ในตอนที่งูขาวกำลังตั้งใจตวัดหางนั้นหมิงเวยได้ย้ายตัวออกไปจากที่ตรงนี้นานแล้ว นางเป่าเสียงนกหวีดเรียกม้าสิงโตหยกจากนั้นก็ขี่ม้าออกไปจากที่นี่ แต่นางไม่รีบเร่งไปหาหยางชู
รหัสลับที่หนิงซิวบอกมานั้นชัดเจนมากพวกเขาตั้งใจหลอกล่ออีกฝ่าย และเดินทางต่อไปยังที่ที่หมายกำหนดไว้
หมิงเวยสงสัยว่ามันหมายความว่าอย่างไร หนิงซิวบอกว่าอีกฝ่ายคิดร้าย แต่จงใจทำเป็นปรารถนาดี จากการวิเคราะห์ของพวกเขาหยางชูสามารถทำให้ผู้คนเดือดร้อนได้ เพื่อชาติกำเนิดของเขาเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพวกเขาอาจเป็นศัตรูโดยจงใจแสร้งทำเป็นมีเจตนาดี
แสร้งอย่างไรวิธีที่ง่ายที่สุดคือแกล้งทำเป็นเกี่ยวข้องกับซือฮว๋ายไท่จื่อ
มีเพียงผู้ที่เกี่ยวข้องกับซือฮว๋ายไท่จื่อเท่านั้นที่จะมีความปรารถนาดีต่อหยางชู แล้วเหตุใดต้องไปที่ที่หมายที่กำหนดไว้ต่อด้วยความเป็นไปได้จากที่คำนวณเอาไว้มีอยู่สองอย่าง…
นางใช้ดวงอาทิตย์เพื่อระบุตำแหน่ง และรีบวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่หยุด
เนื่องจากนางไม่เก่งในการใช้ทิวทัศน์แยกแยะตำแหน่งจึงเดินเป็นเส้นตรงไปตลอดทาง ในทางกลับกันนางใช้เส้นทางที่เร็วกว่ากลุ่มของหยางชูเดินทางเช่นนี้ไปสองชั่วยามในที่สุดนางก็เห็นยอดเขา เพราะการเผชิญหน้าระหว่างทางทำให้เวลาล่าช้าไปคนของจงรุ่ยอยู่ห่างจากนางไม่มากนัก
ร่างของนางปรากฏขึ้นซึ่งจงรุ่ยเองก็เห็น
“หยุดนาง!” จงรุ่ยตะโกนสั่ง ทันทีที่คนของเขาเข้ามาใกล้หมิงเวยเห็นเช่นนั้นจึงหันม้ากลับแล้ววิ่งมาทางนี้
เมื่อนางเข้ามาใกล้ทำให้ทหารของจงรุ่ยไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงทำได้เพียงเดินตามนางกลับมารอนางชะลอความเร็วลงค่อยหยุดนาง
หมิงเวยไม่ได้ให้โอกาสพวกเขานางตะโกนขึ้นโดยไม่ชะลอฝีเท้า “คุณชายจง ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย!”
จงรุ่ยยกมือห้ามทหารของตนด้วยท่าทีเคร่งขรึม พริบตาเดียวหมิงเวยก็มาหยุดตรงหน้าเขาแล้ว นางดึงบังเหียนอย่างแรงสั่งม้าให้หยุดลง
จงรุ่ยตะโกนขึ้นในใจว่างดงามมากเขามองม้าสิงโตหยกที่นางขี่อย่างอิจฉา นี่เป็นสัตว์ชั้นเยี่ยม! เขารู้ว่าจวนโป๋วหลิงโหวมีม้าสำหรับขี่เช่นนี้อยู่หนึ่งตัว แต่เขาไม่คิดว่าคุณชายหยางจะเต็มใจยกให้นางขี่ เขาช่างหลงสตรีอย่างหัวปักหัวปำจริงๆ! ไม่รู้ว่าท่านพ่อจะให้ความสำคัญอะไรเขาเพียงนั้น
“คุณชายจง” หมิงเวยเปิดปากพูด “ท่านว่าคนลอบซุ่มโจมตีอยู่แถวนี้ใช่หรือไม่”
จงรุ่ยตกใจ แต่ใบหน้าของเขายังดูสงบ “แม่นางหมายความว่าอย่างไร พวกเราตระกูลจงรังเกียจกลอุบายเช่นนี้แน่นอนว่าการแข่งขันยุติธรรมกว่า!”
