ตอนที่ 155.3 หญิงสาวที่ร้อนแรง (3)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นหว่านชิ่นมองเฉินจ้าว เห็นว่าเขาไม่ว่าอะไร จึงได้เหยียบโกลนลงมาจากม้าแล้วเดินไปยังด้านหน้า เห็นเพียงด้านหน้านั้นมีชาวบ้านที่ประสบภัยสิบกว่าราย อายุมากสุดไม่เกินสามสิบปี อายุน้อยสุดก็เท่ากับเด็กหนุ่มที่กำลังพูดอยู่ อายุเพียงสิบสี่สิบห้า ยืนอยู่ด้านหน้าสุด เผชิญหน้ากับทหารตระกูลเฉิน ถึงแม้รูปร่างจะผอมโซ แต่ท่าทีใจกล้ายิ่งนัก 

 

 

เหล่าทหารได้ยินคำขอร้องของเด็กหนุ่ม ทำหน้าดุร้ายเพื่อลองเชิง “ช่างเหิมเกริมนัก! พวกเจ้าหนีออกมาจากเมืองเยี่ยนหยางหรือ มีใครไม่รู้บ้างว่าในเมืองนั้นถูกยึดครองด้วยกลุ่มชาวบ้านที่ก่อการจลาจลขึ้น พูดสิ! พวกเจ้าเป็นพวกเดียวกับหลี่ว์ปาใช่หรือไม่” 

 

 

ใบหน้ามอมแมมของเด็กหนุ่มเปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน เหมือนกับชาวบ้านที่มาด้วยกัน ในวันอากาศหนาวเหน็บก็ใส่เพียงเสื้อผ้าฝ้ายผสมที่ขาดรุ่งริ่ง ส่ายหน้าอย่างแรง สีหน้าตื่นตระหนก “ท่านขุนนาง พวกข้าไม่ทำเรื่องเช่นนั้นหรอก! พวกข้าเป็นชาวบ้านธรรมดาในหมู่บ้านตระกูลเว่ยเมืองเยี่ยนหยาง ข้าชื่อเว่ยเสียวเถี่ย คนสิบกว่าคนเหล่านี้ อยู่หมู่บ้านเดียวกับข้าขอรับ” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยปากกล่าวขึ้น “พวกเจ้าเป็นชาวบ้านผู้ประสบภัย ทำไมถึงไม่ไปรับเสบียงช่วยเหลือจากทางการเล่า” 

 

 

เว่ยเสียวเถี่ยถอนหายใจ “ไปแล้วขอรับ แต่เสบียงอาหารไม่พอ ได้ยินมาว่าราชสำนักส่งองค์ชายห้ามาแจกเพียงครึ่งหนึ่ง พวกข้าจึงได้ให้อาหารกับคนแก่อายุมากในหมู่บ้านไป พวกเขาเดินไม่ไหว หากไม่มีเสบียงอาหาร ก็ทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น พวกข้าอายุยังน้อย ยังพอทนได้บ้าง นี่ก็กำลังเตรียมจะเดินทางไปพึ่งพิงญาติขอรับ” 

 

 

ชาวบ้านผู้ประสบภัยที่มาด้วยกันต่างก็พยักหน้า 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเกิดอ่อนไหวขึ้นมา น้ำเสียงแผ่วเบาลงเล็กน้อย “ระหว่างทางข้าได้ยินชาวบ้านเร่ร่อนบอกว่า หลี่ว์ปาแกนนำชาวบ้านที่ออกมาก่อจลาจลนั้น เพื่อเป็นการรวบรวมผู้คนมาต่อต้านทางการกับเขา จึงได้ให้คำสัญญาว่า หากมาเข้าร่วมกลุ่มของเขาแล้ว ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องอาหารสามมื้อ เหล่าขุนนางของทางการไม่ได้ให้เสบียงอาหารที่เพียงพอแก่พวกเจ้า ปล่อยปละละเลยไม่ดูแลพวกเจ้า ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ไปหาหลี่ว์ปานั่นเล่า” 

