คนชะตาขาด!
กำลังจะตาย!
นี่พูดจาเหลวไหวอะไรกัน!
บัณฑิตอาวุโสแทบอยากจะเข้าไปตบหน้าเขา
รู้ว่าหมอดูชอบใช้คำพูดเกินจริงข่มขู่ให้ลูกค้าตกใจ เพื่อพวกเขาจะได้จ่ายเงินแก้ดวงเพิ่ม แต่นี่มันเกินไปแล้วจริงๆ ! นี่ไม่ใช่การข่มขู่ แต่เป็นคำสาปแช่ง!
“ถึงว่าไม้วิเศษนี้อยู่ที่นี่ตั้งนานก็ไม่มีลูกค้าสักที…ทำการค้าไม่เป็นจริงๆ …”
“หมดกัน หมดกัน ครั้งนี้ต้องถูกทุบตีจนปางตายแน่…”
คนที่มุงรอบๆ ส่ายหน้าแล้วหัวเราะนินทา
แต่กลับไม่มีฉากทะเลาะวิวาทหรือเฆี่ยนตีเกิดขึ้น คนทั้งสองยังคงนั่งนิ่ง โดยมีโต๊ะไม้เตี้ยขั้นกลาง
ใบหน้าของเฉิงผิงยังคงประหลาดใจ ขณะที่สีหน้าของเฉิงเจียวเหนียงยังคงนิ่งสงบ ราวกับว่าสิ่งที่ได้ยินและพูดออกมานั้นไม่ใช่พวกเขาทั้งสองคน
“ดีหรือร้าย” เฉิงเจียวเหนียงถาม
“ชะตาขาด จะเห็นดวงชะตาได้อย่างไร” เฉิงผิงส่ายหน้าด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เป็นครั้งแรกที่มองดูแม่นางน้อยคนนี้อย่างจริงจังด้วยใบหน้าเหลือเชื่อ
จู่ๆ เขาพูดโพล่งออกมาด้วยความงุนงง
“ข้าเคยพบเจอเจ้ามาก่อน! ”
เสียงตึงดังขึ้น ผู้คนรอบๆ สะดุ้ง มองเห็นแม่นางน้อยที่นั่งนิ่งลุกขึ้นยืนทันที ดูเหมือนจะตกใจจนเก้าอี้วางเท้าล้มลง
พูดว่านางคือคนตายยังไม่ตกใจเท่านี้ แต่แค่ประโยคที่ว่าเคยพบเจอเจ้ามาก่อนกลับทำให้นางเป็นถึงเช่นนี้
เฉิงผิงกระตุกมุมปากด้วยความตกใจและอึดอัดใจเล็กน้อย
“ไม่ ไม่ใช่การพบเจออย่างที่เจ้าคิด…” เขารีบเอ่ย “แต่ แต่อยู่ที่หน้าประตูของบ้านตระกูลเฉิง เจ้าคือแม่นางน้อยที่มีขบวนต้อนรับเข้าบ้านอย่างใหญ่โตล่ะสิ”
เฉิงเจียวเหนียงตอบรับ
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคิดเช่นนั้น” นางถามต่อทันที
เฉิงผิงยิ้มเจื่อน
“นี่ นี่แค่ดูก็รู้แล้ว แม่นางน้อยไม่ได้อยากดูข้า แต่จะอาศัยข้าดูคนอื่น…” เขายิ้มเอ่ย
ว่าอย่างไรนะ ผู้คนที่อยู่รอบๆ ตกตะลึง
เหตุใดพวกเราถึงมองไม่ออก นอกเสียจากดูแปลกประหลาดยิ่งนัก…
ทุกคนแอบมองไปที่เฉิงเจียวเหนียง
เฉิงเจียวเหนียงยิ้ม แต่เพราะดวงตาปรากฏหยดน้ำตา ถึงจะยิ้มแต่ก็ดูเหมือนโศกเศร้า
“ถูกต้อง ท่านฉลาดไม่เบา” นางเอ่ย
ฉลาดหรือ
ดูออกได้อย่างไร
ทุกคนมองไปที่เฉิงผิงอีกครั้ง ร่างกายสูบผอมจนลมพัดปลิวได้ เสื้อผ้าที่สวมใส่ยังแย่กว่าขอทานเสียอีก เพราะใบหน้าที่สูบผอมถึงทำให้ดูเหมือนสกปรก
เฉิงผิงอ้าปากหัวเราะลั่น
“ใช่ ใช่” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงมองหน้าเขา ก้มหน้า ราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างได้จึงเงยหน้าขึ้น
“ข้าขอถามท่านเป็นคำถามสุดท้าย” นางเอ่ย
ใบหน้าของนางจริงจัง คล้ายกับว่าเป็นทุกข์ ทั้งคล้ายกับสิ้นหวัง พาลให้คนเห็นหัวใจกระตุกวูบ
เฉิงผิงกลืนน้ำลาย นับตั้งแต่เขาทำนายดวงชะตามาไม่เคยพูดจาลังเลเช่นนี้มาก่อน แต่ครั้งนี้กลับไม่กล้าเอ่ยปากพูด
“เจ้าเก็บเงินครบหนึ่งร้อยเหวินแล้วจะเตรียมเอาไปทำอะไร” เฉิงเจียวเหนียงมองหน้าเขา ค่อยๆ ถาม