หมิงเวยพูด “การแข่งขันมีความสำคัญอย่างไรท่านส่งคนซุ่มโจมตีไม่ใช่เพื่อลอบทำร้ายเขา แต่กลัวว่าเขาจะถูกลอบทำร้ายใช่หรือไม่”
จงรุ่ยตกตะลึงเมื่อไตร่ตรองคำพูดของนาง และเห็นสายตาของนางเหมือนมีเรื่องบางอย่างจะบอกเขาจึงโบกมือสั่งการทหารของตน
“พวกเจ้าถอยออกไป”
“คุณชายใหญ่ขอรับ” องครักษ์ลังเล ตอนนี้ยังอยู่ในการแข่งขันหากระหว่างการฝึกซ้อมถูกโจมตีเข้าก็ถือว่าพ่ายแพ้
จงรุ่ยโบกมืออย่างหมดความอดทน “ข้าบอกให้ถอยก็ถอยไปไง”
“ขอรับ” องครักษ์ทำได้เพียงเชื่อฟังคำสั่ง รอจนพวกเขาถอยออกไป จงรุ่ยก็ถามขึ้น “แม่นางหมายความว่าอย่างไร”
หมิงเวยยิ้ม “คุณชายจงน่าจะรู้ดีกว่าข้า สำหรับพวกท่านแล้วผลลัพธ์ของการฝึกซ้อมครั้งนี้แพ้ชนะไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้องไม่ให้เขาเกิดปัญหาขึ้นที่นี่ใช่หรือไม่”
“แม่นาง ท่าน…”
หมิงเวยขัดจังหวะเขา “คุณชายจงท่านคิดว่าที่ข้าขี่ม้ามาผู้เดียวเช่นนี้ วิ่งมาเช่นนี้จะไม่มีเรื่องสำคัญหรือ ตอนนี้สถานการณ์เร่งด่วนจริงๆ จึงทำเป็นปิดหูปิดตาไม่ได้”
จงรุ่ยคิดในใจว่าคุณชายหยางเต็มใจส่งม้าสิงโตหยกให้เช่นนี้ แม่นางผู้นี้คงมีความสำคัญมากจริงๆ แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่านางไม่ใช่สตรีอ่อนแอ แต่หากไม่ใช่สถานการณ์ฉุกเฉิน คุณชายหยางคงไม่ยอมปล่อยนางออกมาเสี่ยงเช่นนี้
“เชิญแม่นางพูดมาได้เลย”
“มีกองกำลังอื่นซ่อนอยู่ในจวนของท่าน พวกเราแน่ใจในเรื่องนี้แล้วเพราะเมื่อครู่พวกเราถูกพวกเขาโจมตี”
เมื่อเห็นท่าทางที่สงบของจงรุ่ยหมิงเวยจึงรู้ว่าเขารู้เรื่องราวภายในเป็นอย่างดีจึงพูดต่อว่า “คุณชายจงดูไม่เดือดร้อนใจเพราะได้ส่งคนติดตามไปใช่หรือไม่” เมื่อเห็นแววตาอีกฝ่ายเคลื่อนไหวเล็กน้อยหมิงเวยจึงคาดเดาต่อไป
“สามารถทำให้ท่านวางใจได้เช่นนี้ ผู้ที่ติดตามไปเป็นแม่ทัพจงใช่หรือไม่” จงรุ่ยมองนางด้วยสีหน้าคาดไม่ถึง
หมิงเวยยิ้ม “ดูเหมือนว่าข้าจะเดาถูก”
จงรุ่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้ม “ในเมื่อแม่นางรู้แล้วก็ควรเชื่อใจพวกเรา คุณชายหยางจะกลับไปที่ไป๋เหมินเซี่ยได้อย่างปลอดภัยแน่นอน”
“ไม่” หมิงเวยส่ายหน้า “หากพวกเราไม่ทำอะไรสักอย่างตอนนี้ เขาไม่เพียงไม่กลับมาอย่างปลอดภัย แม้แต่พวกท่านตระกูลจงก็จะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย อาจถึงขนาดถูกยึดตำแหน่งยึดทรัพย์ได้!”
