ด้านนอกประตู ข้างหลังหลินซือหรานมีเฉียวเซิงยืนอยู่ เธอกำลังเคาะประตู แต่ไม่ทันที่จะเคาะครั้งที่สามออกไปประตูก็เปิดออกแล้ว
เธอไม่คิดว่าคนข้างในจะอัธยาศัยดีขนาดนี้
“หวัดดี” เฉียวเซิงสวมหมวกแก๊ปสีดำพลางทำท่าล้วงกระเป๋าอยู่ข้างหลังหลินซือหราน รูปร่างผอมเพรียวและยิ้มอย่างสดใสทักทายสิงไค
สิงไคเปิดประตูอยู่อีกด้านหนึ่งและยังโน้มตัวลง “สวัสดีท่านเทพ”
“อย่าเรียกฉันว่าท่านเทพสิ” เฉียวเซิงเบี่ยงตัวไปด้านข้าง ริมฝีปากหยักยิ้ม “ฉันไม่ใช่ท่านเทพอะไรนั่นเสียหน่อย”
“ระดับปรมาจารย์สองดาวยังไม่ใช่ท่านเทพอีกเหรอ?” หนานฮุ่ยเหยานั่งหลังตรงขึ้นมา
สิงไคพยักหน้าแรงๆ อยู่ด้านข้าง
คนกลุ่มนั้น อย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นบอสใหญ่ระดับปรมาจารย์ที่มีไพ่เทพเกือบทุกคน ส่วนหนานฮุ่ยเหยากับสิงไคที่ขาดไปสองระดับก็เป็นได้แค่ซุปเปอร์บอสเท่านั้น
นี่ห้องเรียนชั้นเซียนชัดๆ
เฉียวเซิงเลิกคิ้วมองไปทางฉินหร่าน
ฉินหร่านเคาะโต๊ะด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เลิกคิ้วเบาๆ “ตั้งหม้อไฟ”
สิงไครีบกดกริ่งเรียกพนักงานเพื่อให้พนักงานตั้งหม้อไฟและเสิร์ฟวัตถุดิบ
หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดีในโลกออนไลน์ แต่พอมาเจอหน้ากันแล้วก็ยังดูเก้อเขินเล็กน้อย หลังจากตั้งหม้อไฟเสร็จความเขินอายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ห้องพวกเธอเป็นเซียนกันหมดเลยเหรอ?” สิงไคเปิดกระป๋องเบียร์และชูแก้วให้เฉียวเซิง “นอกจากบางคนที่ไม่เล่นเกม พวกเธอทุกคนมีไพ่เทพกันหมดเลยได้ยังไง?”
สิงไคและคนอื่นๆ รู้ว่าหลายสิบคนในกลุ่มนั้นล้วนเป็นก๊วนเกมที่เรียนอยู่ห้องเดียวกัน
พอพูดถึงตรงนี้ สิงไคก็มองไปทางหลินซือหรานและยกนิ้วโป้งให้ “เธอยังมีตั้งสามใบแน่ะ!”
หลินซือหรานก้มหน้ากินเนื้อ เธอเล่นเกมกับหนานฮุ่ยเหยาบนอินเทอร์เน็ตมานานมากแล้ว หลินซือหรานรู้ว่าฉินหร่านไม่ได้เล่าเรื่องไพ่เทพให้พวกเขาฟัง เธอจึงพูดอย่างแผ่วเบา “เพื่อนส่งให้น่ะ”
“ทำไมฉันไม่มีเพื่อนแบบนี้บ้างนะ?” หนานฮุ่ยเหยายกแก้วเครื่องดื่มขึ้นมาดื่ม จากนั้นก็มองไปทางฉินหร่าน “หร่านหร่าน เธอไม่เล่นเกมเหรอ? อย่าเอาแต่ทำตัวเป็นสาวเนิร์ดหน่อยเลยน่า มาเล่นเกมด้วยกันสิ ให้พวกเฉียวเซิงนำ พวกเขายังพามือใหม่อย่างฉันไปถึงระดับปรมาจารย์เลย แต่ไม่มีใครกล้าพาฉันขึ้นถึงระดับจักรพรรดิ…”
นามของกลุ่มคนเล่นเกมล้วนเป็นระดับเกม+ชื่อบุคคล
หนานฮุ่ยเหยาเจอของฉินหร่านแล้ว ฉินหร่านเป็นแค่นามกลุ่มธรรมดาที่ไม่ติดอันดับ
เนื่องจากฉินหร่านเป็นคนดึงเธอกับสิงไคเข้ามา เหล่าทวยเทพผู้มีฝีมือส่วนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มก็ได้พาหนานฮุ่ยเหยากับสิงไคขึ้นไปถึงระดับปรมาจารย์ด้วยไพ่เทพห้าแถว แต่ระดับจักรพรรดินั้น…หลายคนกลัวที่จะเสียคะแนน จึงไม่กล้าพาหนานฮุ่ยเหยากับสิงไคไป
ระดับความยากของการแข่งขันเลื่อนขั้นไม่ได้ยากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถึงจะมีไพ่เทพ แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีฝีมือพาไปจนถึงระดับจักรพรรดิ
พอพูดถึงเรื่องนี้ หนานฮุ่ยเหยาก็มองไปทางเฉียวเซิงกับหลินซือหราน ดวงตาลุกวาว “ลูกพี่ที่พวกเธอพูดถึงเมื่อไหร่จะมีเวลาพาฉันไประดับจักรพรรดิ?”
