เฉิงเวินหรูรู้แค่ว่าอาจารย์เว่ยเป็นครูของฉินหร่าน เมื่อได้ยินฉินหร่านพูดถึงอาจารย์ เธอย่อมนึกถึงอาจารย์เว่ย
เฉิงเวินหรูเคยไปงานเลี้ยงรับศิษย์ของอาจารย์เว่ยและยังได้พูดคุยกับอาจารย์เว่ยมาบ้างแล้ว
ถือว่ารู้จักกัน
ทว่าตอนนี้ฉินหร่านบอกว่าไม่ใช่ เฉิงเวินหรูจึงรู้สึกเกรงใจที่จะชวนเธอกับอาจารย์ไปทานข้าวด้วยกัน สายตาเธอมองมาที่ฉินหร่าน “เธอไปคนเดียวหรอ?”
แววตาราวกับน้ำแข็งหิมะ เธอเอียงศีรษะมองเฉิงเวินหรูพลางตอบอย่างคลุมเครือว่า ”พี่ไปด้วยก็ได้…”
“งั้นก็ช่างเถอะ อย่าทำให้อาจารย์เธอไม่พอใจเลย” เฉิงเวินหรูหดมือกลับพลางยิ้มเบาๆ
ถ้าตัวเองบุ่มบ่ามไปแบบนี้จะเป็นการเสียมารยาทกับอาจารย์ของฉินหร่านเสียเปล่าๆ เฉิงเวินหรูเรียนมารยาทมาเป็นอย่างดีตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเธอจึงไม่ตามไปกับฉินหร่าน
เธอไม่ได้รับเชิญด้วยตัวเอง พอถึงตอนนั้นจะเป็นการทำให้อาจารย์ของฉินหร่านไม่พอใจ
เธอถือถ้วยชาและมองด้านหลังฉินหร่านที่กำลังขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จนกระทั่งเธอหายไปจากชั้นบันไดก็มองมาทางเฉิงเจวี้ยนที่เข้าไปรินน้ำในครัว “นายก็ไปด้วย?”
“ไป” เฉิงเจวี้ยนรินน้ำมาสองแก้ว แก้วหนึ่งวางบนโต๊ะกาแฟ อีกแก้วถือไว้เอง ตอบอย่างเอื่อยเฉื่อย
“คนคนนั้นเป็นอาจารย์อะไร?” เฉิงเวินหรูเอามือยันโต๊ะ สายตาอันหลักแหลมกำลังใคร่ครวญ
หลังจากผ่านเรื่องของอาจารย์เว่ยและการแย่งตัวระหว่างสองภาควิชาใหญ่ของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง เฉิงเวินหรูก็รู้สึกว่าถึงแม้อาจารย์ฉินหร่านจะเป็น “อาจารย์เจียง” ผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองเมืองหลวงท่านนั้น เธอก็ไม่แปลกใจเลย
เฉิงเจวี้ยนไม่ได้เงยหน้าขึ้น แววตาเป็นสีจางๆ เสียงของเขาเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด “เห็นว่าเขาเป็นอาจารย์ที่เธอเคารพนับถือ”
เฉิงเวินหรู “?”
