ตอนที่ 155.4 หญิงสาวที่ร้อนแรง (4)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อย่างไรเสียก็เป็นแม่ทัพจากเมืองหลวง ถึงแม้อายุยังน้อย แต่แข็งแกร่งน่าเกรงขาม สยบใจผู้คนได้ยิ่งนัก นายอำเภอเจียงไม่กล้ารอช้า กล่าวรายงานข้อมูลที่ให้คนไปสืบมา 

 

 

“หลี่ว์ปานั่นยึดครองจวนผู้ว่าการเมือง นำกลุ่มขบวนชาวบ้านที่ประสบภัย หลายวันนี้เหมือนว่าจะกลุ่มใหญ่ขึ้นมาก อีกยังหลอกชาวบ้านอีกไม่น้อย ให้อาหารกับชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องอะไร หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าน้อยเกรงว่ากำลังของเขาจะยิ่งใหญ่ขึ้น หากทำการโหดร้ายขึ้นมา เข้าไปที่พระราชนิเวศน์ของฉินอ๋องจับเป็นตัวประกัน ก็จะยิ่งเป็นภัยร้ายนัก โชคดีที่ท่านแม่ทัพมาได้ทันเวลา จะได้ช่วยพวกข้าวางแผนว่าจะแก้ไขได้ขอรับ” นายอำเภอเจียงกล่าว 

 

 

“เว่ยอ๋องในเวลานี้อยู่ที่ใด” 

 

 

กดเสียงต่ำ เสียงต่ำกว่าเสียงหญิงสาวเล็กน้อย เสียงเล็กกว่าเสียงชายหนุ่มอยู่บ้าง ลอยมาจากในกลุ่มรองแม่ทัพข้างกายเฉินจ้าว 

 

 

นายอำเภอเจียงมองตามเสียงไป เห็นเพียงเด็กหนุ่มชุดดำที่ยืนข้างแม่ทัพเฉิน รูปร่างสง่างาม เปรียบดั่งหน่อไม้ คิ้วนั้นทำคนหัหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก แต่ดวงตากลับนิ่งสงบอย่างหาได้ยาก จะบอกว่าเป็นขุนนางรับใช้ข้างกายท่านแม่ทัพ ก็ไม่เคยพบขุนนางที่อายุน้อยเพียงนี้มาก่อน จะบอกว่าเป็นบ่าวรับใช้ บุคลิกก็ไม่ค่อยเหมือนนัก ในชั่วขณะนั้น เขาตกตะลึงยิ่งนัก “ท่านนี้คือ…” 

 

 

เฉินจ้าวคว้าแก้วน้ำชาจากขอบโต๊ะยาว เปิดฝาออก “ชิ่งเกอเอ๋อร์ผู้ติดตามข้า คำถามที่เขาถาม ให้ใต้เท้าเจียงมองว่าเป็นคำถามที่ข้าถามได้เลย” 

 

 

นายอำเภอเจียงสูดลมหายใจเข้าแล้วกล่าว “ตอนนี้เว่ยอ๋องพำนักอยู่ในพระราชนิเวศน์ประตูตะวันตกอำเภอเพ่ย นำเหล่าพลทหารคอยเฝ้าเสบียงและเงินช่วยเหลือภัยพิบัติขอรับ” ลังเลอยู่สักครู่ “ตอนที่เว่ยอ๋องเพิ่งมานั้น ข้าน้อยก็เคยเตือนเว่ยอ๋องให้แจกจ่ายของทั้งหมด แต่เว่ยอ๋องไม่ฟังเลยขอรับ เห้อ” 

 

 

ฉินอ๋องส่งคนมาเอาของเขายังปฏิเสธเลย จะฟังนายอำเภอได้อย่างไรเล่า รอมาจนถึงตอนนี้ถึงจุดที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แม้จะยอมเอาออกมา เกรงว่าก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว! 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นสีหน้าเคร่งเครียด 

 

 

นายอำเภอเจียงกล่าวอีก “สรุปก็คือ ตอนนี้ในเมืองเยี่ยนหยางทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันอย่างเคร่งเครียด ฝั่งหนึ่งเป็นชาวบ้านหลี่ว์ปานำทัพชาวบ้านผู้ประสบภัย ตอนนี้เกรงว่าน่าจะเกินพันคนแล้ว ยังมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งให้ความช่วยเหลืออีก อีกฝั่งเป็นเหล่าขุนนางที่นำโดยฉินอ๋อง ข้าหลวงสวีและผู้ตรวจการเหลียงต่างก็อยู่ในพระราชนิเวศน์นั้นด้วยขอรับ” 

 

 

เฉินจ้าวหนังตาขยิบเล็กน้อย เหมือนว่ากำลังตัดสินใจวิธีที่เหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้มากที่สุดอยู่ 

 

 

ท่ามกลางความเงียบงัน ในที่สุดนายอำเภอเจียงก็อดไม่ได้ที่จะสอบถาม “ท่านแม่ทัพ ใต้เท้าทั้งหลาย พวกท่านจะทลายเมืองด้วยกำลัง หรือจะคอยดูสถานการณ์ก่อนขอรับ” 

 

 

รองแม่ทัพก่วนกล่าว “ท่านแม่ทัพ เวลาเป็นเงินเป็นทอง จะให้โอกาสหลี่ว์ปายิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่ได้นะขอรับ ให้ข้าน้อยนำทัพ บุกเข้าเมืองเยี่ยนหยางในคืนนี้ แล้วบุกเข้าจวนผู้ว่าไปจับเป็นชาวบ้านที่ก่อการจลาจลเหล่านั้นเถิด!” 