 

 

เมื่อพูดคำนี้ออกมา เหล่าทหารในกองทัพต่างก็มองมา ทันใดนั้น สายตาทั้งหมดก็มาอยู่ที่เสี่ยวชิ่งเกอนี้ 

 

 

เว่ยเสียวเถี่ยได้ยินคำพูดของอวิ๋นหว่านชิ่นแล้ว ก็ดึงแขนเสื้อแล้ว ‘ถุย’ ถ่มน้ำลาย “หลี่ว์ปานั่นอาศัยสถานะชาวบ้านผู้ประสบภัยมาหลอกลวงเพื่อให้ได้รับความเห็นใจและความเชื่อใจจากชาวบ้านเมืองเยี่ยนหยาง ฆ่าขุนนาง จับตัวคน แต่ละเรื่องที่ทำจริงๆ แล้วก็เป็นการกระทำของโจรผู้ร้ายทั้งสิ้น เขตฉังชวนนั้นถูกพวกโจรทำลายชื่อเสียง ทำให้คนนอกต่างก็นึกว่าที่นี่เป็นรังโจร ขนาดฮ่องเต้ยังไม่โปรดเลย ถึงข้าจะหิวตาย ก็ไม่ยอมไปเป็นพวกเดียวกับพวกย้อมแมวขายเช่นนี้หรอก!” 

 

 

“นั่นสิ! พูดถูก!” ชาวบ้านผู้ประสบภัยคนอื่นๆ ก็กล่าวพึมพำ 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มเล็กน้อย “ทหาร นำเสบียงมา” 

 

 

เว่ยเสียวเถี่ยดีใจใหญ่ คุกเข่าลงโขกหัว “ขอบคุณท่านขุนนาง! ขอบคุณท่านขุนนาง!” ชาวบ้านผู้ประสบภัยคนอื่นๆ ก็คุกเข่าลงขอบคุณเช่นกัน 

 

 

รองแม่ทัพก่วนที่อยู่ข้างๆ เฉินจ้าวเห็นว่าแม่ทัพน้อยพยักหน้า จึงโบกมือเรียกทหารที่ดูแลอาหารสองนายไปแบกหมั่นโถวและขนมต่างๆ สองตะกร้าไปแจกจ่ายให้เหล่าชาวบ้านสิบกว่าคนนั้น 

 

 

คนกลุ่มนั้นได้รับเสบียงอาหารแห้งมาก็ใส่ไว้ในกระเป๋า แล้วโขกหัวคำนับอีก แล้วก็จากไปทางทิศเหนือตามๆ กัน 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะขึ้นม้า กลับเห็นว่าเว่ยเสียวเถี่ยในมือถือหมั่นโถวอันหนึ่ง ในปากคาบไว้อีกอันหนึ่ง มองดูตนอย่างทื่อๆ ไม่ได้จากไป 

 

 

นางกดคิ้วต่ำ “ทำไมหรือ ยังไม่พออีกหรือ” 

 

 

เว่ยเสียวเถี่ยหยิบหมั่นโถวในปากมาใส่ในห่อผ้าอย่างระมัดระวัง แล้วกล่าว “ข้าอยากเข้ากองทหาร! ท่านขุนนาง ข้าอยากติดตามท่าน! อย่างไรเสียพ่อแม่ข้าก็ไม่อยู่กันแล้ว ไปบ้านญาติครั้งนี้ ก็ไม่แน่ว่าญาติจะยอมรับข้า! ท่านขุนนาง จากนี้ไปท่านดูแลข้าเถิด! ท่านจะกินหัวไช้เท้าข้าจะปอกเปลือกให้ท่าน ท่านจะกินปลาข้าก็จะเขี่ยก้างให้ท่านเอง!” 

