ตอนที่ 664

Elixir Supplier

664 โดดเรียน

 

“ก็เขาเป็นคนที่ลูกสาวของเรารัก ฉันก็ต้องแน่ใจว่า เขาเป็นคนที่ดีจริงๆน่ะสิคะ ฉันจะได้สบายใจ” ซงรุ่ยปิงพูด เธอมักจะให้ความสำคัญกับเรื่องลูกสาวของเธอมากที่สุดเสมอ

 

“ขอแค่เขาเป็นคนดีผมก็พอใจแล้ว เราไม่ได้ต้องการอะไรจากเขานอกเหนือจากเรื่องนี้อยู่แล้ว” ซูเซี่ยงฮวาพูด

 

ด้วยตระกูลของพวกเขาที่อยู่ในระดับนี้ มันเป็นเรื่องที่ทั้งง่ายและยากในการหาคู่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับลูกสาวของพวกเขา และที่สำคัญ ซงรุ่ยปิงยังคิดว่า ไม่มีชายหนุ่มในตระกูลใหญ่คนไหนที่ดีพอกับลูกสาวของเธอเลย

 

 

หวังเย้ายืนมองไปทางทิศเหนืออยู่บนยอดเขา ในเมื่อเธอคิดถึงเขา ทำไมไม่ไปหาเธอซะล่ะ? เขาไม่ได้ไปปักกิ่งนานมากแล้วสินะ

 

หากพูดตามจริง หวังเย้าไม่รู้สึกกระตือรือร้นที่จะไปปักกิ่งเลยสักนิด เขาไม่ชอบเมืองที่วุ่นวาย ปักกิ่งเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยปัญหาและอันตราย มีทั้งคนจนและคนรวยอยู่ปะปนกัน ผู้คนล้วนให้ค่ากับอำนาจและเงินทองมากกว่าสิ่งใด

 

ในเวลาเดียวกัน ชายสองคนกำลังคุยกันอยู่ภายในโรงแรมแห่งหนึ่งในตัวเมืองเหลียนชาน

 

“ทำไมเราถึงได้เจอแมลงแบบนี้ในหมู่บ้านเล็กๆแบบนั้นกัน?” ชายวัยประมาณ 30 ถามขึ้นมา “แล้วยังมีอยู่ถึงสองชนิดเลยด้วย”

 

“พวกมันต่างชนิดกัน แต่ก็ไม่ได้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฉันว่าฉันรู้แล้ว ว่าแมลงอะไรที่อยู่ที่น้ำพุร้อนในหมู่บ้านหลี่” ชายวัยประมาณ 40 พูด

 

“มันเป็นเพราะอุณหภูมิใต้ดินที่สูงกว่าปกติรึเปล่า?” ชายที่อ่อนกว่าถาม

 

“ใช่ อุณหภูมิเป็นตัวแปรที่ทำให้แมลงพวกนี้เกิดการกลายพันธุ์ จนร่างกายของพวกมันมีพิษแฝงอยู่ แล้วยังเป็นพิษที่รุนแรงมากด้วย” ชายที่แก่กว่าพูด “ไม่ใช่ว่ามีคนในหมู่บ้านถูกมันกัดไปตั้งหลายคนแล้วหรอกเหรอ?”

 

ทั้งสองออกจากหมู่บ้านหวังและตรงไปยังหมู่บ้านหลี่ พวกเขาค้นพบแมลงชนิดที่สองจากเนินเขาที่อยู่ใกล้กับรีสอร์ทน้ำพุร้อน แล้วแมลงชนิดที่สองนี้ยังมีพิษร้ายแรงกว่ามาก

 

“บางที แมลงที่เราพบในอีกหมู่บ้านหนึ่ง อาจจะเป็นตัวแยกย่อยมาจากแมลงชนิดนี้ก็ได้” ชายที่แก่กว่าพูด

 

“ก็อาจจะใช่ แต่รูปร่างของพวกมันไม่เหมือนกันเลยนะ” ชายที่อ่อนกว่าพูด

 

