บุรุษชุดดำขี่ม้าและติดตามหยางชูไปยังที่ราบสูง มีการซุ่มยิงระหว่างทาง แต่ก็ถูกพวกเขาโจมตีกลับไปได้จนกระทั่งเห็นที่ราบสูงอยู่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เวลาพลบค่ำแล้วพระอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้าไปทางทิศตะวันตก หยางชูยกมือขึ้นและสั่งให้หยุด
อาสวนออกความเห็น “คุณชาย ตระกูลจงมีความคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี แม้ว่าจะถึงช้ากว่าเราสองชั่วยาม แต่เกรงว่าเมื่อเดินทางไปถึงแล้วพวกเราพักสักคืนก่อนดีหรือไม่ขอรับ” บุรุษชุดดำได้ยินเช่นนั้นก็มองหยางชูอย่างประหม่า
หยางชูกลับส่ายหน้า “ความหมายของสองชั่วยามคือให้จงรุ่ยไม่มีเวลาเตรียมการหากพวกเราพักหนึ่งคืนความได้เปรียบของพวกเราจะหายไปเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นบุรุษชุดดำก็โล่งใจแล้วพูดว่า “ที่คุณชายกล่าวมาก็ถูก ตระกูลจงอยู่ปกป้องซีเป่ยมาหลายชั่วอายุคน พวกเขาคุ้นเคยกับภูเขา และที่ราบนี้มากเกินไป พวกเราจึงถูกกำหนดให้เป็นฝ่ายเสียเปรียบการใช้ประโยชน์จากความมืดเป็นความคิดที่ดี การใช้พวกเขาคลำหาในความมืดจำกัดการเคลื่อนไหวของพวกเขาได้”
หยางชูพยักหน้าและสั่งอาสวน “พักกันตรงนี้ก่อน รีบหาอะไรทานให้เสร็จ เหล่าฟางออกไปสำรวจทาง และเราลงมือกันในตอนกลางคืน”
“ขอรับ”
ระหว่างที่รอบุรุษชุดดำเดินตามหยางชูอย่างใกล้ชิด และพูดกับเขาว่า
“คุณชายเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดีจริงๆ เป็นไปตามระเบียบแบบแผน เก่งกาจกว่าเหล่าองค์ชายทั้งหลายในเมืองหลวงเป็นไหนๆ สวรรค์ต้องเข้าข้างคุณชายแน่นอน”
หยางชูพยายามยับยั้งชั่งใจ แต่อดไม่ได้ที่จะทำสีหน้ามีชัย “เจียงเชิ่งเกลียดชังข้ามาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ไร้ความสามารถก็คือไร้ความสามารถ ความเกลียดชังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงได้”
บุรุษชุดดำถอนหายใจ “หากไท่จื่อที่จากไปแล้วรู้เช่นนี้คงดีใจ” คำพูดเหล่านี้ทำให้สีหน้าของหยางชูดูมืดมัว ผ่านไปสักพักเขาถึงถามว่า “ท่านหลิน ก่อนหน้านี้…ตอนที่พวกเขายังอยู่พวกเขาเป็นอย่างไรหรือ”
บุรุษชุดดำเห็นเขามีสีหน้าหลงใหลก็ถอนหายใจ “พริบตาเดียวก็ผ่านมายี่สิบปีแล้ว ไท่จื่อเป็นคนที่กล้าหาญและใจกว้าง แยกแยะถูกผิด กระทำอย่างเด็ดขาด ปฏิบัติต่อพวกเราอย่างอ่อนโยน เมื่อนึกถึงสมัยวันที่อยู่ที่ตงกงข้ามีความสุขมากจริงๆ…”
“สำนักชิงหยุนที่ท่านพูดถึงเป็นอย่างไรหรือ สมาชิกทุกคนมีความสามารถเท่าท่านหรือไม่”
บุรุษชุดดำดูหมิ่นในใจเขาคิดในใจว่าตำแหน่งนั้นน่าดึงดูดจริงๆ อีกฝ่ายไม่ถามถึงบิดาหรือปู่ของตนเอง แต่ถามถึงสถานการณ์ของสำนักชิงหยุนดูแทบรอไม่ไหวที่จะสรรหาผู้มีความสามารถ!
