หัวหน้าหน่วยสองใจหล่นไปที่ตาตุ่มทันที “ไม่ไกล่เกลี่ยด่านตรวจ คนและสินค้าของพวกเราก็ผ่านด่านตรวจไปไม่ได้น่ะสิ…”
“จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง? มีคุณชายเจวี้ยนอยู่ทั้งคน ของพวกนั้นทำเป็นไม่เห็นก็ได้” เฉิงมู่ทำหน้าจริงจัง ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณชายเจวี้ยนกระทำผิดโดยไม่เกรงกลัวอะไรที่สนามบินอยู่แล้ว
ได้ยินว่าคุณชายสามตระกูลเฉิงเป็นคนโง่ ไม่คิดว่าแม้แต่ลูกน้องก็โง่กันหมด…
หัวหน้าทีมย่อยมองเฉิงมู่ที่ทำหน้านิ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม นี่ยังคิดว่าที่นี่คือเมืองหลวงงั้นเหรอ? ทุกคนต้องเห็นแก่หน้าทายาทตระกูลเฉิงงั้นสิ? ถึงจะเป็นเมืองหลวง นายก็ผ่านด่านตรวจไปไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมือง C เลยด้วยซ้ำ
ทำเป็นไม่เห็น? นายจะทำเป็นไม่เห็นได้ยังไง? คนที่อยู่เบื้องหลังสนามบินไม่มีตัวตนอย่างนั้นเหรอ?
หัวหน้าทีมย่อยเหลือบมองเฉิงมู่พลางหัวเราะเยาะเย้ย
เขาเองก็ขี้เกียจจะฟังต่อ ในเมื่อหัวหน้าหน่วยสองไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อมของเขา เขาก็จะไม่พูดอีกต่อไป เดินออกจากห้องหนังสือไปโดยตรง
เฉิงมู่ดื่มชาเสร็จก็วางถ้วยชาลง จนกระทั่งหัวหน้าทีมย่อยปิดประตูห้อง เขาก็ชำเลืองมองหัวหน้าหน่วยสอง “อย่าลืมล่ะว่าลูกน้องและข้าวของของคุณจะขึ้นเครื่องพรุ่งนี้เจ็ดโมง พวกคุณต้องไปถึงสถานที่ที่ผมให้ไว้ตรงเวลา”
เป็นครั้งแรกที่เฉิงมู่จริงจังแบบนี้ หัวหน้าหน่วยสองก็ตกใจเช่นกัน เขาพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
หลังจากเฉิงมู่ออกไป
ลูกน้องหัวหน้าหน่วยสองก็เข้ามาสอบถามด้วยความกังวล “หัวหน้าหน่วยสอง พรุ่งนี้จะเอาพรรคพวกกับสินค้าทั้งหมดไปด้วยจริงๆ เหรอ…ถ้าคุณชายใหญ่ไม่ให้ความช่วยเหลือ พวกเราจะโดนเก็บอยู่ที่นั่นไหม?”
ถ้าโดนเก็บอยู่ที่นั่นกันหมด นั่นก็เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับหัวหน้าหน่วยสอง พอเขากลับไปยังตระกูลเฉิงก็แทบจะไม่มีกองกำลังเหลือเลย
หัวหน้าหน่วยสองครุ่นคิด ขณะกำลังใช้ความคิด สายตาก็บังเอิญไปเห็นถ้วยชาที่เฉิงมู่เพิ่งดื่มไป
ทันใดนั้นเขาผงะไปทั้งตัว
ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและหยิบถ้วยชาที่เฉิงมู่ดื่ม
เพล้ง——
ถ้วยชาร่วงลงบนโต๊ะทันที แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
แรงแบบไหนที่สามารถบีบถ้วยชาให้กลายเป็นแบบนี้ได้โดยไม่มีเสียงและการขยับเขยื้อน?
หัวหน้าหน่วยสองกลับมาคิดถึงคำพูดที่เฉิงมู่เคยพูดไว้ เขาตบโต๊ะ คิดอยู่นานก็พูดด้วยสายตาที่สั่นสะท้าน “พรุ่งนี้เช้าไปสนามบิน!”
**
ข้างนอก
ทันทีที่เฉิงมู่ออกมา เขาก็ก้มศีรษะและส่งข้อความถึงฉินหร่านด้วยสีหน้าไร้อารมณ์——
(คุณหนูฉิน ทำไมผมบีบถ้วยชาให้แตกต่อหน้าเขาไม่ได้ ที่จริงผมทำให้แหลกกว่านั้นได้อีก! ผมแอบบีบให้มันแตกแล้ว แต่ทำแบบนี้ เขาจะรู้หรือเปล่าว่าผมเป็นคนทำ? ผมคงไม่ได้ทำไปอย่างเปล่าประโยชน์หรอกนะ?)