“ถึงอย่างไรเขาก็เลื่อนตำแหน่งไม่สำเร็จ” เฉิงเจวี้ยนวางถ้วยกระเบื้องเคลือบลงบนโต๊ะอย่างเฉยชา
เฉิงเวินหรู “…”
ฟังดูแล้วอนาถใจ
เธอรู้สึกเห็นอกเห็นใจอาจารย์ของฉินหร่านท่านนั้นที่ไม่มีสถานภาพขึ้นมาบ้างแล้ว
ไม่นานหลังจากนั้น ฉินหร่านก็สวมเสื้อโค้ตลงมาข้างล่าง เฉิงเวินหรูดูเวลาก็เดินลงไปพร้อมพวกเขาโดยที่ไม่ได้อยู่รอทานอาหาร
“ถ้าเธอฝากตัวเป็นศิษย์แล้ว ยังต้องมีงานเลี้ยงฝากตัวเป็นศิษย์ด้วยใช่ไหม?” เฉิงเวินหรูเอามือกอดอก ยกมุมปากมองฉินหร่านพลางถามอย่างส่งๆ
หากว่าอาจารย์ที่เธอต้องการฝากตัวเป็นศิษย์เป็นอาจารย์ในแวดวงเดียวกัน และลูกศิษย์ที่เขารับได้รับความสนใจจากสังคม แบบนี้งานเลี้ยงฝากตัวเป็นศิษย์จึงมีขั้นตอนที่เข้มงวด เป็นการแสดงให้เห็นว่าอาจารย์เห็นความสำคัญของลูกศิษย์ มิฉะนั้นจะไม่ได้รับการยอมรับจากแวดวงการทำงาน
ถ้าเป็นอาจารย์ทั่วไป น้อยคนนักที่จะจัดงานเลี้ยงฝากตัวเป็นศิษย์อย่างยิ่งใหญ่อลังการ
เฉิงเวินหรูแค่ถามไปงั้นๆ ไม่ได้คิดว่าฉินหร่านจะมีงานเลี้ยงฝากตัวเป็นศิษย์จริงๆ
ฉินหร่านยื่นมือรวบคอเสื้อ เมื่อได้ยินที่เฉิงเวินหรูพูด ปลายนิ้วที่รวบคอเสื้อก็ชะงัก ก้มหน้าก้มตาโดยไม่พูดอะไร
ติ๊ง——
ลิฟต์มาถึงโรงจอดรถแล้ว
เฉิงเวินหรูเดินออกมาพร้อมฉินหร่านโดยมีเฉิงเจวี้ยนตามหลังทั้งสอง
“เฉิงจินเล่าเรื่องสอบกลางภาคของเธอให้ฟังแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะสอบได้ดีเลยทีเดียว” เฉิงเวินหรูนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เธอเดินช้าลงหน่อย “คณบดีของภาควิชาพวกเธอเคยพูดเรื่องห้องปฏิบัติการบ้างไหม?”
“…เคย” ฉินหร่านเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ปลายนิ้วขาวผ่องลูบกระดุมใหญ่สีเงินที่อยู่กลางเสื้อโค้ต มีลายดอกไม้สวยๆ อยู่บนกระดุมนั้น
“เคยพูดถึงจริงเหรอ?” เฉิงเวินหรูประหลาดใจ จากนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา “งั้นเธอก็ต้องขยันหน่อย ถ้าปีหน้าเข้าห้องปฏิบัติการได้ก็คงดี ซ่งลี่ว์ถิงเป็นนักศึกษาปีสองของมหาวิทยาลัยพวกเธอใช่ไหมล่ะ เขาเข้าห้องปฏิบัติการตั้งแต่เดือนมีนาปีนี้ เมื่อวานได้เลื่อนไปสถาบันวิจัยแห่งแรกอีกด้วย เพิ่งจะปีสองเอง เป็นคนแรกในมหาวิทยาลัยเมืองหลวงในรอบหลายปี ช่วงนี้สถาบันวิจัยจึงคึกคักมาก คนของมหาวิทยาลัยเธอนี่ร้ายกาจชะมัด”
ฉินหร่าน “สถาบันวิจัย?”
เธอไปกองบัญชาการ129เพื่อตรวจสอบสถาบันวิจัยแห่งแรกซึ่งเป็นของหนึ่งในสี่กองกำลังหลัก และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นของอาจารย์ใหญ่สวี