ฉินหร่านก้มหน้ากินเนื้อโดยไม่พูดอะไร
ช่วงปิดเทอมฤดูร้อนถูกก๊วนเกมเล่นงานจนหวาดผวาจนไม่อยากสัมผัสมันอีก ไม่อย่างงั้นก็คงไม่ลากหนานฮุ่ยเหยาเข้ากลุ่มแชทชั้นเรียน
เฉียวเซิงเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วยิ้ม “อาจจะต้องรอจบปลายภาคมั้ง”
“โอเค” หนานฮุ่ยเหยาพยักหน้าด้วยความเสียดาย “ฉันยังไม่เคยเจอลูกพี่คนนั้นที่พวกเธอพูดถึงเลย”
ถึงขนาดทำให้ห้องเรียนชั้นเซียนยอมรับเป็นลูกพี่ได้ ไม่รู้ว่าจะใหญ่ขนาดไหน
**
หลังจากทานข้าวกันเสร็จ หนานฮุ่ยเหยากับสิงไคก็พาพวกหลินซือหรานไปเที่ยวชมที่ภาควิชาฟิสิกส์
ฉินหร่านเห็นพวกเขาเข้ากันได้ดีจึงไม่ได้ตามไปกับพวกเขา เธอยังต้องกลับไปอ่านหนังสือ
พอส่งข้อความให้เฉิงเจวี้ยนเสร็จก็สวมเสื้อกันลมแบบไม่ติดกระดุม ดึงผ้าพันคอขึ้นมาปิดคางอย่างลวกๆ ห้อยหูฟังไว้ที่ข้างหูอย่างเกียจคร้าน สองมือสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ต ยืนรอรถอยู่ริมถนน
ปลายนิ้วกำลังเล่นสายหูฟังสีดำ เปล่งประกายราวกับหยก
เอี๊ยด——
รถคันสีดำจอดอยู่ตรงหน้าเธอ
ฉินหร่านเงยหน้าขึ้น
รถคันนี้ไม่ใช่รถของเฉิงเจวี้ยน
เมื่อลดกระจกรถลง สิ่งแรกที่เห็นคือนิ้วอันเรียวยาวที่อยู่บนพวงมาลัย เขาเอียงศีรษะยิ้มเล็กน้อย ดวงตาและคิ้วที่ราวกับภาพวาดคล้ายทะเลสาบที่ต้องลมฤดูใบไม้ผลิ กระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น สรรพสิ่งโดยรอบดูไร้สีสันไปในถนัดตา
ฉินหร่านละสายตากลับมาพลางพยักหน้าให้เขาอย่างสุภาพ “พี่หยาง”
“ว่างไหม?” อีกฝ่ายวางนิ้วบนพวงมาลัย รอยยิ้มบนฝีปากเห็นได้อย่างชัดเจน
ฉินหร่านผงะ สายตามองผ่านรถไปที่ร้านกาแฟที่อยู่เฉียงออกไป “ไปอีกฝั่งเถอะ”
หยางซูเยี่ยนเหลือบมองไปยังอีกฟากหนึ่งที่มีคนสัญจรไปมา แอบประหลาดใจแต่ก็ยังพยักหน้า “ได้”
เขาจอดรถไว้
ตอนที่เข้าไปในร้านกาแฟ ฉินหร่านก็เลือกที่นั่งเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นฉินหร่านเลือกที่นั่งริมกระจกหน้าต่างใกล้ถนนและมีเสียงคนเจี๊ยวจ๊าว หยางซูเยี่ยนก็ชะงักเท้า เขาหลุบตาลงพร้อมกับขยับมือทั้งสองข้าง
วันนี้เป็นวันหยุด ในร้านกาแฟจึงมีคนเยอะ ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยในละแวกนั้น
ฉินหร่านดึงผ้าพันคอขึ้นปิดคาง
หยางซูเยี่ยนสั่งกาแฟหนึ่งแก้วและชานมอีกแก้วให้ฉินหร่าน ของมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว เขาถือช้อนคนกาแฟ แววตาสุกใสกำลังมองฉินหร่าน เม้มริมฝีปากอมยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นอย่างที่คุณอาลู่พูด หร่านหร่าน เธอเปลี่ยนไปมาก”
ฉินหร่านใช้สองมือประคองแก้วชานม มองไปที่ริมถนนผ่านกระจกหน้าต่าง แต่ไม่เห็นรถที่คุ้นเคย
เธอละสายตากลับมา เงยหน้าขึ้นและทำหน้ากวนๆ เหมือนเมื่อก่อน “บริษัทมีปัญหา?”
ตรงประเด็นเหมือนเดิม
“เปล่า ฉันแค่เห็นสเตตัสวีแชทเธอเปลี่ยนไป” หยางซูเยี่ยนมองมาทางฉินหร่าน ดวงตาสุกใสมีเงาสะท้อนของเธอ “ออกมาได้ก็ดีแล้ว”
ฉินหร่านชะงัก ไม่คิดว่าเขายังสนใจเรื่องอยู่ เธอรั้งผ้าพันคอลงแล้วคล้องคอแบบสบายๆ จิบชานม “ขอบคุณ”
“ไม่ต้องสุภาพกับฉันหรอก” หยางซูเยี่ยนส่ายหน้า เขาเอนหลังพิงเก้าอี้มองฉินหร่าน ดวงตาใสแจ๋วถูกประทับด้วยแสงและเงา “เธอก็น่าจะรู้ว่าฉันยื้อตัวเธอให้อยู่อวิ๋นกวงมาโดยตลอด ไม่ให้เธอเข้าไปมีส่วนร่วมกับรัฐ M ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ขนตายาวของฉินหร่านก็พับลง ดวงตาที่สวยงามหรี่ลงครึ่งหนึ่ง
เธอตอบอย่างเฉื่อยชา มือเท้าคาง
“มันยุ่งยากเกินไปที่พวกเราจะอยู่รัฐ M ” หยางซูเยี่ยนเงียบไปสักพัก ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่สายตาถึงได้ดูจืดจางลงเล็กน้อย “บางคนตายในสลัมโดยไม่รู้ตัว รื้อทั้งรัฐ M ก็ยังหาไม่เจอแม้กระทั่งศพ”
น้ำเสียงฉินหร่านฟังไม่ออกถึงอารมณ์ความรู้สึก เธอเพียงนั่งไขว่ห้างยิ้มให้เขา “น่าเสียดายจริงๆ …”
“ใช่ น่าเสียดาย…”ขนตาหยางซูเยี่ยนสั่นไหว เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ปรับดวงตาให้อ่อนโยนดังเดิม “แล้ว…เธอคิดว่าเธอสามารถรับมือกับมันได้ไหม?”
ฉินหร่านลืมตา “อะไร?”
“คนที่อยู่นอกหน้าต่างน่ะ ที่รัฐ M ก็ไม่ธรรมดา” หยางซูเยี่ยนใช้ช้อนคนกาแฟ ดวงตายังคงอบอุ่น เขาพูดลอยๆ พลางมองไปที่หน้าต่างข้างๆ เธอ “เธอรับมือได้ไหม?”