ฉินหร่านไม่สนใจเขา
เฉิงมู่กังวลมากจึงไปถามเฉิงจินอีกครั้ง
เฉิงจิน (…)
เขาให้เฉิงมู่หุบปาก
**
วันรุ่งขึ้น เวลาตีห้า
กลุ่มของฉินหร่านและเฉิงเจวี้ยนออกเดินทาง เจียงตงเยี่ยก็กลับไปพร้อมกับพวกเขา
พอลงมาก็เห็นเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวจอดกลางสนาม
เจียงตงเยี่ยมองเฉิงเจวี้ยน “คุณชายเจวี้ยน อย่าบอกนะว่านี่คือยานพาหนะของพวกเราที่ใช้กันวันนี้…”
เฉิงเจวี้ยนยื่นกระเป๋าเดินทางของฉินหร่านให้เฉิงมู่ เมื่อได้ยินที่เจียงตงเยี่ยพูดก็เหลือบมองเขาอย่างเฉยชา “นายไม่ชอบเครื่องบินก็ไม่ต้องนั่งก็ได้”
เจียงตงเยี่ยคัดค้านอย่างไว “ไม่ใช่อยู่แล้ว แต่ฉันจำได้ว่าเมืองใหญ่ๆ แต่ละเมืองมีคำสั่งจำกัดเที่ยวบิน ฉันกลัวว่าเราจะโดนคุมตัว เรื่องแบบนี้เราทำที่เมืองหลวงก็พอแล้ว ทำที่เมือง C จะดูเอิกเกริกไปหรือเปล่า?”
เฉิงเจวี้ยนเหลือบมองเขาเมื่อฟังจบ
เจียงตงเยี่ยเข้าใจโดยอัตโนมัติว่าเขาหมายถึงอะไร : นี่เรียกว่าเอิกเกริก?
เจียงตงเยี่ย “…”
นาย ช่าง เกรี้ยว กราด เสีย จริง
เขาเดินตามเฉิงมู่ไปนั่งบนเครื่องบนเจ็ตส่วนตัวด้วยอารมณ์ซับซ้อน ระหว่างทางยังระแวงว่าจะโดนระเบิดหรือไม่ ไม่คิดว่าหลังจากผ่านไปสี่สิบนาทีจะมาถึงสนามบินโดยสวัสดิภาพ เจียงตงเยี่ยอยู่ในอาการใจลอย
“คุณชายเจวี้ยนของพวกนายได้รับคำสั่งบินตั้งแต่เมื่อไหร่?” เจียงตงเยี่ยเช็ดหน้าพลางมองมาทางเฉิงมู่
เฉิงมู่ประหลาดใจไปกันใหญ่ “คำสั่งบินคืออะไร?”
เจียงตงเยี่ยลอบมองสีหน้าเฉิงมู่แล้วพบว่าเฉิงมู่ไม่รู้เรื่องจริงๆ เขาจึงหรี่ตามองไปทางที่เฉิงเจวี้ยนเดินไป ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าการมาเมือง C ในครั้งนี้ถึงดูผิดปกติไปซะทุกอย่าง?
เจ้าหน้าที่สนามบินพาเจียงตงเยี่ยและเฉิงมู่ไปช่องทางเดินผู้โดยสาร ซึ่งต่างจากช่องทางเดินของผู้โดยสารทั่วไป…
ไม่มีการตรวจสอบสัมภาระของเจียงตงเยี่ย...
