ก่อนที่จะได้พบฉินหร่าน บอสวังรู้อยู่แล้วว่าเจียงซานอี้เป็นบุคลากรระดับสูงของอวิ๋นกวงกรุ๊ป อันที่จริงของที่เหยียนซีส่งไปล้วนถูกส่งต่อไปยังอวิ๋นกวงกรุ๊ป และถ้าฉินหร่านไม่ส่งคืน คนของอวิ๋นกวงกรุ๊ปก็ยังส่งกลับมาด้วยความเคารพนับถือเหมือนสมบัติล้ำค่าจนได้
ถ้วยรางวัลแกรมมี่อวอร์ดครั้งล่าสุดที่เหยียนซีส่งไป ผลสุดท้ายก็เป็นแบบนี้ ทว่าเหยียนซีเองก็ปฏิเสธที่จะเก็บไว้…
พอพูดถึงเรื่องนี้ บอสวังก็รู้สึกว่าบางทีเหยียนซีก็กล้าหาญมาก
สถานที่อย่างวงการบันเทิงกับนิสัยของเหยียนซีนั้น ถ้าไม่มีอวิ๋นกวงกรุ๊ปคอยหนุนหลังก็คงจบไปนานแล้ว
เหยียนซีเองก็รู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นพอเห็นเจียงตงเยี่ยถึงได้มีสีหน้าเป็นปกติ
หลังจากฟังบอสวังพูด ผู้จัดการฉินซิวเฉินนิ่งเงียบไปแล้ว “…”
แม้ตระกูลเจียงจะแข็งแกร่ง แต่เมื่อเทียบกับระดับยักษ์ใหญ่แห่งเอเชียอย่างอวิ๋นกวง…
ผู้จัดการอดไม่ได้ที่จะแหงนหน้ามองขึ้นฟ้า นี่มันหาที่เปรียบมิได้จริงๆ
**
วันนี้รายการวาไรตี้อัดเสร็จตอนห้าโมงเย็น แม้จะดีกว่าตอนที่ฉินหร่านอยู่ด้วยนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น การท่องเที่ยวสวนป่ายามค่ำคืนที่กองถ่ายรายการต้องการกลับไม่ปรากฏ…
บ้านสยองขวัญที่เตรียมไว้ก็ไร้ประโยชน์…
เนื่องจากฉินหร่านไม่อยู่ ทางรายการจึงดีใจถึงขนาดเตรียมแสงสีทุกรูปแบบไว้เสร็จสรรพ
ผู้กำกับจ้องฉินหลิงที่อยู่ในมอนิเตอร์อย่างเงียบๆ
สุดท้ายรองผู้กำกับก็ปลอบใจเขาว่า “ผู้กำกับ คุณลองคิดดูสิ เขาดีกว่าพี่สาวของเขาตั้งเยอะ! อย่างน้อยเมื่อคืนพวกเราก็ไม่ได้เปลืองสมองคิดอะไรมากมาย จริงไหม? ถ้าเป็นพี่สาวเขาล่ะก็ วันนี้พวกเราไปไม่ถึงแม้แต่ครึ่งสวนหรอก คงได้เลิกกองก่อนเวลาอีก!”