แต่แค่ว่า…ซ่งลี่ว์ถิงไม่ได้บอกพวกเขาเรื่องที่ว่าเขาไปอยู่สถาบันวิจัยแล้ว
“รอเธอเข้าสถาบันวิจัยไปนานๆ เดี๋ยวก็รู้” เฉิงเวินหรูคิดว่าฉินหร่านกำลังถามเธอเรื่องสถาบันวิจัย เรื่องนี้ดูยุ่งยากถ้าจะอธิบาย เธอขี้เกียจอธิบายก็เลยบอกไปแค่ว่า “สิ่งที่เธอต้องทำในตอนนี้คือเข้าห้องปฏิบัติการให้ได้ก่อน แต่ไม่ใช่คนจากสี่ตระกูลหลัก…การประเมินคงผิดๆ เพี้ยนๆ ไปบ้าง”
โดยปกติ นักศึกษาปีที่สามและสี่จะต้องผ่านการคัดกรองจากสถาบันอุดมศึกษาและการฝึกอบรมอย่างเข้มงวดก่อนที่จะมีโอกาสเข้าร่วมการประเมิน
ตอนนั้นเฉิงเวินหรูไม่ยอมทำตามระเบียบของตระกูล เธอสมัครประเมินแบบคนทั่วไปด้วยความเย่อหยิ่ง จึงเป็นธรรมดาที่…
เธอไม่ได้สอบเข้าไป
คนหนุ่มสาวจากสี่ตระกูลหลักที่เพิ่งเข้าสังคมได้ไม่นานที่ไม่อยากพึ่งพาตระกูล แต่อยากสอบเข้าเอง ต่างก็ล้มเหลวกันมานักต่อนักแล้ว
ตอนนั้นเฉิงเจวี้ยนทำตามระเบียบของตระกูล เขาข้ามห้องปฏิบัติการทางการแพทย์และไปที่สถาบันวิจัยหลักโดยตรง เขาทิ้งลู่จ้าวอิ่งและเจียงตงเยี่ยซึ่งมีอายุมากกว่าเขาสี่ปีไว้ข้างหลัง หลังจากนั้นก็ก่อความวุ่นวายที่สถาบันวิจัย เรียนไปได้เดือนเดียวก็บินไปที่องค์กรการแพทย์รัฐ M
อยู่รัฐ M แค่ครึ่งปีก็ได้ยินเฉิงเจวี้ยนบอกเองว่าสุดท้ายเขาก็ถูกองค์กรการแพทย์ไล่ออก
เนื่องจากข่าวส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับรัฐ M มักจะโดนบล็อก คนในเมืองหลวงจึงไม่แน่ใจกับข่าวนี้
เฉิงเวินหรูนั่งอยู่ในรถ เหลือบมองเฉิงเจวี้ยนที่รถฝั่งตรงข้ามพลางส่ายหน้า ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฉินหร่านจะเข้าห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์ได้…
อย่างไรก็ตาม หากอิงจากการแย่งชิงตัวระหว่างหัวหน้าภาควิชาฟิสิกส์และหัวหน้าภาควิชาคณิตศาสตร์แล้ว เธอคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องยากที่ฉินหร่านจะสามารถเข้าห้องปฏิบัติการได้ภายในปีสองปีนี้
“ที่แท้แล้วคนเพี้ยนก็ดึงดูดคนเพี้ยนด้วยกันเอง…” เฉิงเวินหรูสตาร์ทรถและไม่ย้อนกลับไปคิดถึงการประเมินที่น่าคลางแคลงใจของตัวเองในครั้งนั้น
**
ทั้งสามแยกย้ายกันที่โรงจอดรถ
เฉิงเจวี้ยนค่อยๆ ขับรถออกจากโรงจอดรถ ฉินหร่านนั่งข้างคนขับ มือหนึ่งห้อยที่ตรงประตู ส่วนอีกมือหนึ่งกดโทรศัพท์คุยกับหนานฮุ่ยเหยา
หนานฮุ่ยเหยา : (นัดเหล่าทวยเทพในโรงเรียนมัธยมของเธอในกลุ่มสำเร็จแล้ว หลังสอบกลางภาควันเสาร์นี้ก็ว่างแล้ว)
หนานฮุ่ยเหยา : (เธอกลับมาจากลาหยุดหรือยัง?)
ฉินหร่านกดโทรศัพท์ด้วยความขี้เกียจ ตอบกลับไปหนึ่งประโยค——
(กำลังกลับ)
หนานฮุ่ยเหยา : (คารวะลูกพี่ JPG)
หนานฮุ่ยเหยา : (เธอเป็นคนแรกที่พอสอบเสร็จก็ขอลาไปเที่ยวตั้งสามวัน เธอดังระเบิดแล้วเนี่ย ในบอร์ดต่างก็ลือกันว่าต้นปีหน้าเธอก็เข้าห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์ได้แล้ว…)
ฉินหร่านพิงกระจก——
(เวลา สถานที่นัด)
ยังคงเป็นข้อความกระชับได้ใจความ รู้สึกได้ว่ามีไอเย็นแล่นเข้ามาผ่านโทรศัพท์
เมื่อหนานฮุ่ยเหยารู้ว่าฉินหร่านกำลังถามเธอเรื่องเวลานัดหมาย เธอก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที ขณะที่นั่งเอนกายบนเก้าอี้คอมพิวเตอร์ก็เด้งตัวตรงขึ้นและตอบกลับอย่างวางมาด “เวลาสิบโมงเช้า ร้านหม้อไฟฝั่งประตูทิศตะวันออก พวกสิงไคก็มาด้วย”
ฉินหร่านตอบกลับไปเพียง “อือ” แล้วปิดโทรศัพท์
สิบนาทีต่อมา
รถมาจอดอยู่ที่ร้านส่วนตัวที่เงียบสงบ
เฉิงเจวี้ยนเดินตามฉินหร่านขึ้นไป
ห้องส่วนตัวบนชั้นสองมีตัวอักษร “หลาน (兰)” อยู่บนประตูที่แกะสลักเป็นดอกหลานฮัวหรือดอกกล้วยไม้เสมือนจริง ฉินหร่านเคาะประตูอย่างใจเย็นสามครั้ง จากนั้นประตูก็เปิดจากด้านใน
นั่นคืออาจารย์ใหญ่สวี
ที่จมูกเขาสวมแว่นตาอ่านหนังสือ เมื่อเห็นเฉิงเจวี้ยนเดินตามหลังฉินหร่านมา มือเขาก็ชะงักเล็กน้อยพลางเอียงตัวให้ทั้งสองเข้ามา
ทั้งสองนัดเวลากันแล้ว อาหารเพิ่งขึ้นโต๊ะตอนที่ฉินหร่านมาถึง
เธอทักทายอาจารย์ใหญ่สวีเสร็จก็นั่งลงทานข้าว
อาจารย์ใหญ่สวีปล่อยให้เธอทานไปก่อน ส่วนเขากำลังพูดคุยกับเฉิงเจวี้ยนเกี่ยวกับสถานการณ์ผิดปกติในเมืองหลวงช่วงนี้ จนกระทั่งฉินหร่านทานใกล้จะเสร็จแล้ว อาจารย์ใหญ่สวีถึงได้มองมาทางฉินหร่าน “เตรียมตัวประเมินเป็นยังไงบ้าง?”
“ยังไม่ได้เตรียม” ฉินหร่านบีบข้อมือขวาตัวเอง
มือที่ถือตะเกียบของอาจารย์ใหญ่สวีชะงัก ย้ายสายตามองมาที่มือขวาของเธอและพูดช้าลง “ไม่รีบ ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือน…ค่อยเป็นค่อยไป”
อาจารย์ใหญ่สวีได้รับรายงานผลการสอบฟิสิกส์และคณิตศาสตร์กลางภาคของฉินหร่านมานานแล้ว
วิศวกรรมนิวเคลียร์เกี่ยวเนื่องกับข้อปลีกย่อยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไหล่เล็กๆ หรือเส้นทางเดิน แรงงานกลจะมาแทนที่พวกเขาไม่ได้ ข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในการปฏิบัติงานอาจทำให้เกิดการระเบิดไปจนถึงเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม รอยต่อบางส่วนของสถาบันวิจัยมีเพียงช่างฝีมือระดับปรมาจารย์ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทำได้…มือขวาจึงมีข้อเรียกร้องที่สูงมาก
นี่คือเหตุผลที่อาจารย์ใหญ่สวีกังวลเกี่ยวกับมือขวาของเธอตอนที่เห็นสวี่เซิ่นทำร้ายมือเธอที่อวิ๋นเฉิง
“เรื่องที่ฉันจะพูดคือ…” อาจารย์ใหญ่สวีละสายตากลับมา เขาไม่ได้ทานข้าว แค่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ
ฉินหร่านคีบซี่โครงมาชิ้นหนึ่งอย่างไม่เร่งรีบ ดวงตาชัดแจ๋ว พูดเบาๆ “ตกลง”
ฉินหร่านเริ่มโอนอ่อนผ่อนตามเรื่องผู้สืบทอดมานานแล้ว แต่อาจารย์ใหญ่สวีไม่เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจนมาก่อน ได้แต่เดือดเนื้อร้อนใจกับผลได้ผลเสียของตัวเอง ในที่สุดเขาก็ได้รับคำตอบจากฉินหร่าน หัวใจที่แขวนเติ่งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็ได้ผ่อนคลายเสียที
“ดี ดี!” เขายกถ้วยชา ปลายนิ้วสั่นระริก
“ท่านสวี” เฉิงเจวี้ยนถือกาน้ำชารินชาลงในถ้วยของอาจารย์ใหญ่สวี ชาที่อยู่ในถ้วยกระเบื้องแกว่งเป็นลายน้ำ “ต่อจากนี้ไปตระกูลสวีของพวกคุณยังมีสงครามครั้งใหญ่”
สถาบันวิจัยกองกำลังตระกูลสวีมอบให้กับคนนอก ไม่ใช่คนของตระกูลสวี
ไม่ว่าจะเป็นตระกูลสวีหรือสถาบันวิจัย ต่างก็ไม่ได้รับการยอมรับ
ทว่าท่านสวีกลับไม่สนใจปัญหานี้ เขาเชิดคางขึ้นพลางมองเฉิงเจวี้ยนอย่างไม่สบอารมณ์ “ผู้สืบทอดที่ฉันเลือก แน่นอนว่าย่อมดีที่สุด”
เขาถึงขนาดตัดขาดกับสวีเหยากวง ดังนั้นผู้สืบทอดที่เขาคัดเลือกมาอย่างดีจะแย่ไปได้อย่างไร?
“เมื่อวานซ่งลี่ว์ถิงมาถึงสถาบันวิจัยแล้ว” อาจารย์ใหญ่สวีมองมาทางฉินหร่าน เขาเคาะนิ้วกับโต๊ะ “เขาใช้เวลาสิบสี่เดือนกว่าจะย้ายจากมหาวิทยาลัยเมืองหลวงไปสถาบันวิจัย เธอใช้เวลาเจ็ดเดือน ไม่ว่าจะเป็นการประเมินหรือการทดลอง แค่เธอทำด้วยความตั้งใจ ปลายเดือนมีนาปีหน้าเธอก็เข้าสถาบันวิจัยได้สำเร็จแล้ว ทำให้พวกอาจารย์ที่ชอบถือตัวกลุ่มนั้นดูให้เต็มตา พอถึงตอนนั้นดูซิว่าใครยังจะกล้าว่าผู้สืบทอดที่ฉันเลือก?”
อาจารย์ใหญ่สวีได้ปูทางให้ฉินหร่านไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว
ฉินหร่านปัดปลายนิ้วของเธอไปที่ขอบถ้วย ดวงตาเป็นสีจางๆ การเข้าสถาบันวิจัยก็เป็นเป้าหมายสูงสุดของเธอเช่นกัน
เมื่อได้ยินอาจารย์ใหญ่สวีบอกให้เธอตั้งใจ เธอก็พยักหน้า “หนูเข้าใจแล้ว พี่ใหญ่ซ่งบอกหนูแล้ว”
“เขาก็บอกเธอแบบนี้?” ไม่รู้ว่าอาจารย์ใหญ่สวีคิดอะไรอยู่ มุมปากเขากระตุกเล็กน้อย “มิน่าล่ะ…”
มิน่าล่ะ ซ่งลี่ว์ถิงถึงได้เหยียบพวกหัวเก่าในห้องปฏิบัติการพวกนั้นซะจมดิน ดูเหมือนจะเตรียมตัวมาแล้ว
สองพี่น้องนี่…
กำเริบเสิบสานกันไปหมด
อาจารย์ใหญ่สวีกับซ่งลี่ว์ถิงต่างก็รู้จักนิสัยฉินหร่านดี กลัวปัญหาและยังไม่มีความอดทน ไม่ว่าทำอะไรเธอก็ดูเอื่อยเฉื่อยไปหมด อาจารย์ใหญ่สวีกับซ่งลี่ว์ถิงกลัวว่าเธอจะทำอะไรแผลงๆ พวกเขาจึงตั้งใจตักเตือนไปสักประโยค
อาจารย์ใหญ่สวีและซ่งลี่ว์ถิงต่างก็เตือนอย่างจริงจังโดยให้ฉินหร่านทำด้วยความระมัดระวัง
**
วันนี้อาจารย์ใหญ่สวีอารมณ์ดี ต่อมายังดื่มเหล้ากับเฉิงเจวี้ยนไปสองแก้ว
ดื่มได้เพียงสองแก้วเท่านั้น ตอนจะดื่มแก้วที่สาม ฉินหร่านยื้อกาเหล้ามา
เมื่อคนสองคนที่ยืนอยู่บนยอดพีระมิดในวงสังคมเมืองหลวงเผชิญหน้ากับกาเหล้าที่อยู่ในมือฉินหร่าน ทั้งสองต่างก็ไม่กล้าแย่งมา
อาจารย์ใหญ่สวีดื่มไปไม่มาก บนตัวจึงมีกลิ่นเหล้าเล็กน้อย พอคนขับรถขับไปถึงบ้านตระกูลสวีก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว
“คุณชายเหยากวงกำลังรอท่านที่ห้องหนังสือครับ” พ่อบ้านโน้มตัว
อาจารย์ใหญ่สวีเปลี่ยนทิศเดินไปที่ห้องหนังสือ
“ปู่” สวีเหยากวงเม้มริมฝีปาก “ปู่เตรียมจะประกาศข่าวผู้สืบทอดเมื่อไหร่?”
