หลังจากให้การที่สถานีตำรวจ ถังหนิงและคนอื่นๆ ก็ก้าวออกมาพบว่านักข่าวออกันอยู่ด้านนอก การปะทะกันอย่างโจ่งแจ้งอย่างเช่นในวันนี้ไม่ได้เห็นกันได้บ่อยในวงการ สื่อมวลชนจึงต้องการได้ยินจากปากของผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง
“ซิงหลาน ลัวเซิง กลับบ้านกันไปก่อนนะ พวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
ทั้งสองคนมองหน้ากันก่อนพยักหน้ารับ “โอเคค่ะ พี่หนิง”
หลินเฉี่ยนถูกหลี่จิ่นคุ้มกันเอาไว้ ลู่เช่อคอยปกป้องหลงเจี่ยอยู่ และแน่นอนว่าถังหนิงอยู่ในอ้อมแขนของโม่ถิง ไม่ว่าในเวลาใด ตราบใดที่เธออยู่ในอ้อมกอดของเขา ถังหนิงจะรู้สึกอุ่นใจอยู่เสมอ
นักข่าวกรูเข้าไปข้างหน้าและหันกล้องไปทางถังหนิงกับโม่ถิง
“ถังหนิงคะ คุณคิดยังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ซึ่งในวงการเรียกกันว่าการชิงดีชิงเด่นคะ”
“มีหลักฐานที่ชัดเจนถึงการแก้แค้นของประธานฟ่านในวันนี้ พอจะบอกเราได้ไหมครับว่าคุณต้องการอะไรจากเขา”
“ถังหนิง…”
อยู่ๆ เธอก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายขึ้นมาเมื่อได้ยินคำถามที่หลอกล่อและเหลี่ยมจัดเช่นนี้ สื่อต้องเรียกร้องความสนใจกันถึงเพียงนี้เลยหรือ
“ฉันยังไม่ได้ยินเรื่องการชิงดีชิงเด่นอะไรเลยนะคะ ถ้าฉันได้ยิน ฉันจะบอกให้ทุกคนทราบว่าฉันรู้สึกยังไงก็แล้วกันค่ะ
“สำหรับคำถามต่อมา ฉันไม่ได้ต้องการอะไรจากประธานฟ่านสักนิดเลยค่ะ ทุกอย่างจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย ฉันไม่ต้องการให้มือของฉันสกปรกหรอกค่ะ
“ส่วนคำถามอื่นๆ ฉันหวังว่าคุณควรคิดให้ดีก่อนที่จะถามฉันออกมานะคะ…
“เพราะฉันจะไม่ให้คำตอบอย่างที่คุณต้องการแน่นอน”
นักข่าวถือไมโครโฟนค้างเอาไว้ขณะที่ทำเพียงมองหน้ากัน พวกเขาหวาดกลัวกับคำตอบที่แข็งกร้าวของถังหนิง จนกลืนทุกคำถามที่ต้องการถามลงไป
“หลบไปได้แล้วครับ!”