เมื่อได้ยินรองผู้กำกับปลอบใจ ผู้กำกับก็คิดว่ามีเหตุผลมาก
ไป๋เทียนเทียนที่อยู่ชั้นบนอาบน้ำเสร็จก็เปลี่ยนเสื้อผ้า เธอยังคงสวมแจ็คเก็ตบุนวม หน้าตาของเธอดูซีดเซียว ไม่รู้ว่าโดนความเย็นมาทั้งวันหรือเพราะมีเหตุผลอื่น
ผู้จัดการพยายามปลอบใจเธออยู่ข้างๆ “เธอเป็นคนดวงดีมาตลอด เชื่อฉันสิ อีกไม่กี่วันก็จะดีขึ้น”
ตอนนี้เขาไม่มีศิลปินอยู่ภายใต้การดูแลเลย หลังจากที่เขายกเลิกสัญญากับเถียนเซียวเซียวก็มาดูแลไป๋เทียนเทียนโดยเฉพาะ
ตอนนี้ไป๋เทียนเทียนเป็นเหมือนต้นไม้ผลเงินผลทองของเขา เขาจึงต้องกล่อมเกลาสภาพจิตใจไป๋เทียนเทียนให้มั่นคง
หลังจากปลอบใจไป๋เทียนเทียนเสร็จ ผู้จัดการก็ลงไปหากองผู้กำกับที่ชั้นล่างเพื่อลองดูท่าที
ทีมงานที่สนิทคนหนึ่งพาเขาไปที่ห้องตัดต่อ เขากับผู้จัดการไป๋เทียนเทียนค่อนข้างสนิทกัน มีทีมงานภายในหลายคนรู้เรื่องฉินหร่านและเถียนเซียวเซียวพอสมควร
“ในฐานะเพื่อน ฉันจะพูดความจริงกับคุณ” เขาลดเสียงลง “รีบๆ ยกเลิกสัญญากับไป๋เทียนเทียนเถอะ หลังจากอัดรายการเสร็จเธอจะถูกดอง”
“ทำไมล่ะ?” ผู้จัดการไป๋เทียนเทียนตกใจ “กองถ่ายรายการดันเทียนเทียนมากไม่ใช่เหรอ? ตกลงมีปัญหาอะไรกันแน่?”
“ดันเธอ?” ทีมงานยิ้มเยาะ “นั่นเพราะทีมงานระดับล่างเข้าใจผิดน่ะสิ คุณหนูฉินเป็นเพื่อนของประธานเจียงและยังเป็นเพื่อนของเถียนเซียวเซียว พอรู้ว่าเถียนเซียวเซียวมีเรื่องแค้นกับไป๋เทียนเทียนมานานก็เลยถามเรื่องไป๋เทียนเทียนกับประธานเจียง ต่อมาพวกลูกน้องถึงได้เดากันไปเองว่าประธานเจียงต้องการดันไป๋เทียนเทียน”
ผู้จัดการเม้มริมฝีปาก ภายนอกยังดูสงบเสงี่ยม แต่ในใจกลับเหมือนมีพลังมหาศาล เลือดไหลเวียนไปทั่วร่างกาย
“คุณรู้ไหมว่าต่อมาเป็นยังไง? ทีแรกกองถ่ายรายการก็ดันไป๋เทียนเทียนน่ะแหละ แต่น่าเสียดายที่พอเถียนเซียวเซียวที่เป็นตัวหลักมาถึง ผู้กำกับกลับไล่เถียนเซียวเซียวออกไปเสียก่อน ประจบไม่ถูกคน ไปประจบไป๋เทียนเทียนซะงั้น ไม่อย่างนั้นคุณคิดว่านายใหญ่อย่างประธานเจียงจะเดินทางไกลมาเมืองเล็กๆ นี้ทำไม? ไม่ใช่ว่าเพื่อมาขอโทษคุณหนูฉินหรอกเหรอ…”
ทีมงานซุบซิบนินทากันเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังมองผู้จัดการด้วยความเห็นอกเห็นใจ “เถียนเซียวเซียวเป็นคนแรกที่บริษัทตระกูลเจียงต้องการดันขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ สาวน้อยคนนี้หน้าตาสะสวย มีเอกลักษณ์โดดเด่น นิสัยก็ดี และยังเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เว่ยแห่งสมาคมเมืองหลวงอีกด้วย…ถึงเธอจะไม่ใช่ซุปตาร์ฉินคนต่อไป แต่ศิลปินที่เซ็นสัญญาแบบนี้ก็ไปได้ด้วยดี ผู้จัดการของเธอช่างโชคดีเสียจริงๆ ฉันจำได้ว่าทีแรกเถียนเซียวเซียวก็เซ็นสัญญากับคุณใช่ไหม? ทำไมจู่ๆ ถึงได้ยกเลิกสัญญากับเถียนเซียวเซียวแล้วไปเซ็นกับไป๋เทียนเทียนซะล่ะ? จะซวยไปแล้วมั้ง หรือพี่เวินนั่นบังคับคุณ?”