ที่แท้ก็ถามเรื่องนี้ เฉิงผิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกและยิ้มอย่างภูมิใจ
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องการประทังชีวิต สามารถอ่านและถอดความหมายของคัมภีร์ได้เสียที” เขาพูดอย่างมีความสุขพลางมองไปที่แม่นางน้อย “ข้าอยากจะอ่านและถอดความหมายของ…”
เขาพูดถึงเพียงเท่านี้ก็หยุดพูด เพราะแม่นางน้อยตรงหน้าน้ำตาไหลพรากออกมา
จากหนึ่งสองหยดในตอนแรก กลายเป็นไหลพรากออกจากสองตา
“เหล่าจึ” นางค่อยๆ พูดสองพยางค์นี้ออกมา
เฉิงผิงเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
“เหตุใดเจ้าถึงรู้ได้เล่า” เขาเอ่ยพลางคิดถึงบางอย่างที่สงสัยทันที “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าจะกำลังเก็บเงินหนึ่งร้อยเหวิน”
เฉิงเจียวเหนียงมองหน้าเขา น้ำตานองหน้า แต่กลับยิ้มออกมา
“ตอนเด็ก ทุกวันข้าจะได้ยิน….” นางพึมพำกับตัวเอง
อะไรนะ ตอนเด็กได้ยินทุกวันอย่างนั้นหรือ ได้ยินอะไร ได้ยินว่าข้าเก็บเงินครบหนึ่งร้อยเหวินเพื่ออ่านคัมภีร์หรือ
เฉิงผิงตกตะลึงกำลังจะอ้าปากถาม ก็มองเห็นหญิงสาวหันหลังทันทีแล้วเดินตรงไป
“ระวัง!” เฉิงผิงตะโกนออกไปในทันที
แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว หญิงงามสะดุดเก้าอี้จนเกือบจะล้มลง แต่ยังดีที่หญิงอีกสองนางช่วยรับไว้ทัน จึงไม่ล้มลงกับพื้น
“นายหญิง นายหญิง เจ็บตรงไหนไหมเจ้าคะ”
“รีบนั่งลงเถิดเจ้าค่ะ”
พวกนางรีบเอ่ย แต่เฉิงเจียวเหนียงกลับผลักพวกนาง
“พวกเจ้านั่งเถิด ข้าอยากไปเดินเล่นคนเดียว” นางเอ่ย โดยไม่ได้มองหน้าพวกเขา แต่กลับก้าวเดินไปข้างหน้าต่อ
ให้พวกนางนั่งหรือ พวกนางจะนั่งทำไม!
หญิงทั้งสองสบตากันด้วยใบหน้ามึนงง มองไปที่เฉิงเจียวเหนียงที่เดินออกไปไกลแล้ว นางราวกับไม่ได้มองทางทั้งเดินอย่างรีบเร่งจนชนคนมากมาย บนถนนวุ่นวายไปหมด
“นายหญิง! ”
เมื่อทุกคนได้สติจึงรีบวิ่งตาม
“รีบหนีเร็ว! ” บัณฑิตอาวุโสรีบโบกมือให้กับเฉิงผิง
เฉิงผิงเมื่อได้สติรีบหันหลังเตรียมวิ่งหนี แต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง ผู้ติดตามที่อยู่อีกฝั่งเดินไปไม่กี่ก้าวก็รีบจับไหล่เขาไว้
“โอ้ โอ้ โอ้ อย่าตีหน้า อย่าตีหน้า”
ระหว่างที่เฉิงผิงตะโกน ก็ถูกจับตัวเข้าแล้ว
ผู้คนโดยรอบพากันส่ายหน้า สีหน้าแฝงไปด้วยความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
“สมควรแล้ว ใครสั่งให้เขาเป็นคนหลอกลวง…”
“ดูสิ หลอกแม่นางน้อยจนร้องไห้ถึงเพียงนี้…”
บัณฑิตอาวุโสก็ส่ายหน้าเช่นกัน รีบเก็บแผงภาพวาดแล้ววิ่งหนีไป เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นจนติดร่างแหไปด้วย
“นายหญิง นายหญิง…”
“…ตกลงท่านเป็นอะไร เกิดเรื่องอะไรขึ้น ท่านพูดเถิด…”
หญิงทั้งสองรีบถาม เดินตามประกบเฉิงเจียวเหนียงซ้ายขวา
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้มองพวกนาง แต่ก็ไม่ได้ดูเหมือนไม่ใส่ใจ
