ตอนที่ 105 ความร้าวฉาน

สายลมหนาวยามเช้าพัดผ่านกระทบประตูจนเกิดเสียงดัง ‘เอี๊ยด อ๊าด’ ส่งผลให้ประตูเปิดคลายออกมาเล็กน้อย

ซูหวานหว่านเห็นภาพที่บุรุษถูกสตรีกดเอาไว้บนเตียงด้วยท่าทางเร่าร้อน เมื่อเห็นใบหน้าของชายคนนั้นนางก็ตกตะลึง

เพียงเห็นแค่ใบหน้าด้านข้างของชายผู้นั้น ก็พบว่าเขาคือฉีเฉิงเฟิงอย่างไม่ต้องสงสัย!

หญิงสาวผู้นั้นราวกับรู้สึกตัวว่ากำลังมีคนแอบดูอยู่ จึงรีบผละออกมาจากร่างของฉีเฉิงเฟิงอย่างรีบร้อน เมื่อพบว่าคนที่แอบดูอยู่คือซูหวานหว่าน นางก็หัวเราะออกมา “เป็นเจ้าเองงั้นหรือ! ผู้หญิงของฉีเฉิงเฟิง? หรือจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าซูหวานหว่าน?”

หญิงสาวผู้นี้… ซูหวานหว่านมองสบตากับนางโดยตรง แม้ว่านางจะปิดบังใบหน้าเอาไว้ แต่หากมองเข้าไปใกล้ ๆ ด้วยตาคู่นั้นก็ทำให้ซูหวานหว่านมั่นใจว่านางเป็นคนเดียวกับคนที่อยู่กับฉีเฉิงเฟิงในร้านอาหารวันนั้น!

เมื่อเห็นใบหน้าของซูหวานหว่านพลันซีดลง นางก็รู้สึกภูมิใจพร้อมทั้งเอ่ยว่า “ซูหวานหว่าน ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าท้ายที่สุดแล้วคนที่ฉีเฉิงเฟิงชอบก็คือข้า หาใช่เจ้า ข้าแนะนำให้เจ้าปล่อยตัวเขาไปเสีย”

“ปล่อยเขา?” ซูหวานหว่านแสยะยิ้ม นางรู้สึกว่าใบหน้าของบุคคลทั้งสองทำให้นางรู้สึกหงุดหงิด โดยเฉพาะรอยยิ้มของหญิงสาว มันน่าขยะแขยงเสียเหลือเกิน

ซูหวานหว่านหัวเราะและพูดออกมาอย่างประชดประชัน “ตั้งแต่แรก คนที่เริ่มเรื่องนี้ไม่ใช่ข้า! เหตุใดเจ้าไม่ถามท่านพี่เฉิงเฟิงของเจ้าว่าต่อหน้าข้าเขาพูดอย่างไร อยากจะทำอะไรให้ข้าและมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ให้ข้า?”

“เฮอะ!” หญิงสาวหัวเราะอย่างเย็นชา “ข้าบอกแล้วไงว่าตอนแรกเขาเพียงแค่เสียสติไป แต่ตอนนี้เขาพบแล้วว่าคนที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาคือข้า ส่วนเจ้า… ก็เป็นเพียงหญิงต่ำต้อยที่เขาไม่ต้องการ!”

ต่ำต้อย? ไม่รู้จริง ๆ ว่าคนพวกนี้เอาความมั่นใจของตัวเองมาจากไหน อีกทั้งยังชอบใส่หน้ากากสร้างภาพลักษณ์ที่สูงส่งมาพูดจาดูถูกผู้อื่น ซูหวานหว่านยิ้มเยาะ “หากข้าต้องการ ไม่ว่าสิ่งใดบนโลกนี้ข้าก็จะต้องได้ แต่เจ้าก็แค่เป็นผู้หญิงที่โง่เขลาคนหนึ่ง และเขา…”

ซูหวานหว่านมองไปยังฉีเฉิงเฟิงและเขาเองก็มองมาที่นางเช่นกัน นางมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจและรำคาญใจ ก่อนจะพูดออกมา “และเขา ก็เป็นเพียงชายหลายใจคนหนึ่ง ไม่มีประโยชน์อันใดกับข้า ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับข้า ว่าข้าจะต้องการเขาหรือไม่”

เมื่อพูดจบ นางก็หยิบจี้หยกรูปพระจันทร์ที่อยู่บริเวณเอวของนางออกมา แล้วโยนใส่ไปที่ใบหน้าของฉีเฉิงเฟิง ซึ่งเขาก็ไม่ได้หลบมันแต่อย่างใด

“ฉีเฉิงเฟิง วันนี้ข้าขอยกเลิกสัญญาการแต่งงานระหว่างเจ้ากับข้า จากนี้ไปเจ้ากับข้าไม่มีพันธสัญญาอันใดต่อกัน”

พอพูดจบ ซูหวานหว่านก็เตรียมตัวจะก้าวออกจากประตูบ้าน ทว่าฉีเฉิงเฟิงก็พูดออกมาอย่างแผ่วเบา “ช้าก่อน…”