“ในเมื่อพวกมันเป็นตัวที่แยกย่อยออกมา มันก็ไม่แปลกที่มันอาจจะมีรูปร่างที่เปลี่ยนไปด้วย” ชายที่แก่กว่าพูด

 

“แล้วเรื่องพิษล่ะ?” ชายที่อ่อนกว่าถาม

 

“ก็ไม่ได้เหมือนกันไปซะทั้งหมดหรอก” ชายที่แก่กว่าพูด

 

ในตอนที่เขาพูดอยู่นั้น ร่างกายของเขาก็มีอาการสั่นสะท้านขึ้นมา

 

“ศิษย์พี่?” ชายที่อ่อนกว่าถามด้วยความเป็นห่วง

 

“ฉันไม่เป็นไร” ชายที่แก่กว่าซึ่งอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยดีนักพูด ดูเหมือนว่า เขากำลังพยายามอดกลั้นกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น

 

หลังจากผ่านไปได้สักพัก เขาก็พ่นลมหายใจยาวอย่างโล่งอก “พิษมันแรงมาก”

 

เขาจงใจให้แมลงกัดตัวเอง หลังจากจับแมลงมาได้สองชนิด สิ่งแรกที่เขาทำก็คือปล่อยให้แมลงที่จับได้จากหมู่บ้านหลี่กัดตัวเอง เขาต้องการสัมผัสถึงพิษชนิดนี้อย่างลึกซึ้ง เมื่อมองไปที่แขนของเขา ก็พบว่ามีรอยกัดอยู่สองรอย

 

“เป็นเพราะอุณหภูมิ แมลงเลยกลายพันธุ์และสร้างพิษขึ้นมา” เขาพูด “พวกมันมีความดุร้ายมากขึ้น และโจมตีทุกอย่างที่ไม่ใช่พวกเดียวกัน”

 

“ผมว่า ชาวบ้านคงจะไม่มีใครรู้ว่าพวกมันอันตรายมากแค่ไหน” ชายที่อ่อนกว่าพูด เขาหยิบกระบอกไม้สีดำออกมา “ขอลองดูหน่อยนะ”

 

“ฉันว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่หรอกนะ” ชายที่แก่กว่าพูด “ถ้านายต้านพิษไม่ได้ มันจะอันตรายมาก แต่ถ้านายอยากจะลองจริงๆ ก็รอให้อาการของฉันดีขึ้นกว่านี้ก่อนดีกว่านะ”

 

“อืม” ชายที่อ่อนกว่าพูด “แต่ผมไม่อยากรอแล้วนี่!”

 

ค่ำคืนผ่านไปอย่างช้าๆ ดวงตะวันฉายแสงลงมายังพื้นดินในเช้าของวันใหม่

 

หวังเย้าแขวนป้ายเอาไว้ที่หน้าประตู เพื่อแจ้งว่าเขาไม่เปิดคลินิก

 

“หมอคนนี้อยากจะทำอะไรก็ทำ” คนไข้คนหนึ่งมาที่คลินิกพูดขึ้น “เมื่อไหร่ที่เขาไม่อยากจะตรวจคนไข้ เขาก็ปิดคลินิกซะเลย”

 

“ใช่ เขาเป็นแบบนี้ตลอดเลย” คนไข้อีกคนพูด

 

เมื่อเทียบกับครั้งก่อนที่เขาปิดคลินิกแล้ว ครั้งนี้ถือว่ามีคนไข้มาน้อยกว่ามาก หลังจากหวังเย้าเปิดบันชีกับเวยป๋อแล้ว คนไข้ส่วนใหญ่ก็จะรู้ว่า เมื่อไหร่ที่เขาจะปิดคลินิก เขาใช้บันชีเวยป๋อของเขาแจ้งกับคนไข้ในตอนที่เขาจะไม่อยู่ เพื่อไม่ใช่หลายๆคนต้องมาเสียเที่ยว แต่เขาก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่า ทุกคนจะรู้เรื่องนี้อย่างทั่วถึง ดังนั้น จึงมีบางคนที่เดินทางมาที่คลินิกอยู่