ทุกอย่างที่ผู้จัดการเคยสงสัยมาก่อนหน้านี้ ตอนนี้เขาได้ข้อสรุปทั้งหมดแล้ว
ว่าทำไมจู่ๆ ถึงดันไป๋เทียนเทียน ทำไมเรียกไป๋เทียนเทียนมาต้อนรับประธานเจียงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ที่แท้แล้วทั้งหมดนี้เป็นเพราะ…ดันผิดคน?
ผู้จัดการชะงักอยู่กับที่ ความหวาดหวั่นอย่างถึงที่สุดกระแทกเข้าหน้าอย่างจังราวกับมีเมฆครึ้มบดบังที่หน้าเขา
จากนั้นเขาก็ไม่มีแรงที่จะไปต่อว่าต่อขานกับกลุ่มผู้กำกับ เขาเดินกลับไปที่ห้องไป๋เทียนเทียนเหมือนซากศพเดินได้
ที่เขายกเลิกสัญญากับเถียนเซียวเซียวในตอนแรกนั้นก็เพราะทุ่มเทแรงกายแรงใจปั้นไป๋เทียนเทียนให้โด่งดัง ก่อนจะมาถึงวันนี้ เขารู้สึกโล่งอกที่ได้ยกเลิกสัญญากับเถียนเซียวเซียว เพราะไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่ประสบความสำเร็จอย่างตอนนี้ เขาคิดอย่างนั้นจนกระทั่งได้มาคุยกับทีมงานในวันนี้…
**
อาคารหลังเล็ก
เฉิงมู่กำลังเก็บของบางส่วนที่ใช้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
เจียงตงเยี่ยหลับไปได้สักงีบหลังจากกลับมา จนในที่สุดเขาก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขานั่งในลานชั้นล่าง “พรุ่งนี้กลับแต่เช้าเลยเหรอ?”
“ครับ” เฉิงมู่รูดซิปกระเป๋าเดินทางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ออกเดินทางตีห้าครึ่ง”
เจียงตงเยี่ยแยกขาเล็กน้อย เลื่อนดูวีแชท จากนั้นก็กดรูปโปรไฟล์กู้ซีฉือแล้วส่งข้อความให้เขา——
(คุณจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับตู้เย็นพวกนั้นไม่ได้…สำหรับคำขอบคุณบางคำ ถ้าไม่พูดออกมาก็คงสายเกินไป!)
“เช้าขนาดนั้นเลย?” เจียงตงเยี่ยมองอีกฝ่ายที่ไม่ตอบ เขาเอาโทรศัพท์วางไว้บนโต๊ะพลางเหลือบมองขึ้นไปชั้นบน จากนั้นก็ลดเสียงพูด
“คุณหนูฉินยังไม่ตื่น?”
“นี่ยังดี ตอนนี้เธอใจเย็นขึ้นตั้งเยอะแล้ว” เฉิงมู่คิดได้สักพักก็ตอบ
เจียงตงเยี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง “ใจเย็น…หรอ?”