 

 

“ฮ่าๆ…” เหล่าทหารตระกูลเฉินหัวเราะเสียงกึกก้อง 

 

 

มีทหารตบบ่าอวิ๋นหว่านชิ่น แล้วยิ้มกล่าว “เสี่ยวชิ่งเกอ ไม่คิดว่าเจ้าจะได้รับคนติดตามด้วย!” 

 

 

“รู้อยู่แล้วว่าเสี่ยวชิ่งเกอของเราไม่ธรรมดา เป็นอย่างไร ถูกคนตามตื๊อเข้าแล้วสิ!” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นปัดมือพลทหารนายนั้น “อย่าล้อเล่นน่ะ!” 

 

 

เว่ยเสียวเถี่ยนึกว่าอวิ๋นหว่านชิ่นบอกตนว่าอย่าล้อเล่น จึงร้อนรน รีบยกมือสาบานต่อฟ้า “ข้าไม่ได้ล้อเล่น! ท่านขุนนาง ท่านรับข้าไว้เถิด! ข้าทำอะไรได้หมด แบกน้ำ ทำเตียงให้อุ่น หุงข้าว ซักเสื้อผ้า ทำได้ทุกข้อ! จริงสิ ข้ายังฝึกเพลงหมัดด้วย ปกป้องท่านขุนนางได้! คนแก่ในหมู่บ้านข้าต่างก็บอกว่าข้าเก่ง บุตรสาวบ้านใดหากได้ข้าไป ต้องนอนยิ้มจนฟันหลุด! เพียงแต่…จนไปนิดเท่านั้น” พูดไปก็เกาหัวไปพลาง 

 

 

เหล่าทหารหัวเราะขึ้นมาอีก 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นครั้งนี้ไม่ได้หัวเราะ สังเกตคะเนอยู่ชั่วครู่ หันมามองเฉินจ้าวบนม้าตัวสูงใหญ่ 

 

 

ถึงแม้จะอยู่ไกล เฉินจ้าวกลับอ่านสายตานางออก นางอยากรับเด็กหนุ่มนั่นเอาไว้ พิจารณาอยู่สักพัก มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อย 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่าเฉินจ้าวตกลงแล้ว กล่าวกับเว่ยเสียวเถี่ยว่า “เจ้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด แต่เจ้าต้องจำไว้ว่า เจ้าไม่ได้ติดตามข้า แต่ติดตามทหารตระกูลเฉิน ข้าก็เป็นบ่าวรับใช้ของแม่ทัพน้อยเช่นกัน ต่อจากนี้ไปนายที่เจ้าจะต้องรับใช้นั้นคือท่านนั้น…” กล่าวพลางชี้เฉินจ้าว 

 

 

เว่ยเสียวเถี่ยเหมือนดั่งนกที่เพิ่งออกจากเปลือกไข่ เห็นใครคนแรกก็ถือว่าคนนั้นเป็นแม่ ตอนนี้เห็นเพียงขุนนางที่อายุมากกว่าตนไม่เท่าไร แต่มาดไม่ธรรมดาผู้นี้เป็นนาย แต่ก็ยังรักษาหน้าให้โขกหัวคำนับ “ขอรับ ขอรับ! ขอบคุณท่านขุนนางขอรับ” 

 

 

กลับมาบนอานม้า ขบวนทัพเคลื่อนไปข้างหน้าต่อ 

 

 

