพียงชั่วพริบตาเดียวกู่เฟิงก็มาอยู่ในมือของพวกเฟิงแล้ว

หยวนอู่และหยวนเปียวได้แต่มองหน้ากันด้วยความสิ้นหวัง เพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่มีทางเทียบได้กับพี่ชายของตัวเองเลย ดังนั้นจึงไม่คิดเข้าปะทะกับทัพเปิงที่กำลังตามมา แต่เลือกที่จะรีบกลับไปยังค่ายของตัวเองแทน

หยวนยู่ควบม้ากลับมาหาถังหยินและโยนกู่เฟิงออกไป “มัดเขาไว้” จากนั้นเขาก็หันมาทำความเคารพผู้เป็นนาย “นายท่าน นี่คือกู่เฟิงที่ข้าสัญญาไว้”

ถังหยินพยักหน้าให้แล้วหันมองกองทัพศัตรูที่ไร้แม่ทัพนั่น ทำให้พบว่าพวกเปิงดูจะเริ่มเกิดความวุ่นวายขึ้นมาแล้ว ก่อนที่คนพวกนั้นจะรีบถอยกลับไปยังเมืองอย่างรีบร้อน

ถังหยินไม่คิดจะไล่ตามไปแม้แต่น้อย เพราะการกำจัดคนพวกนั้นไม่ได้ช่วยเพิ่มความได้เปรียบในสมรภูมิแต่อย่างใด แถมศัตรูบนกำแพงเองก็ยังมีอยู่มากมาย และการที่เขาได้ตัวกู่เฟิงมาก็ถือว่าเป็นประโยชน์มากแล้ว “ถอยทัพ !”

หลังจากกลับมาได้ ถังหยินก็พาตัวกู่เฟิงกลับไปยังค่ายหลัก

ครั้งเมื่อกู่เฟิงตื่นขึ้นมานั้น เขาก็ได้รับยาสลายปราณเข้าไปแล้ว ทำให้ชายวัยกลางคนไม่สามารถใช้พลังได้ ดังนั้นแล้วถังหยินจึงได้เลือกที่จะทำตัวสุภาพกับอีกฝ่ายด้วยการปลดเชือกให้ ก่อนจะหาเก้าอี้เพื่อชวนกู่เฟิงพูดคุยด้วย

ทว่ากู่เฟิงนั้นดื้อด้านมาก เขาปฏิเสธทุกอย่างและไม่มองแม้แต่หน้าของถังหยิน ทำให้หยวนยู่ถึงกับหัวเราะออกมา “กู่เฟิง เจ้าถูกจับแล้วนะ ยังจะมาทำตัวแบบนี้อีกหรือ ? ชีวิตของเจ้าขึ้นอยู่กับนายท่านแล้ว ดังนั้นถ้าจะทำอะไรก็จงคิดหน้าคิดหลังให้ดี !!”

กู่เฟิงที่ได้ยินแบบนั้นก็พลันเหลือบตามองชายเลือดร้อนแล้วกัดฟันพูด “หยวนยู่เจ้าคนขลาด ถ้าเจ้าไม่ลอบโจมตีข้าก็ไม่แพ้หรอก”

หยวนยู่จึงยื่นมือไปยังอีกฝ่าย “ต่อให้มีเจ้าสัก 10 คนข้าก็ไม่แพ้หรอก”

กู่เฟิงโกรธจัดจนทำอะไรไม่ถูก

และแล้วถังหยินก็พูดขึ้น “แม่ทัพกู่ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าอยู่ในกองทัพเกาฉวนมานานแล้วสินะ ?”

“ถูกต้อง” กู่เฟิงมองเขาด้วยสายตาประหลาดและไม่คิดว่าถังหยินจะหนุ่มขนาดนี้

“แล้วนานขนาดไหนล่ะ ?”