ฉินหร่านเอียงตัวมองไปทางด้านหลัง เธอเห็นเฉิงเจวี้ยนยืนอยู่อีกฝั่งได้อย่างรวดเร็ว สายตาเขาดูเยือกเย็น
ฉินหร่านที่สุขุมมาตลอดจับแก้วชานมแน่น คิ้วและดวงตาที่บอบบางขมวดเล็กน้อย
“ตรงกับรสนิยมของเธอดี” หยางซูเยี่ยนเห็นท่าทีของเธอก็รู้คำตอบแล้ว เขาหัวเราะเบาๆ
ฉินหร่านนิ่งไปสักพักแล้วมองมาที่เขา
“ไปเถอะ อย่าให้เขาคอยนาน” หยางซูเยี่ยนยื่นมือไปปิดฝาชานมที่อยู่อีกด้าน มองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน
ฉินหร่านถือชานมลุกขึ้นแล้วบอกลาเขา จากนั้นก็เดินออกจากร้านกาแฟ
เพิ่งออกจากร้านได้หนึ่งนาที ก็มีคนมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง
ลู่จือสิงถอดหูฟังออกแล้ววางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ มองมาทางหยางซูเยี่ยน “คุณหยาง ทำแบบนี้ทำไม”
รู้จักกันมานานหลายปี ลู่จือสิงรับรู้มาตลอดว่าหยางซูเยี่ยนดูแลฉินหร่านดีขนาดไหน
หยางซูเยี่ยนถอนสายตากลับมา ปลายนิ้วที่เย็นเฉียบราวกับหยกลูบช้อนกาแฟ เมื่อได้ยินดังนั้นก็เก็บอาการผิดหวัง “…จะทำคนตายไม่ได้อีก”
“หือ?” ลู่จือสิงฟังไม่เข้าใจ
หยางซูเยี่ยนเพิ่มน้ำตาลลงในกาแฟ จิบไปหนึ่งอึกก็ยังขมอยู่ดี เขาวางแก้วลง “ไปเถอะ”
ไม่มีคำอธิบาย
**
ด้านนอกร้านกาแฟ
ฉินหร่านเดินมาถึงถนนใหญ่ เฉิงเจวี้ยนก็ยังอยู่ที่เดิม
บนถนนยังมีคนสัญจรไปมาอย่างไม่ขาดสาย ใบหน้าที่งดงามของเขาดูเอื่อยเฉื่อย เมื่อมองเธอผ่านฝูงชน รูปร่างของเธอยังคงดูเพรียวบาง โดดเด่นอยู่ท่ามกลางฝูงชนไม่มีใครเทียบได้ดังเดิม
ฉินหร่านเดินมาใกล้และเงยหน้าขึ้นพูดโดยไม่รู้ตัว “นั่น…”
“ฉันรู้” เฉิงเจวี้ยนก้มหน้า ขนตาละเอียดอ่อนพับลงปกคลุมรูม่านตาสีเข้ม พันผ้าพันคอให้เธอใหม่ “รถยังอยู่ที่ปากทาง”
น้ำเสียงยังเฉื่อยชาตามปกติ
ฉินหร่านเดินตามหลังเขา เอียงศีรษะมองเขาและเดินไปถึงข้างรถที่ปากทาง เมื่อเห็นเขาเปิดประตูฝั่งข้างคนขับ เธอก็ก้มหน้าดื่มชานม
เฉิงเจวี้ยนรอให้เธอขึ้นรถเสร็จก็อ้อมมาขึ้นรถฝั่งคนขับ
ฉินหร่านถือชานมไว้ที่มือขวาและรัดเข็มขัดนิรภัยด้วยมือซ้าย รู้สึกได้ว่าเขาเปิดประตูฝั่งคนขับแล้วปิดดัง “ปัง” ก่อนจะคาดเข็มขัดที่อยู่ในมือ เฉิงเจวี้ยนก็กดมือเธอไว้
เธอเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว
รถค่อนข้างใหญ่ แต่พอเขาโน้มตัวลงมาภายในรถก็แคบลงถนัดตา เฉิงเจวี้ยนใช้มือข้างหนึ่งทับมือซ้ายเธอไว้ อีกข้างหนึ่งรั้งตัวเธอมาใกล้ๆ ลมหายใจประสานกัน เขายิ้ม “เจ๊หร่าน วันนี้เธอพิจารณาเสร็จหรือยัง?”
ปลายนิ้วโอบเอวเธอแน่น เฉิงเจวี้ยนไม่รอให้เธอตอบ พึมพำแค่ว่า “ต้องพิจารณาเสร็จแล้วแน่ๆ”