“ข้าไม่เป็นอะไร ข้าไม่เป็นอะไร ข้าแค่อยากเดินเล่นไปเรื่อย” นางเอ่ยอย่างเหม่อลอย น้ำตาไหลพรากไม่หยุด
หากพูดว่านางยังมีความรู้สึกก็คงไม่ถูก เพราะเมื่อครู่นางชนกับผู้คนมาตลอด จนผู้ติดตามต้องเดินนำหน้าเพื่อเปิดทางให้
ผู้ติดตามที่อยู่ซ้ายขวาหน้าหลังและแม่นางน้อยที่น้ำตานองหน้าในชุดสูงศักดิ์ ดึงดูดสายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปมา ทุกคนต่างมองดูด้วยความประหลาดใจ หากไม่ใช่เพราะผู้ติดตามที่ดูเหี้ยมโหด คงเข้าไปมุงดูกันเป็นแน่
“ตกลงนี่ นี่ มันอะไรกัน” หญิงทั้งสองก็อยากร้องไห้ ไม่รู้ว่าเพราะเป็นกังวล หรือเห็นเฉิงเจียวเหนียงร้องไห้จึงอยากร้องตามกันแน่
ผู้ติดตามก็มึนงงด้วยเช่นกัน
พวกเขาเคยเห็นนายหญิงเป็นเช่นนี้เป็นครั้งแรก จนถึงบัดนี้ พวกเขาก็ยังได้แต่สงสัย นายหญิงที่แค่เพียงยกมือก็สามารถฆ่าคนได้แล้ว ซึ่งแท้จริงแล้ว นายหญิง…ก็เป็นเหมือนผู้หญิงทั่วไปที่หลั่งน้ำตาออกมาให้เห็น…
“ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไร นางแค่รู้สึกอึดอัดและต้องการปลดปล่อย”
เฉิงผิงตะโกน สองแขนยังถูกผู้ติดตามใช้เสื้อมัดไว้แล้วลากเดินไป
“นางอยากเดินก็ให้นางเดิน นางอยากร้องไห้ก็ให้นางร้องไห้ นางอยากทำอะไรก็ให้นางทำไป”
ผู้ติดตามหันหน้ามองเขา
เฉิงผิงยืดตัวตรงเสแสร้งทำท่าอย่างนักปราชญ์เทพเซียน แต่ยังไม่ทันจะยืนตรง ก็ถูกผู้ติดตามตีเข้าที่หน้าจนผมแทบร่วง
“ไอ้คนสารเลว เพราะเจ้าคนเดียวเลย บอกว่านายหญิงข้าตายแล้วบ้างล่ะ ชะตาขาดบ้างล่ะ! ”
“หากนายหญิงข้าคิดฟุ้งซ่านแล้วเกิดอะไรขึ้นมา ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่! ”
ตีก็ตีแล้ว ด่าก็ด่าแล้ว แต่เหตุใดทุกคนถึงหมดหนทางเช่นนี้
เฉิงเจียวเหนียงยังคงเดินต่อไป คนบนท้องถนนเดินผ่านไปมา พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่เมื่อเฉิงเจียวเหนียงเดินผ่าน ทุกคนต่างหยุดมองด้วยใบหน้าประหลาดใจทั้งยังชี้นิ้วไปมา แต่สถานการณ์ทั้งหมดนี้กลับไม่ได้อยู่ในสายตาของเฉิงเจียวเหนียงเลย นางเดินไปอย่างไร้จุดมุ่งหมาย
“เดิน! รีบเดิน…”
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้น มองเห็นชายหนุ่มปรากฏอยู่ตรงหน้า ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยเลือดและบาดแผล จนแทบจำใบหน้าเดิมของเขาไม่ได้ แต่กลับไม่อาจบดบังร่างกายกำยำอันแข็งแรงของเขาได้
ธนูยาวประดุจมังกรเต้นระบำ
“พี่ตงซาน…”
เฉิงเจียวเหนียงตะโกนเรียก
“ไป…” ส่งเสียงตะโกนจนแก้วหูแทบแตก
เฉิงเจียวเหนียงเร่งฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว เดินเข้าใกล้เขา ประชิดเขา
เสียงเท้าม้าดังขึ้น โซ่ล่ามพุ่งเข้ามาจากทั้งสี่ทิศ ล่ามขาและมือของชายหนุ่มไว้แน่น
“ไป! ”
เสียงนั้นยังคงก้องกังวานข้างหู คนตรงหน้าถูกดึงจนร่างขาดออกกันไปต่อหน้าต่อตา ละอองเลือดสาดไปทั่วพื้น
เฉิงเจียวเหนียงหลับตา น้ำตาไหลพรากราวกับสายฝน
ไปสิ ไปสิ ไปเร็ว…