 

 

“ใช่ขอรับ ท่านแม่ทัพ ชาวบ้านเหล่านั้นจะเก่งกาจเพียงใด ก็เป็นเพียงพวกนักเลงเสเพล ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะเก่งกาจสักแค่ไหน!” ผู้บัญชาการกองพันทหารถังอีกนายหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมา 

 

 

เฉินจ้าวขมวดคิ้วเล็กน้อย “จะโจมตีด้วยกำลังไม่ได้ ในมือฉินอ๋องมีกำลังทหาร จำนวนคนไม่น้อยไปกว่าหลี่ว์ปา แต่ฉินอ๋องก็ยังนิ่งอยู่ จะต้องกังวลเรื่องอะไรอยู่เป็นแน่” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า “ท่านแม่ทัพพูดถูก จะบุ่มบ่ามไม่ได้” 

 

 

“ถุย แม่งเอ้ย แล้วจะทำอย่างไร! หรือจะให้ดูไอ้หลี่ว์ปานั่นเป็นฮ่องเต้บ้านป่าในเมืองเยี่ยนหยาง ร้องโอดโอยกับราชสำนักต่อไปอย่างนั้นหรือ” ผู้บัญชาการกองพันทหารถังโมโหจนร้อนรน 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าว “เมืองเยี่ยนหยางจะกว้างใหญ่สักเพียงใด พวกเขาจะขังตัวเองอยู่ในนั้นได้นานแค่ไหนเชียว รอให้ของกินของใช้ในเมืองหมด ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขายังจะอยู่ได้อีก ถึงพวกเขาจะเฝ้าเมืองต่อไป ชาวบ้านในนั้นก็ไม่เชื่อฟังแล้ว ฉะนั้นการได้มาด้วยไหวพริบดีกว่าการบุกทลายด้วยกำลัง” 

 

 

“เสี่ยวชิ่งเกอเอ๋ย” ผู้บัญชาการกองพันถังเป็นคนหยาบโลนตรงไปตรงมา แต่ทุกทีเวลาพูดกับชิ่งเกอที่ดูบอบบางนี้ก็จะอ่อนโยนลงบ้าง กลัวว่าพูดเสียงดังแล้วจะเป่าเขาลอยออกไป แต่ตอนนี้กลับอดไม่ได้ที่จะเสียงดัง “ริมฝีปากที่งดงามของเจ้าหุบๆ อ้าๆ เช่นนี้ พูดง่ายสิ ได้มาด้วยไหวพริบ จะได้มาอย่างไรเล่า ใช่ พวกเราสามารถรอให้พวกเขาหมดแรงอ่อนกำลังลง แต่พวกเรารอได้ ฉินอ๋องและเหล่าขุนนางในเมืองนั้นรอไม่ได้ หากก่อนที่หลี่ว์ปานั่นจะหิวตายหนาวตาย ยอมต่อสู้จนตกตายไปทั้งสองฝ่ายเล่าจะทำอย่างไร ตอนนี้ พวกเราควรจะรีบทำเวลา ใครไวกว่า คนนั้นก็ชนะ! นี่ เสี่ยวชิ่งเกอ ข้ารู้ว่าเจ้าฉลาด แต่เรื่องใหญ่เช่นนี้ อย่างไรก็ต้องฟังพวกพี่ๆ เจ้ายังต้องดื่มนมไปอีกสักสองปี” 

 

 

เฉินจ้าวสีหน้าเคร่งขรึม “พูดจาอะไรของเจ้า!” 

 

 

ผู้บัญชากองพันถังถลึงตา กอดอก ไม่พูดอะไรต่อ 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้สนใจคำพูดเหิมเกริมของผู้บัญชาการกองพันถัง หลายวันมานี้อยู่ในกองทัพทหารก็คุ้นชินไปแล้ว เหล่าชายหนุ่มในค่ายทหาร พูดอะไรออกมาก็ได้ คำหยาบก็ฟังมาไม่น้อย ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่กลับเป็นรองแม่ทัพก่วนที่เอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “เสี่ยวชิ่งเกอคิดวิธีอะไรได้แล้วใช่หรือไม่” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าว “หาคนคนหนึ่งเข้าเมืองไป แล้วแฝงตัวเข้าไปข้างกายหลี่ว์ปา คอยสอดส่องแอบฟังก่อน หากไม่มีอะไร ก็ส่งจดหมายออกมา แม่ทัพค่อยจู่โจมเข้าเมืองก็ยังไม่สาย” 

