หัวหน้าหน่วยสองรอมานานมากจนกระทั่งเฉิงเจวี้ยนมาถึง
เขามองไปที่ด้านหลังเฉิงเจวี้ยนก็พบว่าเฉิงเจวี้ยนไม่ได้พาบุคลากรระดับสูงของสนามบินมาด้วย ใจเต้นตึกตักราวกับจะหลุดออกมาให้ได้
หัวหน้าหน่วยสองเป็นคนนำกองกำลังในเมือง C ออกมาทีละเล็กทีละน้อย เดิมเป็นเพราะเฉิงมู่ตั้งความหวังไว้กับเฉิงเจวี้ยน คิดว่าถ้าเฉิงมู่เก่งแบบนี้ บางทีเขาอาจจะเชื่อในสายตาของนายท่านเฉิงดูสักตั้ง…
“คุณชายสาม พวกเรารีบถอยกันก่อนดีกว่า” หัวหน้าหน่วยสองมองเฉิงเจวี้ยนด้วยสายตามืดมนเล็กน้อย “เอากลับมาได้มากเท่าไหร่ก็สูญเสียน้อยเท่านั้น…”
เฉิงเจวี้ยนละสายตามองมาที่กลุ่มคน หลังจากชะงักอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ขนตายาวพับลงปกปิดแววตา เหมือนกับว่ากำลังส่งข้อความออกไป
เขาทำราวกับไม่ได้ยินที่หัวหน้าหน่วยสองพูด
เมื่อหัวหน้าหน่วยสองเห็นเฉิงเจวี้ยนยังคงชักช้ายืดยาด และด้านหลังเฉิงเจวี้ยน
รปภ.คนนั้นก็เพิ่งกดเพจเจอร์ไป
ตรงประตู รปภ.จำนวนมากเข้ามากันอย่างชุลมุนพร้อมด้วยอาวุธและเครื่องมือ
สีหน้าใจเย็นของหัวหน้าหน่วยสองเริ่มแตกระแหงอีกครั้ง “คุณชายสาม เมือง C ไม่ใช่ถิ่นของเรา คนที่อยู่เบื้องหลังสนามบินเป็นถึงผู้มีอำนาจใหญ่ พวกเราจะมาเบ่งอำนาจในถิ่นของคนอื่นไม่ได้ พวกเขาเคร่งครัดกับการขนส่งสินค้าต้องห้ามมาก ถ้าพวกเขาใช้กำลังบังคับหักเงิน นายท่านก็ไม่มีหนทางที่จะ…”
แน่นอนว่ากองกำลังนี้ทำให้คนหวาดกลัว
ตอนแรกที่นายท่านเฉิงสั่งให้เฉิงเจวี้ยนมา หัวหน้าหน่วยสองก็กังวลว่าเฉิงเจวี้ยนจะไม่คุ้นเคยกับกระบวนการขั้นตอน ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าเฉิงเจวี้ยนจะไม่คุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้จริงๆ
เขาพูดถึงขนาดนี้ เฉิงเจวี้ยนก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย เพียงมองไปทางฝั่งซ้ายของหัวหน้าหน่วยสอง
“คุณชายสาม!” เมื่อหัวหน้าหน่วยสองเห็นเจ้าหน้าที่รปภ.ในชุดเครื่องแบบเหล่านั้น เขาก็คิดว่าคราวนี้ได้สร้างความเสียหายต่อตระกูลเฉิงและเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่จงรักภักดีกลุ่มนี้ไปเสียแล้ว เขาทนไม่ไหวอยากจะผูกคอตายเสียตรงนี้ ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ทีแรก ถึงเขาจะยอมจำนนต่อเฉิงเหราฮั่น สถานการณ์ก็ยังจะดีกว่าตอนนี้
ขณะที่หัวหน้าหน่วยสองกำลังรู้สึกผิดและตำหนิตัวเองอยู่ ทันใดนั้นก็มีเสียงอ่อนแรงดังมาจากข้างหลังเขา “หัวหน้าหน่วยสอง…พวกเขาไปแล้ว ประตูก็เปิดแล้วด้วย…”
หัวหน้าหน่วยสองหันไปมองทางด้านนั้นซึ่งเป็นทิศทางที่เฉิงเจวี้ยนเพิ่งมองออกไป ประตูช่องทางเดินที่ปิดสนิทมาตลอดได้เปิดออกแล้ว
ในขณะเดียวกัน พวกรปภ.ที่เพิ่งเข้ามาเมื่อสักครู่ดูเหมือนจะได้รับคำสั่งและพากันทยอยออกไปหมดแล้ว…
นี่มันอะไรกัน?