ท่ามกลางเสียงกีบม้า บนอานนั้น เสียงของเฉินจ้าวลอยมา “ทำไมถึงอยากรับเด็กหนุ่มคนนี้ไว้เล่า หรือว่าชอบที่เขาหุงข้าวอุ่นเตียงให้ได้กัน” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นดึงบังเหียน เหยียดหลังตรง ชำเลืองดูชายหนุ่มข้างกายนี้ นานๆ ทีจะพูดจาหยอกล้อ “แม่ทัพน้อยดูเขาสิ อายุยังน้อย แต่ชาวบ้านต่างก็ฟังเขา แสดงว่ามีความสามารถในการรวบรวมกำลังพล กล้าที่จะนำผู้คนมาขวางขบวนทหารของราชสำนักเพื่อขอเสบียงอาหาร แสดงว่าจะต้องมีความกล้าหาญ คนมีความสามารถเช่นนี้ จะปล่อยไปได้อย่างไร” พูดอยู่ก็ลดเสียงเบา “อีกยังเป็นคนในพื้นที่เมืองเยี่ยนหยางด้วย ดูท่าทางของเขาแล้ว น่าจะคุ้นเคยถนนหนทางในเมืองเป็นอย่างมาก ทั้งยังรู้จักหลี่ว์ปาเป็นอย่างดี ไม่แน่ว่าอาจจะมีประโยชน์ในการแก้ไขสถานการณ์จลาจลในเมืองเยี่ยนหยางได้” 

 

 

ไม่เสียกำลังทหารแม้แต่นายเดียวทำให้ฝั่งตรงข้ามยอมสยบโดยไม่ต้องสู้รบ เป็นความหวังสูงสุดที่ผู้เป็นทหารคาดหวังแสวงหา หลักการนี้ เฉินจ้าวจะไม่รู้ได้อย่างไร ถึงมดจะตัวเล็ก แต่ก็สามารถกัดช้างล้มได้ ฟังคำพูดของหญิงสาวข้างกาย อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา แล้วก็เดินหน้าต่อไป 

 

 

** 

 

 

ณ อำเภอเพ่ย 

 

 

นายอำเภอเจียงยืนรอต้อนรับทหารตระกูลเฉินด้วยตนเองที่หน้าประตูเมือง 

 

 

ธงที่มีตัวหนังสือ ‘เฉิน’ ขอบทองโบกสะบัดภายใต้แสงแดดยามเที่ยง ขบวนทัพทหารอันยิ่งใหญ่ก็หยุดเคลื่อนลง 

 

 

ศูนย์กลางด้านหน้าของขบวนมีม้าขนหนาเงางามยืนอยู่ บนอานม้าพู่แดงนั้นมีแม่ทัพอายุน้อยนั่งอยู่ มือจับบังเหียน สวมใส่เสื้อเกราะลายเสือดำ กระบี่คาดเอว ลำตัวเหยียดยาว หน้าตาเด็ดเดี่ยว สำรวมกิริยา มาดเคร่งขรึมของขุนนางทหาร 

 

 

นายอำเภอเจียงรู้ว่านี่คือแม่ทัพกองทัพหมิงที่ฮ่องเต้ทรงบัญชาให้ลงมาทางใต้ จึงนำเหล่าบริวารคำนับ แล้วเชิญคนเหล่านี้เข้าเมือง 

 

 

เหล่าทหารตระกูลเฉินตั้งค่ายในพื้นที่ว่างเปล่าของสนามฝึกในเมือง ประจำการเป็นการชั่วคราว เพื่อรอฟังคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา 

 

 

เฉินจ้าวพาอวิ๋นหว่านชิ่นและเหล่ารองแม่ทัพเข้าพำนักในเรือนตระกูลเจียงหลังที่ว่าการอำเภอ เพื่อเป็นแนวหลังในการยกย้ายกำลังทหาร 

 

 

ณ เรือนใหญ่ ในห้องโถงหลัก 

 

 

เมื่อเข้าพำนักแล้ว เฉินจ้าวก็รีบเรียกรวมตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง นั่งอยู่บนเก้าอี้กุนซือตรงหัวโต๊ะ ฟังนายอำเภอเจียงรายงานสถานการณ์ของเมืองเยี่ยนหยาง สายตาเพ่งเล็ง คิ้วขมวดเล็กน้อย ดูมีพลังอำนาจน่าเกรงขาม