ตอนที่ 344 สงสัยซูมู่ชิง!

หลังจากที่เย่เฉินและซูมู่ชิงออกจากบ้าน ก็ขัรถกลับไปเรือนสี่ประสานที่เย่เฉินและฉินหงเหยียนอาศัยอยู่ชั่วคราว เพื่อไปหาต่อแต่ก็ยังไม่เจอฉินหงเหยียน

ซูมู่ชิงเป็นคนละเอียดหล่อนจึงถามต่อ “เรือนสี่ประสานเป็นของใคร? คุณติดต่อเจ้าของบ้านได้ไหม? บางทีที่นี่อาจจะมีทางลับหรือห้องลับ ฉินหงเหยียนอาจไปที่นั่น”

เย่เฉินครุ่นคิด ซูมู่ชิงนี่คิดรอบคอบดีจริงๆ เขาจึงรีบโทรหาเหอหมิ่นผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้โดยแทบไม่ต้องคิดทันที

เย่เฉินกดโทรหาเหอหมิ่นทันที

“คุณเย่” เหอหมิ่นรับสายอย่างรวดเร็ว

เย่เฉินเอ่ยถาม “เหอหมิ่นในเรือนสี่ประสานของคุณ มีห้องลับหรือว่าทางเดินลับอะไรทำนองนี้ไหม?”

เหอหมิ่นกล่าวเสียงสูง “ไม่มีนะคะ ก็มีอยู่เท่านั้นแหละ ทำไมเหรอ?”

เย่เฉินกล่าว “เมื่อกี้หงเหยียนยังอยู่บ้านอยู่เลย ตอนนี้หายตัวไปแล้ ถ้าหงเหยียนโทรหาคุณเมื่อไหร่ คุณอย่าลืมโทรหาผมทันทีเลยนะ”

“ได้ค่ะคุณเย่”

หลังจากวางสายแล้วเย่เฉินก็ส่ายหน้า

ซูมู่ชิงตบบ่าเย่เฉินเบาๆ แล้วกล่าว “ไม่ต้องใจเสียไป เดี๋ยวฉันจะช่วยคุณไปตรวจดูตามกล้องวงจรปิดตามถนน ถ้าหากว่าหล่อนออกไปจากเรือนสี่ประสาน กล้องน่าจะถ่ายเอาไว้ได้”

“อื้ม”

ซูมู่ชิงเป็นกุลสตรีตระกูลซู ใช้เส้นสายที่มีไม่นานนักหญิงสาวก็ได้คลิปในกล้องวงจรปิดสองชั่วโมงเมื่อครู่ แต่เจอแค่กล้องตรงปากทางเท่านั้น

เย่เฉินดูซ้ำไปมาสองรอบ แต่ก็ไม่เห็นฉินหงเหยียนในคลิป

“ดูไปแล้วแฟนของคุณน่าจะออกจากบ้านในฝั่งที่กล้องเสีย” ซูมู่ชิงวิเคราะห์

เย่เฉินแปลกใจมากทีเดียว ทำไมหล่อนถึงได้ออกไปอีกทาง บังเอิญกล้องเสียหรือว่าหล่อนจงใจจะหลบกล้องเท่านั้นเอง?

ฉินหงเหียนเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะหลบกล้องวงจรปิดแต่อย่างใด นอกเสียจากว่าคนที่พาตัวหญิงสาวไปจงใจทำเช่นนี้

ซูมู่ชิงกล่าว “แฟนคุณอาจจะออกไปจากเมืองหลวงแล้ว เราลองไปดูที่สนามบินกันเถอะ”

หลังจากนั้นเย่เฉินถูกซูมู่ชิงพาตัวเขาไปที่สนามบิน หล่อนจึงโทรศัพท์ไหว้วานให้คนช่วยตรวจสอบว่าไฟลท์บินในระยะนี้มีผู้โดยสารหญิงชื่อฉินหงเหยียนหรือไม่

แต่ว่าผลลัพธ์ที่ไปสืบหาคือไม่มี

แล้วเรื่องราวก็ดำเนินไปแบบนี้จนถึงช่วง 5 ทุ่ม เมืองหลวงก็ตกลงในความมืด

เย่เฉินและซูมู่ชิงนั่งอยู่ในเรือนสี่ประสานที่เขาพักชั่วคราว ด้วยท่าทีเหนื่อยล้า

เย่เฉินไม่มีกะจิตกะใจจะทำอย่างอื่น เพราะทุ่มเทตามหาฉินหงเหยียน ซูมู่ชิงเป็นเหมือนเจ้าบ้านหญิง หล่อนถอดเสื้อตัวนอก หาใบชา ล้างกาชาและแก้วน้ำชา ก่อนจะชงชาร้อนๆ ให้เย่เฉิน

“เย่เฉิน วิ่งตามหากันทั้งวัน คุณยังไม่ได้กินอะไรเลย กินชาร้อนๆ ตัวจะได้อุ่นๆ”

ซูมู่ชิงส่งแก้วชาไปให้เย่เฉิน

พูดไปแล้วใช่เย่เฉินคนเดียวเสียที่ไหนที่ไม่ได้กินอะไรเลย?

ซูมู่ชิงเองก็ไม่ได้กินอะไรเลยมาทั้งวันเพื่อช่วยเย่เฉินตามหาฉินหงเหยียน

วันนี้ในเมืองหลวงอากาศหนาวเป็นพิเศษ มือของซูมู่ชิงเองก็เย็นยะเยียบ มือสองข้างของหยิงสาวประคองแก้วชาเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายแล้วถอนหายใจเสียงแผ่วอย่างพึงพอใจ

ถ้าหากว่ามีผู้ชายคนอื่นนั่งที่นี่เห็นมือนวลเนียนเรียวขาวของซูมู่ชิง รวมไปถึงเสียงไพเราะของหญิงสาว เกรงว่าคงจะเผลอเรอคิดเกินเลยแน่

ทว่าเย่เฉินไม่มีแก่ใจจะไปสนใจเรื่องพวกนี้

“ตอนนี้หงเหยียนเป็นอะไรกันแน่?”

เย่เฉินกลัวว่าแฟนสาวจะเกิดเรื่อง กลัวว่าหล่อนจะโดนฆ่าหรือโดนบังคับขืนใจ

ซูมู่ชิงจิบชา ทันใดนั้นเองก็ส่งเสียงในลำคออกมาอย่างพอใจ แล้วจึงกล่าว “เย่เฉินความรู้สึกของฉันบอกว่าฉินหงเหยียนไม่น่าจะเกิดเรื่องอะไร คุณลองคิดดูนะหล่อนอยู่บ้านตลอดเลยใช่ไหมล่ะ? ถ้าหากว่าคนเลวบีบบังคับพาหล่อนออกจากบ้านล่ะก็ น่าจะมีร่องรอยต่อสู้เกิดขึ้นนะ เห็นคุณบอกว่าคุณฉินหงเหยียนเตะต่อยเก่งมาก ผู้ชายทั่วไปยังสู้หล่อนไม่ได้ งั้นน่าจะต้องเห็นร่องรอยการต่อสู้ชัดเจนถึงจะถูก แต่ว่าในตัวบ้าน สะอาดเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ด้วยซ้ำไป นี่แปลว่าคุณฉินหงเหยียนน่าจะยินยอมไปด้วยตัวเอง”

เย่เฉินในฐานะที่เคยเข้าร่วมสงครามมาก่อน เขาจะมองจุดนี้ไม่ออกได้อย่างไร?

ตอนเขากลับมาที่นี่เป็นครั้งแรกก็รู้แล้ว

แต่ว่าเย่เฉินยังเป็นกังวล เขาจึงกล่าวว่า “มีความเป็นไปได้อีกอย่าง มีคนเอาปืนจี้หล่อน หล่อนก็เลยไม่สามารถต่อต้านได้”

แววตาที่เย่เฉินมองซูมู่ชิงออกแววไม่พอใจ ความหมายที่เขาต้องการจะสื่อนั้นชัดเจนอย่างมาก

เพราะว่ามีแต่คนตระกูลซูเท่านั้นที่มีปืน เย่เฉิยยังคงสงสัยคนตระกูลซูอยู่

และในตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีข้อความเข้าในมือถือของเย่เฉิน เขาเปิดดูคิดไม่ถึงว่าอีกฝั่งทีส่งมาคือฉินหงเหยียน!

เย่เฉินตื่นเต้นทันที!

“หงเหยียนส่งมา!”

ซูมู่ชิงรีบร้อนวางแก้วชาลง แล้ววิ่งตรงดิ่งไปหาเย่เฉินแล้วนั่งยองๆ ลงตรงหน้าเขาจากกนั้นก็กล่าวถาม “หล่อนว่าไง”

เนื้อความที่ส่งมาคือ “ฉันสบายดี ไม่ต้องปอหอ”

เมือเห็นอักษรสองตัวหลัง เย่เฉินกับซูมู่ชิงก็สงสัย “ไม่ต้องปอหอหมายความว่าอะไร?”

ส่วนเย่เฉินไม่มีแก่ใจจะมาสนใจเนื้อหาในข้อความ เขารีบร้อนโทรศัพท์ไป แต่ว่าเมื่อกดโทรไปก็พบว่าโทรศัพท์ปิดเครื่องไปแล้ว!

“แม่งเอ๊ย!”

เย่เฉินหัวเสีย

ส่วนซูมู่ชิงกลับแจกแจงความหมายของประโยคนี้ “คุณฉินหงเหยียนจะบอกว่าฉันสบายดี ไม่ต้องห่วงหรือเปล่า?”

เย่เฉินกลับรู้สึกว่า “ฉันสบายดีไม่ต้องห่วง” ค่อนข้างฟังขึ้น “แต่คำว่าห่วงไม่ใช่หอกับงอเหรอ?”

ที่จริงแล้วเย่เฉินมีความรู้หลายภาษา เก่งภาษาจีน แต่ถ้าเทียบกับเพื่อนร่วมชาติแท้ๆ คนอื่นๆ เขาอาจจะไม่ได้รู้เยอะนัก เช่นตัวย่อแบบนี้

ซูมู่ชิงครุ่นคิด ดวงตาสดใสทอประกายแล้วถาม “ฉินหงเหยียนพิมพ์แบบไหนคะ? ใช้แบบช่วยอัตโนมัติหรือเปล่า?”

ทว่าเย่เฉินยังสับสน “อะไรคือตัวช่วยอัตโนมัติ?”

ซูมู่ชิงอธิบาย “ก็พิมพ์อัตโนมัติคือพิมพ์แค่ตัวย่อ พิมพ์แค่พยัญชนะด้านหน้า”

“เช่นอย่างคำว่าเป็นห่วง ถ้าพิมพ์จนครบคือ สระเอ+ปอ.ปลา+ไม้ไต่คู้+นอ.หนู ต่อด้วย หอ.หีล+ไม้เอก+วอ.แหวน+งอ.งู ต้องพิมพ์ตั้งเยอะ แต่ถ้าใช้วิธีพิมพ์อัตโนมัติก็กดแค่ตัวหยัญชนะนำหน้า แบบนี้จะได้ลดการพิมพ์คีย์บอร์ด”

เย่เฉินครุ่นคิด เขาเองก็รู้ว่าฉินหงเหยียนเป็นคนที่ทำงาน อีกทั้งเพราะการทำงานทำให้หล่อนมักใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์บ่อยๆ เพื่อใช้ตอบอีเมล

ในวีแชทเองก็เป็นแบบนั้น หล่อนเป็นผู้บริหารที่ไม่ชอบตอบด้วยข้อความเสียง นอกเสียจากว่าจะพิมพ์ไม่สะดวกจริงๆ

บวกกับที่มีอยู่ครั้งหนึ่ง เย่เฉินอยากจะใช้มือถือของฉินหงเหยียนตอบข้อความก็พบว่าเวลาพิมพ์ มักไม่ได้คำที่ตัวเองต้องการ

เย่เฉินยังคิดว่าภาษาจีนของตนเองไม่ดี จนสุดท้ายเลยตอบด้วยข้อความเสียงแทน

“เหมือนจะเป็นวิธีพิมพ์อัตโนมัติ” เย่เฉินตอบกลับ

ซูมู่ชิงสางผมยาวสลวย จากนั้นก็หยิบเอามือถือออกมา แล้วเปิดเสิร์ชหาวิธีใช้

“คุณดู ตัวปอ.หอ. ที่ส่งมาน่าจะแปลว่าเป็นห่วงนั่นแหละ หล่อนน่าจะอยากบอกคุณว่าหล่อนสบายดี คุณไม่ต้องเป็นห่วง อาจเพราะรีบส่งเลยไม่ดูเช็คคำแล้วส่งมาเลย”

คำอธิบายของซูมู่ชิงเกือบขะสมบูรณ์แบบ เย่เฉินไม่เจอช่องโหว่แม้แต่น้อย

ทว่าเพราะคำอธิบายที่แสนสมบูรณ์แบบนี้ทำให้เย่เฉินเกิดสงสัย!

ทำไมหล่อนถึงได้รู้ว่าฉินหงเหยียนใช้คีย์บอร์ดแบบไหน?

แล้วทำไมหล่อนถึงได้มีน้ำใจพาเย่เฉินไปไล่ดูกล้องวงจรปิด ทำไมถึงได้แน่ใจนักหนาว่าฉินหงเหยียนปลอดภัย แล้วทำไมถึงได้คิดว่าฉินหงเหยียนออกจากเมืองหลวงไปนานแล้ว?

สีหน้าเย่เฉินขึงขัง เขาหันไปกล่าวกับซูมู่ชิง “ซูมู่ชิงวันนี้คุณแสดงละครเก่งใช้ได้เลยนะ!”