กลุ่มหัวหน้าหน่วยสองมองไปที่ทางเดินขึ้นเครื่องพลางสบตากัน
“เข้าไปเถอะ” เฉิงเจวี้ยนยกมือขึ้นดูเวลาในโทรศัพท์ ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงสี่สิบนาที เหลือเวลาอีกไม่มาก เมื่อเห็นหัวหน้าหน่วยสองและคนอื่นไม่มีความเคลื่อนไหวก็พูดว่า “เครื่องออกเจ็ดโมงตรง”
หัวหน้าหน่วยสองและกลุ่มของพวกเขาจึงรีบดำเนินการ
ไม่มีบอร์ดดิงพาส ไม่มีการดำเนินการตรวจสอบ ไม่มีปัญหาจุกจิก เข้าไปทั้งอย่างนี้เลยหรอ?
เมื่อสักครู่นี้รปภ.ก็จากไปโดยไม่มีการบอกกล่าวแม้แต่น้อย
หัวหน้าหน่วยสองอดไม่ได้ที่จะหันกลับไป เฉิงเจวี้ยนและผู้หญิงข้างๆ ออกไปแล้ว ไม่มีการพูดคุยตั้งแต่ต้นจนจบและไม่มีการใช้คำพูดตีสนิทกับพวกเขา
“หัวหน้าหน่วยสอง คุณชายสามเขาทำได้ยังไง?” ลูกน้องหยิบรายชื่อตรวจสอบ
หัวหน้าหน่วยสองเม้มริมฝีปาก เขาเอียงศีรษะเหลือบมองลูกน้องด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สภาพร่างกายนายท่านแย่ลงเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าจะต้องเลือกฝ่ายแล้ว…
**
ด้านนอก
เฉิงเจวี้ยนดูเวลาแล้วยังเหลืออีกยี่สิบนาที มีเที่ยวบินหนึ่งได้เริ่มขึ้นเครื่องกันแล้ว ตอนนี้คนต่อแถวซื้อชานมก็น้อยลงแล้ว
เขาคว้าตัวฉินหร่านเข้าแถวอีกครั้ง
เงียบมาตลอดระหว่างทาง
คราวนี้ต่อแถวห้านาทีก็ซื้อมาได้ เฉิงเจวี้ยนรับมาและหยิบโทรศัพท์มาสแกน เสียบหลอดดูดลงไป ยื่นให้ฉินหร่าน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาจับจ้องฉินหร่านนิ่งๆ
ฉินหร่านรับมา ละสายตาออกไป “ไป ขึ้นเครื่อง”
“ไปอะไรกัน” เฉิงเจวี้ยนเดินตามหลังเธออยู่หนึ่งก้าว อยู่ใกล้กันมาก เอามือกอดอกเหมือนคิดอะไรได้ เขายิ้มเบาๆ “ลำพังเฉิงมู่น่าจะไม่มีสมองพอที่จะทำให้พวกเขามาที่นี่ได้มากมายในวันนี้”
ฉินหร่านรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเฉิงเจวี้ยนกับตระกูลเฉิงซับซ้อนมาก
ฉินหร่านเคยสืบเรื่องเขามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ขุดอะไรไม่เจอนอกจากการปรากฏตัวครั้งแรกในสถานที่แปลกๆ อย่างห้องพยาบาลประจำโรงเรียน…
ต่อมาก็ไม่ได้ลงมือสืบเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังของเขา
ดูเหมือนเขาจะไม่ได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเฉิงเลย ช่วงอายุก็ห่างจากเฉิงเวินหรูและเฉิงเหราฮั่นมาก
เหมือนกับว่าไม่สนใจกิจการและไม่สนใจเรื่องใดๆ เลยด้วยซ้ำ แต่เขาใส่ใจเรื่องที่เกี่ยวกับเฉิงเวินหรูมาก ถึงขนาดทุ่มเทดึงตัวเธอมาเปิดบริษัท
ส่วนตระกูลเฉิงนั้น…
ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจ แต่ครั้งนี้เป็นเพราะกองกำลังทางฝั่งหัวหน้าหน่วยสอง เขาจึงใช้กำลังทรัพย์ไม่น้อยในการวางแผนทั้งหน้าทั้งหลังไปมาก
เห็นๆ อยู่ว่าหัวหน้าหน่วยสองและกลุ่มคนเหล่านี้กำลังลังเลสองจิตสองใจ ไม่ค่อยเหมือนคนรู้ความ คิดมาก
เธอยังไม่ได้ทำอะไร ก็แค่ให้เฉิงมู่บีบแก้วแตก
ฉินหร่านกัดหลอดดูดพลางเงยหน้ามองฟ้า ใช้มือขวาที่ยังว่างอุดหูขวาไว้
เฉิงเจวี้ยนค่อยๆ ดึงมือที่ปิดหูขวาของเธอออกอย่างใจเย็น “เมื่อวานเธอให้เฉิงมู่ทำอะไร?”
ในที่สุดฉินหร่านก็หันหน้ามามองเขา พูดเพียงสองคำ “หุบปาก”
เธอยังคาบหลอดดูดโดยที่มือยังถือชานมอย่างเฉยเมย แสงไฟที่สนามบินสว่างตลอดเวลา สะท้อนหว่างคิ้วของเธอ คิ้วเอาแต่ใจปกคลุมไปด้วยแสงหิมะ งดงามสดใส บางครั้งชัดเจน บางครั้งเลือนราง
เฉิงเจวี้ยนไม่อยากจะพูดอะไรอีกเพราะเขารู้ว่าคนคนนี้ความอดทนต่ำ แต่เมื่อมองไป มือกลับหยุดชะงัก เขาไม่รู้ว่าในใจรู้สึกอย่างไร เขาเพียงโน้มตัวลงเล็กน้อย โอบเธอจากด้านหลัง
ขนตาที่งดงามคู่นั้นพับลง โหนกคิ้วคมชัด ดวงตาที่หลุบลงดูค่อนข้างจริงจัง “เจ๊หร่าน ฉันถามเธออีกหนึ่งคำถามได้ไหม?”
ฉินหร่านดูดชานมไปหนึ่งอึก พอได้ยินเขากำลังถามคำถามเธออย่างจริงจัง เธอก็เหลือบมองเขาแล้วคิดอยู่สักพักก่อนจะตอบเขาไป “ถามมา”
เสียงประกาศในสนามบินดังขึ้น——
“ผู้โดยสารที่จะเดินทางไปเมืองหลวงโปรดทราบ ท่านที่นั่งเที่ยวบิน MA7737 กำลังจะเริ่มออกเดินทาง โปรดตรวจสอบสัมภาระของท่าน แสดงบัตรโดยสาร และขึ้นเครื่องบินที่ประตู 17…”
มีคนสัญจรเป็นจำนวนมาก เสียงจึงผสมปนเปกันไปหมด
แสงและเงายามรุ่งสาง
เฉิงเจวี้ยนก้มหน้ามองเธอ ขนตายาวสั่นระริก ดวงตาเฉิงเจวี้ยนหลุบลง นัยน์ตาดำขลับที่สวยงามขับรอยยิ้มที่แฝงไว้ “ตอนนี้เธอหาแฟนอยู่หรือเปล่า?”
ก่อนที่ฉินหร่านจะตอบ เขาก็ลดเสียงลงพูดอย่างใจเย็น ไม่เร่งรีบ “พิจารณาฉันหน่อยได้ไหม?”