 

 

นายอำเภอเจียงขมวดคิ้ว “ทว่า เยี่ยนหยางในตอนนี้ถูกหลี่ว์ปานั่นปิดเมืองเอาไว้ มีเพียงชาวบ้านผู้ประสบภัยที่ไม่ยอมก่อการจลาจลกับเขาแอบหนีออกมา ไม่มีใครเข้าไปได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแฝงตัวเข้าไปอยู่ข้างกายเขา ไม่ง่ายเลยนะขอรับ” 

 

 

“นั่นสิ!” ผู้บัญชาการกองพันถังตะโกนขึ้นมา 

 

 

เฉินจ้าวมองดูอวิ๋นหว่านชิ่น เหมือนว่าจะรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง ไม่ทันได้ห้ามปราม ก็ได้ยินนางเอ่ยปากพูดขึ้นมา “ข้ามีวิธี ให้ข้าเข้าไป” 

 

 

“ไม่ได้” เฉินจ้าวปฏิเสธทันที 

 

 

ผู้บัญชาการกองพันถังไม่คิดว่าเสี่ยวชิ่งเกอจะเสนอตัว เหอะ เจ้าเด็กน้อยนี่ดูเหมือนจะยังเด็ก แต่ช่างกล้าหาญไม่น้อย “เสี่ยวชิ่งเกอของข้า หลี่ว์ปานั่นไม่ใช่พ่อไม่ใช่อาเจ้า นั่นเป็นชาวบ้านบ้าคลั่งที่ฆ่าขุนนางไปแล้วหลายคน ถึงเจ้าจะแฝงตัวเข้าไปได้ เข้าใกล้เขาได้ แต่ไม่กลัวว่าถูกเขาจับได้ แล้วจะหั่นหัวน้อยๆ ของเจ้ามาแขวนหน้าประตูเมืองหรือ” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นลูบหัว “ขอบคุณใต้เท้าถังที่เป็นห่วง คอข้าน้อยแข็งนัก หั่นไม่ง่ายหรอกขอรับ” 

 

 

เฉินจ้าวสีหน้ายิ่งคร่ำเครียด “ไม่ต้องพูดแล้ว!” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นก้มตัวคำนับเฉินจ้าว “ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยมีวิธี ท่านวางใจได้ขอรับ” 

 

 

เฉินจ้าวเห็นว่านางถึงแม้จะคำนับอยู่ แต่น้ำเสียงนั้นเหมือนคำบัญชาของเจ้านายที่มีต่อลูกน้อง แต่ยังคงไม่หวั่นไหว “ไม่ได้ ชายหนุ่มทหารตระกูลเฉินที่เคยออกรบมานับครั้งไม่ถ้วนนี้กินข้าวเปล่ากันหรืออย่างไร ไม่ต้องให้เจ้ามาบุกตะลุยแนวหน้าหรอก!” 

 

 

พานางมาฉังชวนเดิมทีก็ไม่วางใจอยู่แล้ว ไม่คิดว่านางจะได้คืบเอาศอก จะเข้าไปในเมืองที่เต็มไปด้วยชาวบ้านเคราะห์ร้ายบ้าคลั่งคนเดียว ล้อเล่นหรืออย่างไร 

 

 

หากรู้แต่แรก คืนนั้นน่าจะจับนางมัดมือมัดเท้า ส่งกลับจวนฉินอ๋องเสีย! 

 

 

ผู้บัญชาการกองพันถังและคนอื่นๆ ได้ยิน ต่างก็ไม่วางใจกัน บ่าวที่นุ่มนิ่มเหมือนกับสาวน้อยเช่นนี้หากตายในมือชาวบ้านที่บ้าคลั่ง จะน่าเสียดายยิ่งนัก จึงได้เตือนตามแม่ทัพ 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “บ่าวมิได้บุกตะลุยแนวหน้า เพียงแต่ไปสอดแนวสืบข่าวคราวข้อเท็จจริง เป็นสายลับสักครั้งเพียงเท่านั้น” 

 

 

“ไม่ต้องพูดให้มากความอีก” เฉินจ้าวตัดสินใจแล้วเรียกให้ทหารหน้าประตูจับนางออกไป แต่กลับเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นย่อเข่า จะคุกเข่าลงไป 

 

 

เขาตกใจ แขนอันยาวของเขายื่นออกไปได้ทันเวลา พยุงศอกของนางเอาไว้ ห้ามปรามเอาไว้ได้ กล่าวเสียงแผ่วเบาในทันใด “เจ้า กำลังบีบบังคับข้า” 

 

 

“ท่านแม่ทัพก็อย่าบังคับข้าเลย” อวิ๋นหว่านชิ่นสายตาเย็นยะเยือก 

 

 

ชายผู้นั้น ดีเพียงนั้นเชียวหรือ ถึงขนาดทำให้นางยอมเสี่ยงชีวิตเช่นนี้ เฉินจ้าวมองดวงตาของนาง อย่างเหม่อลอยเล็กน้อย