“ข้าเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่อายุ 16 และตอนนี้ข้าก็อายุ 42 จึงกล่าวได้ว่าอายุราชการทหารของข้าอยู่ที่ 26 ปี”

…ถังหยินพยักหน้าให้แล้วเดินไปหากู่เฟิง

อีกฝ่ายไม่รู้ว่าถังหยินต้องการจะทำอะไรกับตนแม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อชายหนุ่มเข้ามาใกล้ เขาก็พลันร่างสั่งเกร็งขึ้นมาในทันที

ทว่าถังหยินกลับเพียงนั่งลงตรงหน้ากู่เฟิงแล้วถาม “แม่ทัพกู่อยู่ในกองทัพพมา 26 ปี นับได้ว่าเป็นรุ่นพี่ของข้า ซึ่งนั่นก็แสดงว่าท่านนั้นเคยเป็นขุนนางของท่านอ๋องคนก่อน แล้วเหตุใดกันเล่า ? …นี่ท่านไม่คิดจะตอบแทนฝ่าบาทด้วยการจัดการพวกกบฏบ้างหรือ ?”

“เจ้าไม่คิดว่าการทรยศแคว้นตัวเองมันเป็นการทรยศบรรพบุรุษตัวเองบ้างหรือไร ? และถ้าเจ้าเข้าร่วมกองทัพข้า ข้าสัญญาว่าเจ้าจะได้รับหน้าที่จัดการศัตรูของแคว้นเฟิงเพื่อชดเชยความผิดที่ผ่านมา สนใจหรือไม่ ?!”

คำพูดของถังหยินทำให้กู่เฟิงอับอายจนหน้าแดง ส่วนแม่ทัพเฟิงในค่ายต่างก็หันมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม ทว่าอีกฝ่ายก็ใจแข็งพอตัว กล่าวอ้างไปว่า “ข้าเป็นแค่แม่ทัพมณฑลเท่านั้น ข้ารับคำสั่งจากผู้ว่ามณฑลคนเดียว”

ถังหยินพยักหน้าให้ “ข้าเข้าใจดีว่าการเป็นแม่ทัพมันลำบาก ดังนั้นเรื่องในอดีตก็ขอให้ลืม ๆ มันไปเสีย ด้วยตอนนี้ข้ามีสองทางเลือกให้กับแม่ทัพกู่ อย่างแรกคือภักดีต่อซ่งเทียนและเป็นคนทรยศต่อไป หรือสองหักหลังมันแล้วกลายเป็นพวกเดียวกับข้าเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับแคว้นเฟิงตลอดกาล !!”

กู่เฟิงที่ได้ยินดังนั้นพลันมีสีหน้าตึงเครียดแล้วก้มหัวครุ่นคิดอยู่นาน…

หยวนยู่จึงพูดขึ้นบ้าง “ยังต้องคิดอีกหรือ ? ถ้าเจ้าเลือกข้อแรกเจ้าก็จะถูกฆ่า และต่อให้ตายไปเจ้าก็จะถูกก่นด่าสาปแช่ง ส่วนข้อสองเจ้าจะรอดชีวิตไปและกลายเป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ของแคว้นเฟิง ….ดังนั้นถ้าเจ้าไม่โง่ เจ้าก็น่าจะเลือกได้อยู่นะ”

แม้คำพูดจะไม่น่าฟัง แต่มันก็จริงตามที่เขาว่า ชายวัยกลางคนตัดสินใจลุกขึ้นแล้วก้มให้กับถังหยิน “ข้า กู่เฟิง ขอรับใช้ท่านถัง”

ถังหยินลุกขึ้นแล้วเข้าไปพยุงอีกฝ่ายเอาไว้ “คนเราถ้าทำผิดพลาดมันก็แก้ไขกันได้ ในเมื่อแม่ทัพกู่ยินยอมที่จะเข้าร่วมกองทัพ ข้าก็ถือว่าเป็นการกลับใจที่ดีแล้ว ลุกขึ้นเถอะ”

“ข้ามิบังอาจ” กู่เฟิงก้มหัวจนแทบจะติดพื้นไม่คิดที่จะลุกขึ้น

ถังหยินที่เห็นดังนั้นก็จนปัญญาและได้แต่จับตัวยกเขาขึ้นมาก่อนพูด “อย่างที่ข้าบอกไป ข้าสามารถปล่อยวางได้ ดังนั้นแม่ทัพกู่ไม่ต้องเก็บความเกลียดชังและความอับอายเอาไว้หรอก”

คำพูดนี้ทำให้กู่เฟิงเริ่มตื้นตัน ก่อนที่จะมีน้ำตาไหลออกมา…