และไม่ต้องใช้บอร์ดดิงพาส…
เจียงตงเยี่ยตกใจ เมื่อสักครู่เขานึกอยากจะสอบถามเจ้าหน้าที่สนามบิน แต่กลับเห็นเฉิงมู่ดูนิ่งเงียบ ทำตัวตามปกติและยังยื่นของของตัวเองให้แอร์โฮสเตสอย่างสุภาพ ให้เธอจัดการเรื่องฝากของอย่างคุ้นเคย
“คุณชายเจียง เป็นอะไรไป?” เฉิงมู่เหลือบมองเจียงตงเยี่ย
เจียงตงเยี่ยที่เดิมทีอยากจะพูดอะไรบางอย่างเลือกที่จะหุบปากและไม่ถามอะไรต่อ เขาตามเฉิงมู่ไปขึ้นเครื่องโดยแสร้งทำเป็นนิ่ง “….ไม่มีอะไร”
**
ด่านตรวจในสนามบินโซนหนึ่ง
เฉิงเจวี้ยนยังคงต่อแถวซื้อชานมไข่มุกอย่างเอื่อยเฉื่อย
ช่วงเวลานี้คนในสนามบินมีไม่น้อย ข้างหน้าเฉิงเจวี้ยนยังมีอีกสิบกว่าคน
“เราไปหาหัวหน้าหน่วยคนนั้นก่อนดีกว่า” เนื่องจากสนามบินคนเยอะ ฉินหร่านที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาและไม่ได้ต่อแถวก็อดไม่ได้ที่จะกดหมวกลง “หกโมงครึ่งแล้ว เดี๋ยวพวกเขาขึ้นเครื่องไม่ทัน”
“ทัน” เฉิงเจวี้ยนล้วงมือข้างหนึ่งในกระเป๋าพลางเพ่งมองชานมอย่างเฉยชา “พวกเขาคงมีไม่เยอะหรอก”
หลังจากคำนวณดูอีกที ดวงตาที่ทั้งงดงามและเย็นชาก็หรี่ลงเล็กน้อย พูดอย่างไม่เร่งรีบ “น่าจะมีหัวหน้าหน่วยสองกับลูกน้องคนสนิทเขาสักยี่สิบถึงสามสิบคน เหลือเวลาให้พวกเขาสักสิบนาทีก็ได้ ไม่ต้องห่วง”
เฉิงเจวี้ยนเป็นคนตรงต่อเวลา เขาบอกเจ็ดโมงก็ย่อมไม่ให้คนรอนาน
ฉินหร่านผงะ เธอเงยหน้ามองเขา “คุณนับมาแล้ว?”
“แน่นอน” คนข้างหน้าไปแล้ว เฉิงเจวี้ยนจึงขยับขึ้นไปหนึ่งก้าว เมื่อเห็นฉินหร่านยังยืนอยู่กับที่โดยไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ เขาก็ลากเธอมาแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจ “คนของพี่ใหญ่คงขัดขวางอยู่ที่นี่”
ฉินหร่าน “อ้อ” เธอเหลือบมองคนที่อยู่ข้างหน้า หลังจากคำนวณเวลาแล้ว กว่าพวกเขาจะซื้อชานมมาได้ก็คงเหลือเวลาแค่สิบนาทีก่อนจะถึงเจ็ดโมง
เธออดไม่ได้ที่จะเอียงศีรษะแล้วถอนหายใจ “คุณชายเจวี้ยน”
เฉิงเจวี้ยนเหลือบมองเธอ “ว่าไง”
“ฉันไม่อยากดื่มแล้ว”
สองนาทีต่อมา ทั้งสองก็มาถึงภายในด่านตรวจโซนหนึ่ง
หัวหน้าหน่วยสองกับกลุ่มลูกน้องกำลังอยู่ข้างในด้วยความร้อนใจ
เมื่อวานเฉิงมู่ตั้งใจเตือนเป็นพิเศษว่าจะออกเดินทางเวลาเจ็ดโมง ดังนั้นพวกเขาจึงมาตั้งแต่ตีห้า ท้ายที่สุด ของของพวกเขาก็ต้องผ่านการตรวจสอบตามปกติ
แน่นอนว่าคนเยอะขนาดนี้ใช้เวลาตรวจหนึ่งชั่วโมงก็ไม่พอ
ดังนั้นพวกเขาจึงมากันตั้งแต่ตีห้า รอจนกระทั่งหกโมงครึ่งก็ยังไม่เห็นเฉิงเจวี้ยนกับเฉิงมู่แม้แต่เงา
“หัวหน้า คุณชายสามบอกว่าจะออกเดินทางตอนเจ็ดโมง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการตรวจสอบเลย ตกลงพวกเขารู้ขั้นตอนกันหรือเปล่า?” ลูกน้องหัวหน้าหน่วยสองมองไปที่ทางเข้า รอมาหนึ่งชั่วโมงกว่าก็เริ่มหงุดหงิด
ถึงจะตรวจตอนตีห้า พวกเขาก็แทบจะไม่มีเวลาพอ ตอนนี้อีกครึ่งชั่วโมงก็จะเป็นเวลาเจ็ดโมงแล้ว เฉิงมู่กับเฉิงเจวี้ยนยังไม่โผล่มาให้เห็นแม้แต่เงา…
หัวหน้าหน่วยสองก็กำลังคิดอยู่ว่าตัวเองโดนเฉิงมู่หลอกหรือเปล่า หรือเมื่อคืนเขาจะเข้าใจผิดไป?