 

“ไปกันเถอะ” คนไข้พูด

 

ถึงพวกเขาจะไม่พอใจ แต่พวกเขาก็ได้แต่ต้องกลับ

 

เวลานั้น หวังเย้าอยู่ในคลินิกพอดี เขาเปิดประตูห้องอ้าเอาไว้ ดังนั้น เขาจึงได้ยินคำพูดของคนไข้ที่ดังมาจากด้านนอก

 

เขาต้องการใช้เวลาในการศึกษาบันทึกในแต่ละวันที่เขาเขียนเอาไว้ เพื่อเป็นการพัฒนาความสามารถของเขา เขาได้ซื้อคอมพิวเตอร์ที่มีฟังค์ชั่นการทำงานครบครันและมีพื้นที่เก็บข้อมูลในปริมาณมากได้

 

พอฉันเสร็จเรื่องนี้เมื่อไหร่ ฉันก็จะไปปักกิ่ง

 

หวังเย้าใช้เวลาศึกษาบันทึกอยู่ไม่นาน เขาใช้เวลาไปไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังมีอีกเรื่องที่ต้องจัดการ เขาอยากจะรักษาชาวบ้านที่ถูกพิษ เขาจึงทำยารักษาสำหรับพวกเขาในคืนนั้น

 

วันต่อมา เขานำยาไปให้คนไข้เหล่านั้นกิน ก่อนที่จะตรวจดูอาการของพวกเขา ทั้งสามล้วนมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

“หมอหวัง คุณจะเดินทางไปทื่อื่นเหรอครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม

 

“ใช่ ผมจะเดินทางไปปักกิ่ง ฝากดูแลหมู่บ้านให้ด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“วางใจได้เลยครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด

 

เพราะเขาปลูกต้นไม้จำนวนมากเอาไว้บนเขา หวังเย้าจึงได้ขอให้พ่อแม่ของเขาช่วยดูแลในตอนที่เขาไม่อยู่

 

“พ่อจะขึ้นไปนอนเฝ้าบนเนินเขาให้เอง” หวังเฟิงฮวาพูด

 

“พ่อไม่ต้องนอนบนนั้นก็ได้ครับ แค่ไปรดน้ำต้นไม้ตอนที่มีเวลาว่างก็พอแล้ว” หวังเย้าพูด

 

“ปล่อยเขาไปเถอะจ๊ะ” จางซิวหยิงพูดด้วยรอยยิ้ม “แม่ดูแลบ้านคนเดียวไหวอยู่แล้ว”

 

หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว หวังเย้าก็กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานเพื่อตรวจดูพืชและสมุนไพร จากนั้นก็เตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้พร้อม สมุนไพรบางชนิด โดยเฉพาะสมุนไพรรากกำลังเริ่มบานกันแล้ว พวกมันต่างก็ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงเวลาที่พวกมันอาจจะเริ่มโตกันเร็วขึ้น

 

หลังจากจัดแจงเรื่องทุกอย่างในหมู่บ้านจนเสร็จแล้ว หวังเย้าก็เดินทางไปขึ้นเครื่องเพื่อบินไปปักกิ่ง

 

“ลูกบอกว่า จะไปหาใครที่ปักกิ่งนะ?” จางซิวหยิงถาม

 

“เขาบอกว่า เขาจะไปหาเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ที่นั่น” หวังเฟิงฮวาพูด

 

“หรือเขาจะไปหาเด็กสาวที่มาเมื่อครั้งก่อนรึเปล่า? เด็กคนนั้นสวยมากเลยนะ” จางซิวหยิงพูด

 

“เลิกคิดไปไกลได้แล้ว” หวังเฟิงฮวาพูด

 

