ยิ่งเข้าใกล้เยี่ยนหยางมากขึ้นเท่าไร ทิวทัศน์ตามข้างทางนั้นก็ยิ่งเปลี่ยวมากขึ้น อากาศก็ยิ่งหนาวมากขึ้นเท่านั้น สองข้างถนนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นพื้นที่ไร่นารกร้างทั้งสิ้น
ไม่เห็นตึกรามบ้านช่องงดงามสวยสง่า บ้านเรือนสะอาดสะอ้าน ร้านรวงอันคึกคักของเมืองหลวงอีกแล้ว
หลังจากที่เข้ามาในเขตฉังชวนแล้ว ก็เริ่มได้พบกับชาวบ้านที่ประสบภัยหนีขึ้นเหนือมาประปราย
บ้างก็พาครอบครัวมาด้วย บ้างก็มาตัวคนเดียว เนื่องจากญาติพี่น้องหายไปกับอุทกภัย
ทุกครั้งที่เจอ อวิ๋นหว่านชิ่นก็จะบอกกับเฉินจ้าวไว้ แล้วลงจากม้าไปหาทหารที่ดูแลเรื่องอาหารการกินในขบวนทัพเพื่อนำหมั่นโถวหนึ่งตะกร้าไปแจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัย แล้วก็ถามไถ่สถานการณ์ของเมืองเยี่ยนหยางไปด้วย
ตลอดการเดินทาง อวิ๋นหวานชิ่นใช้ชื่อชิ่งเกอเอ๋อร์ ขี่ม้าอยู่ข้างกายเฉินจ้าวตลอดในฐานะบ่าวในจวนทหาร
ม้าที่เฉินจ้าวให้อวิ๋นหว่านชิ่นขี่นั้นเป็นม้าสีขาวขายาวกีบกลมตัวหนึ่ง สีขาวทั้งตัวแทบจะไม่มีขนสีอื่นแซม ถึงแม้ไม่ถือว่าตัวสูงใหญ่ แต่กำลังม้านั้นไม่เป็นสองรองใคร ตอนวิ่งนั้นเก่งกาจยิ่งนัก
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ถึงความตั้งใจของเขา เรื่องสู้รบปรบมือนั้นไม่มีอะไรแน่นอน หากประสบภัยใด ก็ขี่ม้าขาวนี้ แล้ววิ่งหนีไป
เฉินจ้าวแทบจะไม่ให้นางห่างกายแม้เพียงครึ่งก้าว ไม่ว่าจะลงจากรถไปลาดตระเวนตรวจตราคน ดูสถานการณ์ของกองทัพเป็นครั้งคราว หรือไม่ก็รวมตัวหารือกับเหล่ารองแม่ทัพกุนซือ ก็จะให้อวิ๋นหว่านชิ่นตามติดไปด้วยทุกครั้ง
เพียงไม่กี่วัน เหล่าทหารก็รู้จักบ่าวรับใช้ข้างกายแม่ทัพใหญ่คนนี้กันเกือบทุกคนแล้ว
ชิ่งเกอเอ๋อร์นี้อายุน้อย หน้าตาขาวสะอาด คิ้วเรียวตาสวย ตัวสูงเท่าลูกไก่ ไม่เหมือนกับเหล่าชายหนุ่มในกองทัพที่ร่างกำยำล่ำสัน ติดตามแม่ทัพน้อยทั้งวัน กินข้าวอาบน้ำนอนหลับก็อยู่ตัวคนเดียวโดยตลอด ไม่เข้าพรรคพวกกับใคร
เหล่าทหารนั้นตอนแรกก็ยังแอบหัวเราะเยาะว่า แม่ทัพน้อยทำไมถึงได้พาชายหนุ่มที่เหมือนหญิงสาวเช่นนี้มากัน หากมีเรื่องอะไร จะหวังให้เขาช่วยนายน้อยได้อย่างไร!
แต่ว่าเมื่อได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น ก็รู้สึกได้ว่าชิ่งเกอเอ๋อร์นี้ไม่ธรรมดา พูดจามีหลักการ ไม่เพียงแต่อ่านออกเขียนได้ ยังรู้วิชาการแพทย์อีกด้วย ดวงตาที่ตาดำตาขาวชัดเจนนั้นนิ่งสงบ ลมฝนอุปสรรคใดระหว่างการเดินทางนั้นไม่เคยบ่น พบเห็นผู้ประสบภัยที่แขนขาดขาด้วนนั้น ชิ่งเกอเอ๋อร์ก็ไม่เคยตื่นเต้นหวาดกลัว หลายครั้งที่ทำแผลให้ผู้ประสบภัยนั้นด้วยตนเอง บางทีถึงขั้นไปเก็บสมุนไพรที่ใช้รักษาแผลจากแปลงผักใกล้ๆ เอง นอกจากพูดน้อยแล้ว ความกล้าหาญนั้นไม่แพ้ทหารเก่าแก่เหล่านั้นเลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงได้เป็นที่ยอมรับของเหล่าทหาร
ต้องบอกว่า หนุ่มน้อยหน้าตางดงามเช่นนี้น้อยนักที่จะอยู่ในกองทัพทหาร ฉะนั้นเหล่าชายหนุ่มต่างก็ชอบใจชิ่งเกอเอ๋อร์กัน ผ่านไปวันสองวัน ขุนนางทหารข้างกายเฉินจ้าวก็เริ่มจะเรียกอวิ๋นหว่านชิ่นว่า ‘เสี่ยวชิ่งเกอ’ อย่างสนิทสนม
ตอนแรกนั้น เฉินจ้าวยังตำหนิอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มไปพลางฟังคำเรียกและปล่อยให้เขาเรียกไป ก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่เคยใกล้ชิดกับชายหนุ่มในกองทัพมากเพียงนี้มาก่อน อีกยังไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ ตอนแรกก็ยังไม่คุ้นชิน ประการแรกกลัวตัวตนจะถูกเผยออกมา ประการที่สอง ในกองทัพนั้นล้วนเป็นชายหนุ่มทั้งสิ้น นิสัยของเหล่าทหารนั้นส่วนมากจะหยาบโลน ตอนเล่นหยอกล้อกันระหว่างพัก คำพูดการกระทำนั้นก็ไม่ได้ระมัดระวังอะไร
ไม่นาน นางก็ได้รับอิทธพลความแข็งแกร่ง ใจกว้างจากเหล่าทหารในกองทัพ สำหรับหญิงสาวที่เคยอยู่แต่ในเรือนหลังแล้ว เหมือนได้เปิดประตูไปสู่โลกอีกใบหนึ่ง เป็นโลกใบใหม่โดยสิ้นเชิง ไม่มีการต่อสู้แย่งชิงให้เป็นที่รัก ไม่มีการหึงหวง ไม่กระวนกระวายใจด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย เพราะมักจะได้เห็นว่าตรงหน้านั้นมีเรื่องที่สำคัญกว่าจะต้องทำ
เมื่อเข้าใกล้เยี่ยนหยางแล้ว ผู้ประสบภัยตามข้างทางนั้นก็มากขึ้นอย่างสังเกตได้ อากาศก็หนาวเหน็บมากขึ้น นั่งอยู่บนม้าตัวสูงมองออกไป จะเห็นโครงร่างของแม่น้ำชิงที่กว้างใหญ่ไพศาลอยู่รำไร
แม่น้ำสายใหญ่นี้เป็นแม่น้ำสายหนึ่งที่เป็นชีพจรที่คอยหล่อเลี้ยงประชาชนชาวต้าเซวียน แต่ก็เป็นแม่น้ำที่ทำให้ผู้ครองเมืองต้าเซวียนทุกพระองค์ต้องปวดหัวเป็นที่สุดเช่นกัน เมืองที่แม่น้ำชิงไหลผ่าน มักจะต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่เกิดจากน้ำขึ้นและการไหลทะลักของแม่น้ำ และเป็นต้นกำเนิดของเหตุการณ์จลาจลเมืองเยี่ยนหยางในครั้งนี้ด้วย
ในเช้าวันนี้เมื่อตื่นขึ้นมาในจุดพักม้า อวิ๋นหว่านชิ่นรอให้เฉินจ้าวเดินออกมาจากห้องนอน แล้วก็เข้าไปห้องชั้นในเหมือนทุกที พันผ้ารัดหน้าอกอย่างรวดเร็ว แล้วสวมทับด้วยชุดของผู้ชาย เกล้าผม เพิ่งจะเสร็จกิจ ก็ได้ยินเสียงเฉินจ้าวลอยมาจากด้านนอก “เสร็จหรือยัง จะออกเดินทางกันแล้ว”
นางรีบขานรับ “เสร็จแล้ว”
หลายวันมานี้ระหว่างการเดินทางนั้น อวิ๋นหว่านชิ่นกับเฉินจ้าวพักในห้องเดียวกัน เฉินจ้าวพักห้องชั้นใน นางอยู่ห้องชั้นนอก ทุกเช้า เฉินจ้าวจะตื่นก่อนครึ่งชั่วยาม แต่งตัวเสร็จก่อนแล้วค่อยออกมา ให้นางได้ใช้ห้องด้านใน
เดิมทีอยากจะรัดหน้าอกไว้ตลอดทาง แต่เมื่อรัดนานเข้าก็หายใจไม่ค่อยออก รัดเอาไว้นานๆ เช่นนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นเกรงว่ายังไม่ทันได้เข้าเมืองเยี่ยนหยางก็จะอึดอัดตายไปเสียก่อน ฉะนั้นทุกคืนก่อนนอน จะคลายออก จะได้นอนสบายขึ้นบ้าง เช้าวันรุ่งขึ้นค่อยรัดให้แน่นใหม่
เวลานี้ อวิ๋นหว่านชิ่นเกรงว่าจะทำให้การเดินทางล่าช้า จึงไม่ได้รัดเพิ่มอีก รีบออกมาจากห้องชั้นใน เดินพลางพูดไป “แม่ทัพน้อย ไปกันเถิด…”
เฉินจ้าวมือไขว้หลัง ตอนแรกยืนรอนางอยู่ข้างหน้าต่างห้องชั้นนอก หันมาสังเกตดูนางสักครู่ ก็ชะงักไปกระทันหัน สันจมูกอันสูงโด่งนั้นก็แดงก่ำ
อวิ๋นหว่านชิ่นก้มหน้าลงตามสายตาของเขา อึ้งงันไป บนใบหน้านั้นก็มีความเคอะเขินเกิดขึ้น
เสื้อชายตัวกว้างก็ปกปิดรูปร่างที่โค้งเว้าเอาไว้ไม่อยู่ ดูด้านหน้ายังไม่เท่าไร แต่ดูด้านข้างแล้ว ก็จะเห็นเบาะแสที่ทำให้ชายหนุ่มใจเต้นรัวขึ้นได้
อายุนางในตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงที่เติบโตอย่างเต็มที่พอดี หลายเดือนมานี้ยิ่งรวดเร็วมากขึ้น แต่ละส่วนของร่างกายนั้นดั่งดอกไม้ที่เบ่งบาน ในแต่ละวันก็เหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกัน
ยังจำได้ว่าเมื่อก่อนสวมชุดผู้ชาย พันผ้าชั้นเดียวที่หน้าอกก็พอแล้ว ครั้งนี้พันสองชั้นยังแทบจะไม่พอ เมื่อครู่ค่อนข้างรีบร้อน ถึงนางจะพันไปสองชั้นแล้ว แต่ไม่ได้รัดแน่นนัก จึงได้โผล่ออกมาบ้าง
อวิ๋นหว่านชิ่นรีบกล่าว “ข้าเข้าไปพันอีกสักสองชั้น…” พูดแล้วก็หันกลับเข้าห้องชั้นในไป
ผ่านไปสักพัก หญิงสาวที่จัดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็ออกมาอย่างรีบร้อน รู้สึกผิด “ครั้งนี้เสร็จแล้ว”
สีหน้าผิดปกติของเฉินจ้าวก็ได้จางหายไป น้ำเสียงอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง ไม่เข้ากับใบหน้าที่เข้มแข็งงดงามของเขา คล้ายว่ากำลังกดทับความผิดปกติในใจไว้อยู่ “ดี ออกเดินทางกันเถิด”
เมื่อแม่ทัพน้อยออกมาจากที่พัก ขบวนทัพก็เริ่มออกเดินทาง
อีกครึ่งวันก็จะถึงอำเภอเพ่ยแล้ว เป็นอำเภอที่ใกล้กับเยี่ยนหยางมากที่สุด เป็นที่ๆ เว่ยอ๋องประจำการอยู่ ณ ตอนนี้
เนื่องจากสถานการณ์ภัยพิบัติในอำเภอเพ่ยนั้นไม่ร้ายแรงนัก ครอบครัวใหญ่มีชื่อเสียงก็มีมากมาย ค่อนข้างจะสงบสุข และเนื่องจากระยะทางที่ใกล้ สามารถคอยสอดส่องสถานการณ์ในเมืองเยี่ยนหยางได้ตลอดเวลา ทหารตระกูลเฉินจึงได้ตัดสินใจจะประจำการที่อำเภอเพ่ยก่อน
เนื่องจากใกล้กับจุดหมายปลายทาง เฉินจ้าวจึงสั่งให้ทหารตระกูลเฉินเดินช้าลง ด้านหนึ่งเพื่อที่จะให้เหล่าทหารได้ออมเรี่ยวแรงเอาไว้ อีกด้านหนึ่งเพื่อที่จะได้คอยสังเกตสภาพเหตุการณ์รอบข้าง
อวิ๋นหว่านชิ่นดึงบังเหียน นั่งบนอานม้า ตัวขยับขึ้นลงเล็กน้อย เดินอยู่ทางเล็กๆ ที่เงียบสงบในยามเช้า มองดูชายข้างกายผู้นี้บัญชากองทัพ ในใจก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสงบ
นางไม่กังขาในความสามารถการปฏิบัติหน้าที่ในการทหารเลยสักนิด เฉินจ้าวในชาติก่อนนั้น ก็เป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงและเมืองใกล้เคียงตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เสียดายเพียงจุดจบที่นางได้พบเห็นเมื่อยังมีชีวิตอยู่นั้น ช่างน่าเสียดายเสียจริง
ในขณะนั้นเอง เสียงตะคอกก็ลอยมาจากหน้าขบวนทัพ
“ชาวบ้านเหิมเกริม กล้าขวางทางหรือ!” เป็นเสียงของทหารนำทัพ
“ท่านขุนนางขอรับ! บ้านเรือนของหมู่บ้านพวกข้าถูกน้ำท่วมเสียหาย ในเมืองก็เกิดการจลาจลขึ้น กว่าจะหนีออกมาได้ เดิมทีอยากจะไปพึ่งพาญาติที่เมืองอื่น แต่น้ำมารวดเร็วนัก บ้านเรือนถล่มลงมาในทันที ทรัพย์สินในบ้านนำออกมาไม่ได้เลยสักชิ้น ในตัวก็ไม่มีเสบียงใด เมื่อเห็นท่านขุนนางทั้งหลายเหมือนกับได้เห็นเทพลงมาจุติ! ให้อาหารพวกข้าหน่อยเถิด ให้พวกข้าได้อิ่มท้อง มิเช่นนั้นยังไม่ทันได้ถึงบ้านญาติ ก็เกรงว่าจะหิวตายระหว่างทางขอรับ” เป็นเสียงขอร้องอ้อนวอน