เมื่อเห็นท่าทีของหัวหน้าหน่วยสอง ลูกน้องก็อดเหลือบมองเขาไม่ได้ “หัวหน้า ไม่ต้องพูดถึงปัญหาการตรวจ คุณชายสามได้ให้ข้อมูลลงทะเบียนกับคุณไหม? ส่งบอร์ดดิงพาสให้คุณหรือยัง?”
ของพวกนี้…
เมื่อคืนหัวหน้าหน่วยสองร้อนรนเพียงเพราะเห็นฝีมือของเฉิงมู่ เขาจึงไม่ได้พิจารณาถึงเรื่องพวกนี้ อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง
ลูกน้องเห็นท่าทีหัวหน้าหน่วยสองก็มองหน้ากัน
มีคนหนึ่งเอาบัตรประชาชนไปรูดบนเครื่องอัตโนมัติที่อยู่ไม่ไกล
ไม่มีข้อมูลขึ้นเครื่องอะไรทั้งนั้น
เขาหันมามองหัวหน้าหน่วยสองด้วยความงงงวย “หัวหน้า ไม่มีข้อมูลขึ้นเครื่องเลยครับ คุณพลาดชื่อผมไปหรือเปล่า?”
“เป็นไปได้ยังไง?” หัวหน้าหน่วยสองเป็นคนตรวจสอบรายชื่อทีละคน
เขาเอาบัตรประชาชนของตัวเองลองไปรูดเอาเอกสารข้อมูล ข้อมูลเที่ยวบินในนั้นก็ว่างเปล่าเช่นกัน
คุณชายสามไม่ได้จัดเครื่องบินให้พวกเขาเลยเหรอ?
หัวหน้าหน่วยสองไม่ค่อยเชื่อ เขาจึงถือบัตรประชาชนเดินไปที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ที่ห่างออกไปสิบเมตร เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์นำบัตรประชาชนของเขามาตรวจสอบ จากนั้นก็มองหน้าหัวหน้าหน่วยสองด้วยท่าทางจริงจังแฝงไปด้วยความประหลาดใจ “คุณบอกว่าพวกคุณยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งอยู่ที่โซนหนึ่งเหรอคะ?”
“รอสักครู่นะคะ” เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์รีบโทรเรียกทีม รปภ. มาทันที
เมื่อลูกน้องที่เดิมทีกำลังรออยู่ที่โซนหนึ่งด้วยความร้อนอกร้อนใจเห็นหัวหน้าหน่วยสองทำหน้าหดหู่เดินมาพร้อมกับรปภ.ก็ต่างพากันตกตะลึง
รปภ.ได้ทำให้ตรงนี้กลายเป็นจุดสนใจแล้ว เขาพูดกับเครื่องอินเตอร์คอมเพื่อทำการกั้นเขต
เมื่อหัวหน้าหน่วยสองเห็นรปภ.เหล่านี้ก็รู้สึกเวียนหัว เขาเบี่ยงตัวมองลูกน้องที่มีใบหน้าสิ้นหวังและท้อแท้ ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจเมื่อคืน
ลำพังตัวเองก็ไม่เป็นไร แต่สถานการณ์แบบนี้ เขาไม่ยอมให้ลูกน้องเหล่านี้และสินค้าต้องมา…
“หัวหน้าหน่วยสอง คุณชายสามล่ะ? เฉิงมู่ล่ะ? คุณโทรหาพวกเขาสิ!” ลูกน้องคนสนิทกระซิบเตือน
หัวหน้าหน่วยสองหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพลางยิ้มอย่างขมขื่น ในใจหนักอึ้ง โทรหาเฉิงเจวี้ยนในเวลานี้ก็พึ่งพาไม่ได้…
ขณะที่เขากำลังกดเปิดบันทึกการโทรก็เห็นคำว่า “คุณชายใหญ่” บนหน้าจอ ช่วงเวลาที่ในใจกำลังต่อสู้กันอย่างหนัก——
ที่หน้าประตูก็มีเสียงชัดแจ๋วลอยเข้ามา “ที่นี่?”
เฉิงเจวี้ยนตอบเพียง “อืม” จากนั้นก็มองไปทางโซนหนึ่ง เขาคำนวณมาแล้วว่าน่าจะมีประมาณยี่สิบแปดคน แต่พอเงยหน้าขึ้นมามองก็เห็นคนหลายร้อยคน
เขาถึงกับชะงัก
หัวหน้าหน่วยสองและคนอื่นๆ ต่างก็เงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว