พ่อบ้านสวียืนอยู่ข้างๆ พลางก้มหน้า ไม่เข้าไปร่วมวงสนทนากับทั้งสอง
อาจารย์ใหญ่สวีดื่มชาสร่างเมาที่พ่อบ้านสวีเอามาให้ เขาเงยหน้ามองสวีเหยากวง พูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ฉันไม่สอดมือเข้าไปยุ่งหรอก”
ดวงตาสวีเหยากวงขยับ “ปู่ไม่ยุ่ง?”
งั้นก็แปลว่าเธอจะประเมินเข้าด้วยตัวเอง?
สวีเหยากวงรู้ดีว่าฉินหร่านมีคุณสมบัติเพียบพร้อม แต่เพียบพร้อมถึงขนาดไหนนั้นเขาเองก็ไม่รู้ เมื่ออาจารย์ใหญ่สวีพูดมาถึงขนาดนี้ เขาก็ถึงกับอึ้ง “มันจะยากเกินไปไหม?”
อาจารย์ใหญ่สวีดื่มชาเสร็จก็โบกมือให้พ่อบ้านและสวีเหยากวงออกไป
พ่อบ้านปิดประตูให้อย่างสุภาพ
สวีเหยากวงหยุดอยู่ที่ทางเดินโดยที่ไม่ได้สวมเสื้อคลุม เมื่อลมหนาวพัดมาก็ได้สติ
“พ่อบ้าน คุณคิดว่าไง ที่ปู่พูดเธอจะทำได้ไหม?” สวีเหยากวงเม้มริมฝีปาก
พ่อบ้านสวีไม่รู้จักผู้สืบทอดที่ท่านสวีรับมา เขาจึงไม่กล้าตอบ ได้แต่กล่าวอย่างคลางแคลงใจ “ตอนนั้นกว่าซ่งลี่ว์ถิงจะเฉิดฉายก็ใช้เวลาตั้งหนึ่งปี ผู้นำตระกูลพูดแค่ว่าเป็นไปได้ แต่ไม่ได้บอกว่าแน่ใจ…”
มีนาคมปีหน้า…ระดับความยากไม่ใช่แค่เล็กน้อย
ถ้าประเมินเข้าเองได้จริงๆ ไม่จำเป็นต้องมีท่านสวี เธอก็สามารถทำให้คนเหล่านั้นในสถาบันวิจัยตกตะลึงได้
พ่อบ้านสวีและสวีเหยากวงกำลังคิดเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของเรื่องนี้
แต่กลับไม่รู้ว่าภายในห้องหนังสือ อาจารย์ใหญ่สวีกำลังมองไปที่เพจสถาบันวิจัยพลางส่ายหน้า สามเดือน…มันจะเกินไปหรือเปล่า?
ที่ฐานวิจัยในเมืองหนิงไห่ ฉินหร่านได้บรรลุข้อตกลงภายในเมื่อสี่ปีที่แล้ว…
การให้เธอปีนขึ้นไปอีกครั้งในเดือนมีนาคมปีหน้า อาจารย์ใหญ่สวีไม่คิดว่ามันจะเกินไป เธอเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุระเบิด เธอคงไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงช้ามาถึงสี่ปี
โชคดีที่…
เขารอได้
**
ในเวลาเดียวกัน
ฉินหร่านกำลังอยู่ในห้องตัวเอง ขณะที่คุยกับซ่งลี่ว์ถิงเรื่องเข้าห้องปฏิบัติการ อีกด้านหนึ่งก็เปิดอีเมลรับไฟล์ที่อาจารย์ใหญ่สวีส่งมาให้
ซ่งลี่ว์ถิงรู้เรื่องอาจารย์ใหญ่สวีมาตลอด เมื่อได้ยินว่าอาจารย์ใหญ่สวีเตรียมการให้เธอในเดือนมีนาคมปีหน้า เขาก็ส่งข้อความมาว่า——
(รอเดี๋ยว)
ฉินหร่านรอไปด้วย อ่านหนังสือวิศวกรรมนิวเคลียร์ไปด้วย
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็ได้รับไฟล์ขนาดใหญ่อีกฉบับจากซ่งลี่ว์ถิงซึ่งทั้งหมดมีมากกว่าสามกิกะไบต์——
(ตั้งใจดู)
ฉินหร่านดาวน์โหลดลงเครื่อง ทันทีที่เปิดโฟลเดอร์ดู ก็พบว่าเป็นวิดีโอห้องปฏิบัติการจำนวนมากที่ซ่งลี่ว์ถิงบันทึกให้หงเทาใช้ หลังจากเขามาถึงสถาบันวิจัย หงเทาก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมัน
เวลานี้เหมาะสำหรับฉินหร่านที่ยังไม่ได้เข้าห้องปฏิบัติการใช้ได้พอดี
ขณะเปิดวิดีโอแรกดูไปได้สิบนาที ฉินหลิงก็โทรศัพท์มาหาเธอ
ฉินหร่านเปิดเสียงคอมพิวเตอร์ หยิบชุดหูฟังขึ้นมายัดใส่ในหู เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาอย่างเย็นชา ดูวิดีโอไปด้วย ถามไปด้วย “มีอะไร?”