หัวใจของซูหวานหว่านพลันเต้นแรงขึ้นราวกับรู้สึกมีความหวังขึ้นมา ทว่าเมื่อคำพูดที่ออกมาจากปากของฉีเฉิงเฟิงกลับไม่ใช่อย่างที่นางหวังไว้ “เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำให้ขายหน้าเช่นนี้”

นางทำให้เขาอับอายอย่างงั้นหรือ? แล้วอย่างไร? ไม่ใช่เขาหรอกหรือที่ทำให้นางขายหน้าโดยการมาพลอดรักกับหญิงอื่นเช่นนี้ ซูหวานหว่านรู้สึกโกรธ ทว่าก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาด้านหลัง นางจึงพยายามยิ้มและกล่าวว่า “ฉีเฉิงเฟิง เจ้าแสดงตัวตนที่แท้จริงของเจ้าออกมาตอนนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพราะเราทั้งสองเพิ่งเริ่มต้นและเรื่องที่ข้าตอบตกลงจะแต่งงานกับเจ้า ก็เป็นเพราะตอนนั้นข้าสับสนจึงตอบตกลงไปโดยไม่ตั้งใจ ทว่าช่างมันเถอะ ข้าไม่ได้ชอบเจ้ามากขนาดนั้น”

ความเจ็บปวดปรากฏชัดในสายตาที่น่ารังเกียจของฉีเฉิงเฟิง เส้นเลือดปูดโปนในมือของเขาแทบจะระเบิดออกมาราวกับเขากำลังกำอะไรบางอย่างอยู่ในมือ ทว่าในสายตาของซูหวานหว่านคิดว่าเขากำลังเกิดโทสะ “ข้าจะกลับไปที่บ้านแล้วบอกท่านแม่ให้นำสินสอดมาส่งคืนให้เจ้า พวกเราสองคนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก หลังจากนี้… หากเราเจอกันก็อย่าได้ทักทายกัน หากเจ้ายังมาก่อกวนข้าไม่เลิก อย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”

“ไม่…” ต้องการ!

น้ำเสียงของฉีเฉิงเฟิงแฝงไปด้วยความเจ็บปวด เหงื่อเย็น ๆ ไหลซึมมาตามหน้าผาก เขากำจี้หยกที่ซูหวานหว่านขว้างใส่ไว้แน่น พลันใดนั้นก็มีเสียง ‘กร๊อบ’ ดังขึ้น จี้หยกชิ้นนั้นแตกหักออกเป็นสองส่วนทันที!

“ที่แท้เจ้าก็เป็นคนโหดร้าย” แม้แต่เก็บเอาไว้ดูต่างหน้ายามคิดถึงก็ไม่มี ซูหวานหว่านยิ้มเยาะตนเองและหันหลังกลับ

“อย่า…” ไป

ดวงตาของฉีเฉิงเฟิงแดงก่ำ หญิงสาวผู้นั้นจึงรีบเดินมาปิดตาของฉีเฉิงเฟิงเอาไว้และเอ่ยเบา ๆ ที่ข้างหู “พี่ฉีเฉิงเฟิง ข้าคือเป้ยเอ๋อร์ เจ้าอย่าลืมว่าข้าคือคนรักของเจ้า เจ้าต้องรักเพียงแต่ข้าเท่านั้น!”

ดวงตาของฉีเฉิงเฟิงค่อย ๆ กลับมาเป็นเหมือนเดิม ทว่าน่าแปลกยามเขามองไปที่นาง เขาก็อดสงสัยไม่ได้ เพราะว่าเขานั้นจำชื่อเป้ยเอ๋อร์ไม่ได้เลย เขาจำได้เพียงแค่ว่าคนรักของเขาจะชื่อหว่านอะไรสักอย่าง ทว่ายิ่งคิดก็รู้สึกเจ็บราวหัวใจมันจะแตกออกเสี่ยง ๆ และคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก…

สือเป้ยเอ๋อร์กัดฟันด้วยความโกรธ นางหยิบขวดบางอย่างออกมาแล้วเท เมื่อนางเห็นเม็ดยาสีแดงนางก็ขมวดคิ้วแน่น

นางตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาพร้อมกับกลืนลงไป ส่วนฉีเฉิงเฟิงที่เห็นดังนั้นแววตาของเขาก็พลันเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

“ไม่คิดเลย ว่าคุณชายฉีจะรักซูหวานหว่านมากมายเพียงนี้ ดังนั้นข้าจึงจะต้องกินพิษกู่ลงไปเพื่อให้เขาเชื่อฟังคำพูดของข้าตลอดเวลา”

สือเป้ยเอ๋อร์กลืนมันลงไป ความเจ็บปวดบีบคั้นไปที่หัวใจของนางและรับรู้ได้เลยว่ามันกำลังฝังไปที่ตัวของนาง ทว่านางไม่สามารถทนความเจ็บปวดได้จึงกระอักเลือดออกมา