นอกจากนี้สถานะของตนเองยังไม่แน่นอนอีกทั้งตอนนี้ยังอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอาย แต่ยังคิดต้องการหาคนมีความสามารถถึงได้คิดแผนนี้ขึ้นมาแน่ใจว่าเขาจะไม่สงสัยมากเกินไป
แต่ก็ยังตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเรามาจากทั่วทุกสารทิศมีคนต่างแดนมากมายในหมู่พวกเรา ข้าเป็นคนธรรมดา เมื่อเปรียบเทียบกับสหายแล้วข้าถือว่าเป็นคนรั้งท้ายสุดขอรับ”
“อ้อ” ดวงตาของหยางชูเป็นประกายจากนั้นเขาก็กังวลเล็กน้อย “พวกเขาเต็มใจจะติดตามข้าจริงๆ หรือ”
“แน่นอนขอรับ” บุรุษชุดดำสาบาน “ไท่จื่อทรงมีพระคุณมากจนพวกเราไม่สามารถตอบแทนพระคุณนี้ได้เมื่อทราบว่าคุณชายยังมีชีวิตอยู่พวกเราจะไม่ติดตามท่านได้อย่างไร”
“เช่นนั้นท่านติดต่อพวกเขาได้กี่คน”
บุรุษชุดดำคร่ำครวญ “ผู้ที่ติดต่อกับข้าอย่างใกล้ชิดมีสี่ห้าคน แต่คุณชายโปรดวางใจ คนที่เหลือคิดว่าไท่จื่อไร้ซึ่งทายาทแล้วจึงจากไปด้วยความผิดหวัง ขอเพียงข้าเรียกประชุมพวกเขาจะติดต่อคุณชายกลับมาอย่างรวดเร็วสามารถเรียกกลับมาประชุมได้ประมาณสิบกว่าคน”
หยางชูดูพอใจมาก “เช่นนั้นก็ดีข้ายังคงมีความมั่นใจอยู่บ้าง” เขายังคงพูดคุยกับบุรุษชุดดำอยู่สักพักไม่ไปรบกวนผู้อื่น
ตอนแรกหนิงซิวนั่งอยู่ข้างกายเขาฟังไปฟังมาเริ่มรู้สึกเบื่อจึงลุกขึ้นมองไปสำรวจรอบๆ หยางชูไม่สนใจ แต่บุรุษชุดดำกลับคิดว่าเขาคงรู้สึกไม่พอใจที่ถูกเมินเฉยจึงแอบลอบยิ้ม
ในที่สุดหนิงซิวก็เลือกสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกลเขาหยิบกู่ฉินออกมา และดีดมันเบาๆ เสียงถูกส่งออกไปไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงแหลมเบาๆ
นั่นเป็นเสียงเป่าใบไม้ หนิงซิวดีดเสียงกลับไปทั้งสองแอบแลกเปลี่ยนข้อมูลกันลับๆ
ในที่สุดท้องฟ้าก็มืดมิด หลังจากที่เหล่าขุนศึกพักผ่อนเรียบร้อย พวกเขาปลดปลายหอกออก ห่อใบมีดด้วยผ้าหนาจากนั้นขึ้นขี่บนหลังม้า
หน่วยสอดแนมรายงานว่าคนของจงรุ่ยได้วางแนวป้องกันไว้รอบๆ ที่สูง พวกเขาต้องการอาศัยช่วงเวลากลางคืนยึดที่ราบสูงเอาไว้จึงจะสามารถต่อสู้กับคนของจงรุ่ยแบบตัวต่อตัวได้
นี่เป็นการฝึกซ้อมไม่ใช่สงครามนองเลือดดังนั้นจึงเก็บใบมีด และปลายหอกไว้
ก่อนที่หยางชูจะกระโดดขึ้นหลังม้าเขาพูดกับบุรุษชุดดำว่า “ท่านหลิน ท่านรออยู่ที่นี่เถิด รอข้าฆ่าพวกเขาก่อนแล้วจะส่งสัญญาณออกไป เมื่อถึงตอนนั้นท่านสั่งการทหารหน่วยกล้าตายเหล่านั้นพวกเราจะจับตัวจงรุ่ยมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่เราจะสามารถเจรจาเงื่อนไขกับจงซู่ได้”
บุรุษชุดดำคารวะ “คุณชายวางใจได้ขอรับข้าเตรียมการเรียบร้อยแล้วเหลือรอคำสั่งของคุณชายเท่านั้น”
หยางชูพยักหน้าแล้วพูดกับหนิงซิว “ศิษย์พี่ วรยุทธ์ของท่านไม่เหมาะกับการต่อสู้ในสนามรบท่านอยู่อารักขาท่านหลินที่นี่ดีกว่า”
หนิงซิวเลิกคิ้ว “ข้าไม่อยู่ปกป้องเจ้าแล้วหากเกิดอะไรขึ้น…”
“วางใจเถอะมีคนมากมายเพียงนี้!” เขาขยิบตา
หนิงซิวเหลือบมองบุรุษชุดดำแล้วพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ “ได้”
หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จหยางชูดึงบังเหียนแล้วสั่งการ “ออกเดินทาง!”