“อื้อ เรื่องคุณวันนี้เธออดทนมาตั้งแต่ปีที่แล้ว” เฉิงมู่ปรายตามองเขา “คุณหนูฉินสามารถตีคุณให้ตายโดยไม่พูดอะไรสักคำได้ คุณลองไปถามคุณชายลู่ดูก็ได้ ตอนที่เขาอยู่อวิ๋นเฉิงก็เคยเห็นคุณหนูฉินยกพวกตีกันอยู่หลายครั้ง”
แน่นอนว่าครั้งนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องราวอะไร เพราะสถิติการชกต่อยตอนที่คุณหนูฉินอยู่มัธยมปลายปีหนึ่งปีสองถึงจะเรียกได้ว่าสุดยอด
นั่นเป็นเคสที่โหดที่สุดที่เขาเคยเจอ รายงานความประพฤติเกินสองหน้ากระดาษ และที่สำคัญเห็นๆ อยู่ว่าตัดออกได้แต่คุณชายเจวี้ยนก็กลับไม่ตัดทิ้ง จริงๆ แล้วไม่เหลือบตาดูเลยด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าเรื่องที่วุ่นวายที่สุดก็ยังเป็นทางฝั่งของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง ตอนที่เขาไปดำเนินการในตอนแรก ไม่คิดว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยเมืองหลวงจะชื่นชมคะแนนความประพฤติที่งดงามเหล่านี้ด้วยการเติมคำว่า “ผ่าน”
เฉิงมู่คิดอย่างเงียบๆ
คุยกันไม่ถูกคอก็ยกพวกตีกัน ??
เจียงตงเยี่ยฟังจบก็รินชาที่เย็นชืดให้ตัวเองอย่างเงียบๆ หลังจากรินลงไปก็รู้สึกหนาวเหน็บอีกครั้ง
ด้านนอก เถียนเซียวเซียวกับพี่เวินใช้เวลาทั้งวันในการอัดรายการ หลังจากอัดรายการเสร็จก็กลับมาหาฉินหร่าน
ฉินหร่านอยู่ชั้นบน เถียนเซียวเซียวทักทายเฉิงมู่และคนอื่นเสร็จก็ขึ้นไปชั้นบน
เนื่องจากพี่เวินเป็นผู้จัดการส่วนตัว เธอจึงมีวิธีการเข้าสังคมโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ผ่านไปได้สักพักเธอก็สอบถามแซ่สกุลของเฉิงมู่และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
หลังจากเถียนเซียวเซียวคุยกับฉินหร่านเสร็จแล้วลงมา ก็เห็นพี่เวินตัวแข็งทื่ออยู่ด้านล่าง
“พี่ไม่เป็นไรนะ?” เถียนเซียวเซียวถาม ตอนที่พี่เวินรู้จักเจียงตงเยี่ยก็ยังดูสุขุมมาก ทำไมตอนนี้ถึงเป็นแบบนี้ไปได้?
พี่เวินส่ายหน้าและเดินตามเถียนเซียวเซียวออกไป
จนกระทั่งเดินออกมาจากอาคารหลังเล็กได้ประมาณหนึ่งร้อยเมตร พี่เวินถึงได้ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
เถียนเซียวเซียวเอียงศีรษะเล็กน้อย “พี่เวิน พี่เป็นอะไรกันแน่เนี่ย?”
“เธอรู้ไหม คนขับรถคนนั้นที่ส่งพวกเรามา เขาแซ่อะไร?” พี่เวินดูใจลอยพลางมองไปทางอาคารหลังเล็กที่อยู่ด้านหลัง ไม่รอให้เถียนเซียวเซียวตอบก็พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เขาแซ่เฉิง”
**
ฐานทัพตระกูลเฉิงที่เมือง C
เฉิงมู่มาสอบถามสถานการณ์
หัวหน้าหน่วยที่สองกำลังตรวจนับสินค้าและกำลังคน พรุ่งนี้ต้องไปถึงสนามบินก่อนเจ็ดโมง สินค้าและกำลังคนตรวจนับเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงกำลังคนทีมเล็ก