สวีเหยากวงเดาเรื่องฉินหร่านได้มาตั้งนานแล้ว วันนี้อาจารย์ใหญ่สวีออกไปทำอะไรจึงปิดบังเขาไม่ได้
“เดือนมีนาปีหน้า” อาจารย์ใหญ่สวีนั่งบนเก้าอี้ เขายื่นมือไปรับชามาจากพ่อบ้าน “รอเธอเข้าห้องปฏิบัติการได้ก่อน”
หลังจากพูดประโยคนี้ เขาก็เปิดคอมพิวเตอร์ คัดแยกสำเนาเนื้อหาการประเมินมาหนึ่งชุดแล้วส่งให้ฉินหร่านผ่านทางอีเมลทั้งหมด
ในห้องปฏิบัติการมีอะไรบ้าง อาจารย์ใหญ่สวีไม่อยากพูดกับฉินหร่านมากนัก ของพวกนั้นฉินหร่านรู้อยู่แล้ว
สวีเหยากวงยืนอยู่ตรงข้ามอาจารย์ใหญ่สวี เมื่อเห็นท่าทางอาจารย์ใหญ่สวีที่มีสีหน้าเย็นชา เขาก็เม้มริมฝีปาก “ปู่ ถ้าปู่อยากให้คนส่วนใหญ่ในสถาบันวิจัยยอมรับเธอ ก็ให้เธอประเมินเข้าไปเอง โน้มน้าวใจด้วยความสามารถของเธอเอง”
ฉินหร่านมีความสามารถไม่น้อยไปกว่าซ่งลี่ว์ถิง สวีเหยากวงคิดว่าเธอสามารถประเมินเข้าห้องปฏิบัติการได้ด้วยความสามารถของเธอเองโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งทางลัดของอาจารย์ใหญ่สวี ทางลัดมีแต่ผลเสีย ไม่เป็นผลดีสำหรับเธอเลย
หากเธออาศัยชื่อเสียงของปู่เขา แม้เธอจะได้รับการยอมรับจากปู่เขา แต่ก็ยังมีคนอีกหลายคนในสถาบันวิจัยที่ไม่ยอมรับเธอ
มีเพียงผู้ที่ปีนขึ้นไปทีละก้าวด้วยความสามารถที่แท้จริงเท่านั้นที่จะได้รับการยอมรับ อย่างเช่นปู่ของเขา อย่างเช่นซ่งลี่ว์ถิง
เมื่อก่อนสวีเหยากวงก็เคยคิดเหมือนปู่ของเขา คิดว่าขณะที่รับช่วงต่อตระกูลสวีก็ยังสามารถเป็นผู้สืบทอดสถาบันวิจัยแห่งแรกได้โดยไม่ต้องพึ่งความช่วยเหลือจากคนนอก
เพียงแต่ขั้นตอนนี้ยากเกินไป ท่านสวีจึงเลือกคนอื่น
ตอนนี้ก็เกือบกลางเดือนพฤศจิกายนแล้ว ก่อนจะถึงเดือนมีนาคมของปีถัดไป เหลือเวลาอีกไม่ถึงห้าเดือน ฉินหร่านยังไม่ได้เข้าห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงเลยด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับสถาบันวิจัย?
ทันทีที่ได้ยินท่านสวีพูด สวีเหยากวงก็คิดว่าท่านสวีจะเลือกฉินหร่านเป็นผู้สืบทอดโดยวิธีการเสนอชื่อเข้าร่วมสถาบันวิจัยในเดือนมีนาคม