ทันทีที่นักข่าวได้ยินโม่ถิงว่าดังนั้น ก็พากันสะดุ้งโหยงถอยหลังกลับไปสองสามก้าว หลีกทางให้อย่างไม่รู้ตัว
ไม่ว่าพวกเขาจะต้องการคำตอบจากถังหนิงมากเท่าไร กลับไม่มีใครกล้าเข้ามาลองดีกับเธอ
“ถังหนิง ทำไมคุณไม่ให้ความร่วมมือกับสื่อเลยล่ะครับ” ใครบางคนพลันถามขึ้น น้ำเสียงเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ…
“มันลำบากการทำงานของเรานะครับ
“มีประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของศิลปินของคุณกับสื่อมาตลอด ถ้าคุณไม่ให้ความร่วมมือกับเรา คุณจะได้รับความเกลียดชังและสื่อก็จะใส่ความคุณนะครับ คนที่มีไหวพริบอย่างคุณน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีใช่ไหมครับ”
ถังหนิงมองตรงไปยังคนที่กำลังพูดอยู่และระเบิดหัวเราะออกมา
“ฉันพูดได้แค่ว่าฉันจะไม่ให้ความร่วมมือกับนักข่าวที่ไม่เป็นมืออาชีพหรอกนะคะ คุณอยากให้ฉันร่วมมือกับคุณแต่กลับตั้งคำถามโจมตีอย่างนี้ เหมือนกับคุณกำลังคาดหวังให้ใครบางคนตอบรับคำต่อว่าของคุณเลยนะ
“คุณไม่สังเกตบ้างเหรอว่าสื่อเป็นตัวยุยงเรื่องวุ่นๆ ได้ดีที่สุดน่ะ แล้วคุณแน่ใจเหรอว่าสื่อไม่ได้ทำสิ่งที่เรียกว่าการชิงดีชิงเด่น
“งานของคุณลำบาก แล้วงานของฉันล่ะคะ
“เพียงเพราะว่าคุณอ่อนแอเลยหมายความว่าเป็นฝ่ายถูกต้องเหรอยังไง
“ถ้าให้ฉันต้องนึกถึงหน้าที่การงานของคุณ แล้วฉันต้องเป็นห่วงค่าแรงและช่วยเหลือครอบครัวของคุณด้วยไหมคะ
“ฉันอาจจะเลือกไม่ให้ความร่วมมือกับสื่อแต่ฉันจะไม่ห้ามคุณตีไข่ใส่สีฉันหรอกค่ะ ถ้าสื่อไม่รู้จักตัดสินสถานการณ์อย่างเป็นกลาง งั้นคุณก็สามารถกุข่าวลืออะไรก็ได้ตามใจคุณเลยค่ะ และฉันจะไม่ขวางอะไรทั้งนั้น
“แต่อย่าหวังว่าให้ฉันร่วมมือกับคุณเลย
“แม้แต่คุณยังให้เกียรติกันบ้างโดยการเสนอข่าวอย่างเป็นกลางไม่ได้เลย!
“แล้วยังจะคิดจะให้ฉันรับหน้าคุณด้วยรอยยิ้มอีกเหรอคะ”
พูดจบ ถังหนิงและคนอื่นๆ ก็เดินจากไป ถังหนิงสูดหายใจลึกเมื่อเธอก้าวขึ้นรถ ทว่าไม่นานก็ได้รับสายจากประธานฟ่าน หลังจากการปะทะกันก่อนหน้านี้ของพวกเขา ถังหนิงคาดเดาได้ว่าเขากำลังจะพูดอะไรและโทรมาเพื่อจุดประสงค์ใด
“ไม่เอาน่า ประธานถัง อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่สิ เราต้องการเป็นมิตรถ้าได้เจอกันครั้งหน้านะครับ”
“ประธานฟ่าน มีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะค่ะ” ถังหนิงขี้เกียจจะอ้อมค้อม
“เอาอย่างนี้ไหมล่ะครับ เราถอยกันคนละก้าวและปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป คุณถอนฟ้องแล้วผมสัญญาว่าจะไม่ตามรังควานคุณอีก เอาแบบนี้เป็นยังไงครับ”
“ฉันไม่เก็บมันมาคิดมากหรอกค่ะ” ถังหนิงบอกปัด “เพราะฉันไม่กลัวที่จะถูกคุณหาเรื่องอยู่แล้ว”