“วันนี้คุณอาเชิญคุณครูมาให้ผมตั้งหลายคน” ฉินหลิงนั่งยองๆ ในห้องน้ำ เขาใช้มือป้องปากพลางลดเสียงลง
ฉินหร่านไม่ค่อยสนใจอะไรมาก เธอพูดอย่างเนิบนาบว่า “นายเล่นเกมให้เขาเห็นเหรอ?”
“…พี่บอกว่าให้เขาดูได้” ขนตายาวของฉินหลิงหลุบลง เสียงเบาเล็กน้อย
“ก็ใช่” สายตาฉินหร่านมองไปที่หน้าจอ ทำสองอย่างไปพร้อมๆ กัน “ตั้งใจเรียนกับคุณครูล่ะ ไม่เข้าใจก็มาถามพี่ แต่หลังจากนี้พี่อาจจะไม่ว่าง เดี๋ยวจะแนะนำคนที่เคยสอนพี่สาวเธอให้”
เมื่อได้ยินว่าพี่สาวไม่สอนเขา แววตาฉินหลิงก็จางลงเล็กน้อย เขาตอบเพียง “อ้อ”
ทางด้านฉินหร่านตัดสายไปแล้ว ขณะดูวิดีโอก็หาวีแชท “เพื่อนบ้าน” ในโทรศัพท์ จากนั้นก็ส่งให้ฉินหลิงโดยตรงเพื่อให้ฉินหลิงรีบเพิ่มเขา
เธอยังส่งข้อความทิ้งท้ายให้เพื่อนบ้าน——
(น้องชายฉันเพิ่มเพื่อนคุณไปนะ)
หลังจากทิ้งข้อความเสร็จ ฉินหร่านก็คิดจะกดออกจากวีแชท แต่พอคิดได้สักพักก็กดเปิดข้อความในวีแชทอีกครั้งแล้วเปลี่ยนเครื่องหมายจุลภาคเป็นเครื่องหมายจบประโยค
ด้านนี้ ฉินหลิงได้ยินฉินหร่านบอกว่าคุณครูคนนั้นเคยสอนฉินหร่านมาก่อน เขาจึงรีบนั่งตัวตรงบนชักโครกทันที ส่งข้อความยื่นสมัครไปให้คุณครูคนนั้นด้วยความเคารพ
คุณครูคนนี้ดูเป็นคนเงียบขรึมมาก
หลังจากเพิ่มเขา เขาก็พูดเพียงประโยคเดียว——
(มีคำถามก็ถามมา)
ไม่มีคำพูดอื่นอีกเลย
ฉินหลิงเก็บโทรศัพท์แล้วออกจากห้องน้ำ ตอนกลางวันมีอัดรายการ ส่วนเวลาอื่นก็มีเรียนกับคุณครู
เนื่องจากเขามีพัฒนาการค่อนข้างไว จึงทำให้คุณครูผู้สอนประหลาดใจ
เมื่อฉินซิวเฉินได้ยินคุณครูรายงานเกี่ยวกับพัฒนาการฉินหลิงแล้ว ความหวังในการฟื้นฟูตระกูลฉินก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากพ่อบ้านฉินรู้ความคืบหน้าของฉินหลิงแล้ว เขาก็ไม่ได้สอนแบบจับมือเขียนให้ฉินฮั่นชิวอย่างเข้มงวดแบบนั้นอีก
ตอนแรกที่สอนฉินฮั่นชิวแบบจับมือเขียนก็เพราะมีเขาเป็นสายตรงเพียงคนเดียว ไม่บังคับก็ไม่ได้
ตอนนี้มีอัจฉริยะอย่างฉินหลิงแล้ว พ่อบ้านฉินจึงไม่ได้บังคับเขาขนาดนั้นแล้ว เว้นแต่ให้ฉินฮั่นชิวเรียนรู้พื้นฐานบางอย่าง ไม่ได้บังคับให้ฉินฮั่นชิวไปดูซอฟต์แวร์หรือโค้ดอะไรพวกนั้นอีก
หลังจากสองพี่น้องแยกกันที่เมือง C ต่างก็เข้าสู่การเรียนรู้อย่างบ้าระห่ำ
**
วันเสาร์
ฉินหร่านโดนปลุกด้วยสายจากหนานฮุ่ยเหยา เป็นการเตือนว่าวันนี้เป็นวันนัดพบเพื่อนร่วมชั้นมัธยมปลายของเธอ
เมื่อคืนฉินหร่านดูวิดีโอและอ่านหนังสือจนถึงตีสองกว่าก่อนจะเข้านอน เธอลืมตานั่งบนเตียงสักพักแล้วค่อยลุกขึ้น หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ลงมาข้างล่าง
เฉิงเจวี้ยนก็เพิ่งเข้ามาทางประตูพอดีหลังจากกลับมาจากออกกำลังกายยามเช้า
ในสภาพอากาศที่หนาวเย็น เขาสวมเสื้อกีฬาแขนยาวสีขาวที่มีน้ำค้างคลุมอยู่หนึ่งชั้น ดวงตาที่สวยงามหรี่ตาลงอย่างเอื่อยเฉื่อย เมื่อเห็นฉินหร่านเดินลงมาจากชั้นบน ดวงตาตาที่แสนเกียจคร้านก็กะพริบปริบๆ “ไปกี่โมง?”
“เก้าโมงครึ่ง” ไม่กี่วันมานี้ฉินหร่านนอนหลับไม่เต็มอิ่ม เธอลากเก้าอี้มานั่งพลางใช้มือเท้าคาง
สถานที่นัดพบอยู่ละแวกมหาวิทยาลัยเมืองหลวง ขับรถไปที่นั่นไม่ถึงยี่สิบนาทีก็ถึง
เฉิงเจวี้ยนยกมือดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ พบว่ายังมีเวลา เขาจึงขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาทานอาหารเช้ากับฉินหร่าน จากนั้นขับรถไปที่ร้านหม้อไฟที่หนานฮุ่ยเหยาบอก
เขาจอดรถที่หน้าประตูร้านหม้อไฟ ไม่ได้ตามฉินหร่านเข้าไป แค่ให้ฉินหร่านโทรหาเขาก่อนแยกย้าย
หนานฮุ่ยเหยา สิงไค และฉู่หังมาก่อนเวลายี่สิบนาที
“หร่านหร่าน มาแล้วเหรอ” หนานฮุ่ยเหยาเงยหน้าขึ้น หลีกทางให้ฉินหร่านนั่ง “ทางนี้”
ฉินหร่านถอดเสื้อโค้ตแขวนไว้ข้างๆ อย่างลวกๆ จากนั้นก็ไปนั่งข้างหนานฮุ่ยเหยา เอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้านและพูดคุยกับอีกสามคนอย่างเฉื่อยชา
หลังจากนั้นอีกสองนาที มีคนมาเคาะประตูห้องส่วนตัว
หนานฮุ่ยเหยาตาเป็นประกาย เธออดไม่ได้ที่จะคว้าแขนฉินหร่านและพูดด้วยความตื่นเต้น “ในที่สุดฉันก็จะได้เจอสาวน้อยที่มีไพ่เทพสามใบแล้วใช่ไหม?”
สิงไคที่อยู่ข้างๆ ลุกขึ้น เปิดประตูด้วยความตื่นเต้น “พรึ่บ”