นั่นเป็นคนของเฉิงเหราฮั่นที่อยู่ในเมือง C และเป็นแกนหลักในครั้งนี้ หัวหน้าหน่วยสองรู้ดีว่าถ้าเกิดปัญหาเมื่อไปถึงสนามบิน เฉิงเหราฮั่นก็อาจจะออกหน้าพลิกสถานการณ์
พอถึงเวลานั้น เฉิงเจวี้ยนก็จะเป็นคนที่ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ ส่วนเฉิงเหราฮั่นก็กลายเป็นคนพลิกสถานการณ์โดยไม่ให้สินค้าเสียหายมากและไม่ให้ตระกูลเฉิงเกิดการสูญเสีย
ดังนั้นเขาจึงเป็นคนส่งข่าวให้เฉิงเหราฮั่นในวันนั้น
เขาคาดการณ์ทั้งหมดไว้แล้วแต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด เฉิงเหราฮั่นไม่ยอมจัดการเฉิงเจวี้ยนตามที่คาดการณ์ไว้ สถานการณ์แย่ลงถึงขนาดแยกคนของเขาออกมา
หัวหน้าหน่วยสองขมวดคิ้วและเรียกหัวหน้าทีมย่อยมา
“หัวหน้าหน่วยสอง คุณชายใหญ่ของเราไม่ได้ทำการกุศล” หัวหน้าทีมย่อยมองหัวหน้าหน่วยสองคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “คุณชายสามไปยั่วให้เขาจัดการเอง คุณชายใหญ่ของเราไม่ได้เข้าไปแทรกแซงเสียหน่อย”
“นี่เป็นผลประโยชน์ส่วนรวมของตระกูลเฉิง คุณชายใหญ่เขา…” ปัจจุบันตระกูลเฉิงแตกแยกกันอย่างรุนแรง เฉิงเหราฮั่นเริ่มดึงคนเข้ามาเป็นพวกตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
หัวหน้าหน่วยสองคือกลุ่มแรกที่ยังคงรักษาความเป็นกลางมาตลอด เฉิงเหราฮั่นเคยส่งหัวหน้าทีมคนสนิทของตัวเองไปหาหัวหน้าหน่วยสองเป็นการส่วนตัว แต่หัวหน้าหน่วยสองก็ไม่มีการตอบรับ
“เมือง C ก็เป็นกองกำลังที่หัวหน้าหน่วยสองทุ่มเทมาแล้วหลายปี ถ้าคุณไม่อยากให้กองกำลังของคุณละลายไปกับน้ำเพียงเพราะการกระทำผิดอย่างเหิมเกริมของคุณชายสามล่ะก็ คุณก็สลัดกองภารกิจครั้งนี้ของคุณชายสามทิ้งไปแล้วมาเข้าร่วมกับพวกเราสิ รับรองว่าคุณชายใหญ่จะทำให้คนของคุณและสินค้าของคุณกลับไปยังเมืองหลวงอย่างครบถ้วน” หัวหน้าทีมย่อยกล่าวอย่างสงบเสงี่ยม
การเข้าร่วมกับคนของเฉิงเหราฮั่น นั่นหมายความว่าได้เลือกฝ่ายแล้ว หัวหน้าหน่วยสองมีใจภักดีต่อนายท่านเฉิงตลอดมา เขาทำเรื่องแบบนี้ไม่ลง
เขาตัดสินใจที่จะใช้ความผิดพลาดของเฉิงเจวี้ยนครั้งนี้เตือนสตินายท่านเฉิง
แต่แค่ว่าการเคลื่อนไหวของเฉิงเหราฮั่นอยู่นอกเหนือจากที่เขาคาดหมายไว้…
หัวหน้าหน่วยสองนั่งด้วยอาการเหม่อลอย เฉิงมู่ผู้ซึ่งถูกมองว่าเป็นฉากหลังมาโดยตลอดจิบชาอย่างใจเย็น “ผมต้องขอตัวกลับก่อน คุณหนูฉินยังมีธุระ หัวหน้าหน่วยสอง พรุ่งนี้มาให้ตรงเวลาด้วย”
เมื่อได้ยินเฉิงมู่กล่าวด้วยความสุขุม หัวหน้าหน่วยสองก็หวั่นใจ เขามองไปทางเฉิงมู่ด้วยความคาดหวัง “คุณชายสามไกล่เกลี่ยด่านตรวจหรือยัง?”
เฉิงมู่ทำหน้างุนงง “ด่านตรวจอะไร?”