“โอ้…ประธานถัง คิดเรื่องนี้ให้ดีๆ นะครับ คุณมั่นใจเหรอว่าจู้ซิงมีเดียอยากจะเอาเรื่องด้วยตัวเองน่ะ คุณก็รู้ว่าผมใหญ่ในวงการนี้แค่ไหน ไม่กลัววิธีของผมบ้างเหรอครับ ผมไม่ใช่คนดีอย่างคุณนะ ผมเดินบนเส้นทางที่แตกต่างกับคุณแล้วก็ร้ายกาจไม่น้อยเลยล่ะ”
“แทนที่จะเสียเวลามาเจรจากับฉัน คุณน่าจะกังวลเรื่องการรักษาตำแหน่งของตัวเองในบริษัทของคุณดีกว่าค่ะ” ถังหนิงเอ่ยก่อนวางสาย
คนดีเหรอ
ถังหนิงอดขำกับคำนี้ไม่ได้ ประธานฟ่านคิดผิดแล้ว เธอไม่ใช่คนดีสักหน่อย เธอเป็นเพียงคนที่รู้ขอบเขตของตัวเองและไม่ได้ทำร้ายคนที่ไม่ได้โจมตีเธอก่อนเท่านั้น
หากมีใครเริ่มจู่โจมเธอก่อน ก็อย่ามาโทษเธอที่ตอบโต้กลับไปเพื่อปกป้องตัวเอง
“คุณต้องเหนื่อยแล้วแน่ๆ กลับบ้านแล้วพักสักหน่อยนะครับ” โม่ถิงเอ่ยขณะที่มองท่าทีอ่อนล้าของเธอ
“ถิงคะ…พาฉันไปที่กองถ่ายทีค่ะ ฉันอยากเห็นว่าอันจื่อเฮ่าทำงานไปถึงไหนแล้ว” ถังหนิงตอบ “อย่างที่คุณรู้ว่าฉันทุ่มเทกับมดราชินีมามาก เฉียวเซินเองก็เสียสละชีวิตเพื่อมัน ฉันไม่อยากเห็นอุบัติเหตุเกิดขึ้นอีกน่ะค่ะ”
“ตอนนี้ร่างกายของคุณสำคัญที่สุดนะครับ” โม่ถิงว่าก่อนที่ขับรถตรงกลับไปที่บ้านและพาเธอเข้านอน “ผมรับปากว่าหลังจากคุณตื่นมา ผมจะพาคุณไปที่กองถ่ายทันทีนะครับ”
เพื่อไม่ให้เขาต้องเป็นห่วง ถังหนิงพยักหน้าและฝืนตัวเองให้นอนหลับ
หากแต่เธออดไม่ได้ที่จะคิดถึงใบหน้าของเฉียวเซินขณะที่เขานอนอยู่ในโลงศพพอๆ กับทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้านนอกห้องโถงไว้ทุกข์และความกดดันจากสื่อมวลชน เมื่อคิดถึงเรื่องทุกอย่างก็ชวนให้เธอเหนื่อยล้าเหลือเกิน
หลังจากหญิงสาวผล็อยหลับไป โม่ถิงก็ออกมาจากห้องนอนและเข้าไปในห้องทำงาน จากนั้นจึงต่อสายหาลู่เช่อ “บอกให้ฟังอวี้จัดการแก้ข่าว ฉันไม่ต้องการได้ยินว่าถังหนิงเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของเฉียวเซินอีก”
โม่ถิงรู้สึกเจ็บปวดในใจเมื่อเห็นท่าทีอ่อนล้าของถังหนิง
“จัดการให้อยู่หมัด แล้วก็ล่าตัวนักข่าวที่สร้างความวุ่นวายวันนี้มาด้วย ทำให้เขาหายไปจากวงการซะ ใช้เขาเป็นตัวอย่างให้เพื่อนร่วมอาชีพของเขาเห็น
“ต่อไปนี้บอกให้ฟังอวี้จัดการกับข่าวของถังหนิงได้ทันที ยังไงเธอก็เป็นศิลปินของไห่รุ่ย นี่จึงเป็นคำสั่งที่สมควรแล้ว”
“รับทราบครับท่านประธาน” ลู่เช่อขานรับ
สุดท้ายโม่ถิงก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้ามายุ่มย่ามกับการทำงานและการตัดสินใจของถังหนิง หัวใจเขาก็ยังคงเจ็บปวดทุกครั้งที่เธอถูกทำร้าย
ดังนั้นหลังจากที่ไห่รุ่ยเข้ามาเกี่ยวข้อง คนภายนอกจึงไม่พูดว่าถังหนิงเป็นต้นเหตุของการเสียชีวิตของเฉียวเซินอีกต่อไป มีเพียงเรื่องวุ่นวายที่ประธานฟ่านก่อขึ้นด้านนอกพิธีรำลึกเท่านั้นที่ถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็น
โม่ถิงไม่เพียงแต่จะต้องการให้ประธานฟ่านถูกวิพากษ์วิจารณ์และเป็นตัวตลกเท่านั้น แต่ยังอยากให้ตกเป็นหัวข้อในการค้นหายอดนิยมอยู่ตลอดอีกด้วย