จงรุ่ยมองนางอย่างระแวดระวังใบหน้ายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม “แม่นางพูดเกินไปแล้ว”
“คำพูดของข้าไม่ได้เกินไปเลย” หมิงเวยทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดหลบเลี่ยงของเขานางพูดต่อว่า “ก่อนหน้านี้ข้าไม่แน่ใจพวกท่านตระกูลจงกับพวกเขาสมคบคิด และแสร้งทำเป็นคล้อยตาม แต่เมื่อเห็นท่าทางของคุณชายใหญ่ในตอนนี้ทำให้ข้ามั่นใจได้เรื่องหนึ่ง”
นางมองไปที่จงรุ่ย และพูดเบาๆ ว่า “พวกท่านถูกหลอกแล้ว”
…………
หนิงซิวกระโดดลงจากต้นไม้แล้วดึงหยางชูไปด้านหลังเพื่อปกป้องอย่างไม่ลังเล อีกทั้งยังแสดงท่าทีเกลียดชังต่อพวกบุรุษชุดดำ เหล่าขุนศึกก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็วพวกเขาเรียงแถวปกป้องคุณชาย
“ทุกท่านอย่าตื่นตระหนกไป” บุรุษชุดดำยิ้มและปลอบ “พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้ายพวกเราเป็นพวกเดียวกัน”
หนิงซิวพูดอย่างเย็นชา “ทำตัวลับๆ ล่อๆ แล้วยังวางค่ายกลอีกยังเรียกว่าเป็นพวกเดียวกันอีกหรือ”
บุรุษชุดดำประสานมือ “ท่านเข้าใจผิดแล้วพวกเราแค่ทำการทดสอบ อันที่จริงพวกเรายังมีลูกธนูอยู่หากเมื่อครู่พวกเรายิงออกไปฝ่ายที่ได้เปรียบก็คือพวกเรามิใช่หรือ” เขาขอความช่วยเหลือจากหยางชู “คุณชาย ท่านเองก็เห็น”
“ศิษย์พี่” หยางชูเอ่ยปาก “ข้าได้คุยกับเขาแล้วเรื่องก่อนหน้านี้ถือว่าแล้วไป อย่างไรพวกเราก็ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ”
“ศิษย์น้อง!”
“พวกเขาเป็นคนของเรา!” หยางชูเน้นย้ำ
หนิงซิวเลิกคิ้วอย่างไม่เห็นด้วยในที่สุดเขาก็พูดว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น เจ้าพูดไม่ชัดเจนเพื่อความปลอดภัยของเจ้าแล้ว ข้าจะไม่ทนกับมันอย่างแน่นอน!”
หยางชูมองบุรุษชุดดำ บุรุษชุดดำประสานมืออีกครั้งบอกว่าตนเองไม่เป็นไร เขาพูดได้เลย
หยางชูดึงหนิงซิวไปด้านข้างเพื่อ ‘อธิบาย’
ศิษย์พี่น้องทั้งสองเลี่ยงมาอยู่ในที่ที่ไม่มีผู้ใดหยางชูกระซิบถาม “ส่งข่าวออกไปหรือยัง”
“ส่งออกไปแล้ว”
“ครั้งนี้เขาไม่ลงมือข้าคิดว่าคนของตระกูลจงตามหลังพวกเรามาเขาเลยไม่กล้าลงมือ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น”
“เขาบอกให้พวกเราทำการยึดพื้นที่ดูเหมือนว่ามีกับดักอยู่ข้างหลังเป็นไปได้สูงที่ตระกูลจงเองจะลงหลุมไปด้วยกัน”
หนิงซิวเลิกคิ้ว “แล้วเราจะทำอย่างไร”
“ในเมื่อหมิงเวยได้รับข้อความจากศิษย์พี่แล้วสามารถเดาได้หนึ่งหรือสองอย่าง พวกเราทำได้เพียงถ่วงเวลาให้นางมีเวลาโต้กลับ”
หนิงซิวถอนหายใจ “เจ้าดูวางใจจริงๆ แน่ใจใช่หรือไม่ว่านางสามารถเข้าใจสิ่งที่เจ้าต้องการสื่อ และเตรียมการล่วงหน้าได้”
หยางชูยิ้ม “ท่านไม่เข้าใจ เขาเรียกว่าคนรักกันมีจิตใจที่สื่อถึงกันได้นางต้องเข้าใจอย่างแน่นอน” เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หนิงซิวอยากกลอกตาใส่เขาโดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์
……………