“ขอรับ!” เหล่าขุนศึกตระกูลหยางมุ่งหน้าไปยังที่ราบสูงในเวลากลางคืน
หลังจากส่งหยางชูออกไปบุรุษชุดดำก็ยื่นมือไปหาหนิงซิว “ศิษย์น้องหนิง พวกเรารออยู่ที่นี่เพื่อรอข่าวชัยชนะของคุณชายกันดีกว่า!”
หนิงซิวพยักหน้าแบบขอไปทีและนั่งลงบนก้อนหินกับเขา บุรุษชุดดำหยิบถุงสุราออกมาแล้วยื่นให้หนิงซิว “อากาศเย็นทำให้ร่างกายอุ่นเสียหน่อย”
“ขอบคุณ” หนิงซิวรับมาแต่ไม่ได้ดื่มเข้าไป
เมื่อเห็นท่าทางที่ระมัดระวังของเขาบุรุษชุดดำก็รู้ทันทีจึงกล่าวว่า “ศิษย์น้องหนิงดูเหมือนจะไม่ชอบข้านะ!”
หนิงซิวถือถุงสุราไม่พูดอะไร
บุรุษชุดดำพูดอีกว่า “ท่านคิดว่าการมาของข้าได้แย่งความไว้วางใจของคุณชายไปหรือ”
ผ่านไปครู่หนึ่งหนิงซิวตอบไปว่า “ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดท่านถึงล่อลวงทำให้เขามีความตั้งใจเช่นนี้ วันนี้ใต้หล้าสงบสุขชาติกำเนิดของเขาไม่ชัดเจนไม่มีกำลังคน แล้วจะต่อสู้เพื่อตำแหน่งนั้นได้อย่างไรท่านจะส่งเขาไปตายหรือ”
บุรุษชุดดำพูด “ศิษย์น้องหนิงกล่าวเช่นนี้ไม่ไร้ความยุติธรรมไปหน่อยหรือ ข้าสามารถให้กำลังใจคุณชายได้เพราะเขามีความคิดนี้อยู่แล้ว อีกอย่างเขาอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด หากไม่เคลื่อนไหวเขาคงต้องรอความตายอย่างนั้นหรือ”
หนิงซิวพูดเสียงเย็นชา “เหตุใดเขาต้องรอความตายด้วยหากเขาอยู่เงียบๆ ดีๆ ฝ่าบาทไม่ต้องการเอาชีวิตเขาหรอก”
“ตอนนี้ไม่ต้องการไม่ได้หมายความว่าอนาคตไม่ต้องการ” บุรุษชุดดำพูดต่อ “ท่านก็เห็นว่าตั้งแต่พวกเราพบกันคุณชายกระตือรือร้นกับข้าเพียงใด สิ่งที่ท่านตั้งตารอคอยไม่ใช่สิ่งที่คุณชายต้องการ”
หนิงซิวพูดอย่างโกรธเคือง “พูดเช่นนี้ท่านจะให้ข้าช่วยเขาก่อกบฏงั้นหรือ”
บุรุษชุดดำลูบเคราด้วยความมั่นใจ “ศิษย์น้องหนิงพูดผิดแล้วเรื่องนี้ท่านช่วยไม่ได้ ท่านอยู่ข้างกายคุณชายอาจในฐานะองครักษ์ แต่หน้าที่อื่นท่านทำไม่ได้หรอก”
แววตาของหนิงซิวเต็มไปด้วยความโกรธ “ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“ข้าหมายความเช่นนั้น” บุรุษชุดดำยิ้ม “ไม่เชื่อคืนนี้ศิษย์น้องหนิงคอยดูเมื่อข้าช่วยคุณชายจับตัวจงรุ่ย และปราบตระกูลจงก็จะรู้ว่าผู้ใดมีประโยชน์ต่อคุณชายมากที่สุด”
“ท่าน…” เขาโกรธจัด แต่บุรุษชุดดำยังคงไม่ขยับเขยื้อน
ในที่สุดหนิงซิวก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ได้! ข้าจะรอดูว่าพวกท่านจะทำสำเร็จหรือไม่!”
บุรุษชุดดำยิ้มอย่างมั่นใจทั้งสองรอครู่หนึ่งจากนั้นก็ได้ยินเสียงสังหารในความมืด
ไม่นานหลังจากนั้นพลุก็บินขึ้นไปในอากาศ บุรุษชุดดำหยิบนกหวีดขึ้นมาเป่า จากนั้นบุรุษชุดเทาก็เข้ามาใกล้ และรับฟังคำสั่งอย่างรวดเร็ว
“ไปเถอะ ได้เวลาลงมือแล้ว!” เขาพูดอย่างมีความหมาย
………….