“แม่นางสือ?” ฉีเฉิงเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาประคองนางขึ้นพร้อมกับความกังวลที่ฉายชัดในแววตา

สือเป้ยเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะ ถึงแม้ว่านางจะกินพิษกู่ลงไป แต่ทว่าดูเหมือนมันจะไม่ช่วยอะไรมากนัก ฉีเฉิงเฟิงยังคงไม่มีความรู้สึกใดกับนางและยังคงไม่ชอบนาง สิ่งที่นางจะสามารถทำได้ในตอนนี้คือพยายามนำตัวเข้าไปใกล้ชิดกับฉีเฉิงเฟิงด้วยวิธีการใช้กู่ในการสั่งให้ฉีเฉิงเฟิงเชื่อฟัง

“เฉิงเฟิง เจ้าแบกข้าไปนะ พวกเราจะกลับเข้าไปในเมืองกันเดี๋ยวนี้” สือเป่ยเอ๋อร์สั่ง

“ได้”

พอพูดจบ ฉีเฉิงเฟิงก็นั่งยอง ๆ กับพื้นและแบกสือเป้ยเอ๋อร์เอาไว้บนหลังของตัวเองและออกเดินไป

ชาวบ้านที่เห็นว่าฉีเฉิงเฟิงได้แบกสาวสวยนางหนึ่งเอาไว้บนหลังของตัวเอง ก็เกิดความรู้สึกประหลาดใจและเริ่มซุบซิบนินทา

ใบหน้าของสือเป้ยเอ๋อร์ขึ้นสีแดงระเรื่อ ฉีเฉิงเฟิงจึงหยุดเดินและพูดความในใจของตนออกมา “ท่านลุง ท่านป้า ข้าขอบคุณทุกท่านที่ดูแลข้าอย่างดีตลอดระยะเวลาที่ข้าอยู่ที่นี่ ตอนนี้ข้าต้องไปแล้วและคงไม่กลับมาอีก”

“อะไรนะ?” ชาวบ้านทุกคนต่างตกใจและมีชาวบ้านคนหนึ่งพูดถามออกมาอย่างงุนงง “ฉีเฉิงเฟิง เจ้ากำลังจะย้ายออกไปหรือ? แล้วเรื่องงานแต่งงานกับซูหวานหว่านเล่า?”

“ถูกต้อง! เจ้าจะทำอย่างไร! เจ้าคงไม่ได้มาเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นหรอกนะ! เจ้าคิดว่าคนในหมู่บ้านนี้สามารถให้เจ้ามารังแกและมาล้อเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นง่าย ๆ อย่างงั้นหรือ!”

สือเป้ยเอ๋อร์พูดสั่งฉีเฉิงเฟิงอย่างเงียบ ๆ แล้วให้เขาพูดตอบกลับไปตามแบบที่นางคิด “ข้าและซูหวานหว่านได้ยกเลิกงานแต่งแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนางอีก ส่วนหญิงสาวที่อยู่บนหลังของข้าคือคู่หมั้นของข้า และข้าหวังว่าต่อไปพวกเจ้าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก”

ซูหวานหว่านที่กลับไปแล้วเดินมาพร้อมตะกร้าเงิน เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดถากถาง “ฉีเฉิงเฟิง ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟังนะ ไม่ใช่เจ้าที่เป็นคนยกเลิกงานแต่ง แต่เป็นข้าเองที่ยกเลิกงานแต่ง เจ้ายังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกหรือ?”

ด่านาง! ด่านาง! สือเป้ยเอ๋อร์คิดอยู่ในใจอย่างเงียบ ๆ ทว่าฉีเฉิงเฟิงก็ไม่ได้มีท่าทีอะไร

เมื่อต้องสั่งให้ฉีเฉิงเฟิงทำร้ายคนที่ตัวเองรักมากที่สุด แน่นอนว่าพิษกู่ก็ไม่สามารถควบคุมจิตใจของเขาได้ทั้งหมด ทำให้เป้ยเอ๋อร์โกรธมากและรู้สึกเสียใจ พลันใดนางก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องได้ จึงพูดเชิญชวนออกมาว่า “ข้าเป็นลูกสาวของตระกูลสือที่อยู่ในเมือง บ้านของข้ากำลังจะเปิดกิจการร้านอาหาร และจัดการแข่งขันทำอาหารขึ้นมา ข้าคิดว่าเจ้าคงจะหมกมุ่นกับฉีเฉิงเฟิงมากเลยทีเดียว เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปเข้าร่วมการแข่งขันนี้ล่ะ? หากเจ้าชนะ เจ้าก็จะกลายเป็นแม่ครัวที่มีชื่อเสียง หรือบางทีข้าอาจจะให้เขามาพบเจ้าเดือนละครั้งก็ได้ เจ้าจะมาร่วมการแข่งขันด้วยหรือไม่?”

ซูหวานหว่านยิ้มออกมาอย่างเย็นชา สือเป้ยเอ๋อร์กำลังทำให้นางขายหน้ารึ? นางจะตอบตกลงหรือไม่ตอบตกลงดี?