“เขาอายุก็ไม่ใช่น้อยๆแล้วนะ” จางซิวหยิงถอนหายใจออกมา

 

มันเป็นวันที่สดใสและเจิดจ้าในปักกิ่ง ห้างร้านเต็มไปด้วยผู้คน และท้องถนนก็เต็มไปด้วยรถรา ปักกิ่งยังคงวุ่นวายไม่เปลี่ยนแปลง

 

สำหรับหวังเย้า ปักกิ่งเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ เมื่อมองไปที่ผู้คนและรถที่ขับอยู่ตามท้องถนน ก็ทำให้เขารู้สึกกดดันขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ มันเป็นเมืองที่มีจุดเด่นของตัวเองอยู่ ซึ่งก็คือประวัติศาสตร์อันยาวนานและยังเป็นเมืองหลวงของประเทศอีกด้วย มันเต็มไปด้วยโอกาส, ความร่ำรวย, และผู้มากความสามารถ

 

ผู้คนมากมายล้วนอยากมาอยู่ในปักกิ่ง แม้พวกเขาจะต้องต่อสู้ดิ้นรนขนาดไหนก็ตาม พวกเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตด้วยเงินแค่ 5,000 หยวนต่อเดือนอย่างสุนัขตัวหนึ่ง ดีกว่ากลับไปทำงานอยู่ที่บ้านเกิดของตัวเอง แม้ว่าที่นั่นพวกเขาจะได้เงินเดือนเท่ากันก็ตามที พวกเขาไม่เคยมีความคิดที่ว่า การอยู่บ้านเกิดจะทำให้พวกเขามีชีวิตที่ผ่อนคลายมากกว่า แล้วราคาบ้านในเขตนอกเมืองก็ยังถูกกว่าในเมืองใหญ่มากด้วย

 

หวังเย้าไม่สามารถบอกได้ว่า คนเหล่านั้นดื้อรั้นหรือโง่เง่ากันแน่ หรือบางทีอาจจะเป็นทั้งสองอย่างเลยก็ได้

 

หลังลงจากเครื่องแล้ว เขาก็ดูเวลาและส่งข้อความไปหาซูเสี่ยวซวี [ผมมาถึงปักกิ่งแล้วนะ]

 

ซูเสี่ยวซวีอยู่ภายในตึกหลังหนึ่งที่กำแพงมีไม้เลื้อยปกคลุมเอาไว้ เธอกำมือแน่นด้วยความตื่นเต้น เย้! ดวงตาที่กระจ่างใสของเธอหรี่ลงจนกลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว

 

“เธอโอเครึเปล่า?” เพื่อนของเธอคนหนึ่งถามด้วยความแปลกใจ

 

“อื้ม” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

เด็กสาวที่มักจะทำตามกฎของมหาวิทยาลัยอย่างเคร่งครัด ได้ยกมือเพื่อขอออกไปจากห้องเรียน ด้วยข้ออ้างที่ว่า เธอรู้สึกไม่สบาย

 

“ได้สิ สุขภาพสำคัญที่สุด” ศาสตราจารย์ชราพูด

 

คำขอจากสาวน้อยน่าตาน่ารักต้องได้รับการตอบรับอยู่แล้ว

 

เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ซูเสี่ยวซวีก็เดินออกไปจากห้องเรียน ถึงแม้ท่าทางการเดินที่ดูสง่างามของเธอจะดูไม่เหมือนคนป่วยเลยก็ตามที นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เธอโดดคาบเรียน

 

“สวัสดีค่ะ น้าเหลียน” ซูเสี่ยวซวีพูดเมื่อเธอกลับไปถึงที่บ้าน

 

“สวัสดีค่ะ คุณหนูซู คุณหนูจะไปที่ไหนเหรอคะ? ไม่ใช่ว่าเวลานี้ต้องอยู่ที่มหาลัยเหรอคะ?” ชูเหลียนถาม

 

“หนูได้รับข้อความจากหมอหวังค่ะ ตอนนี้เขาอยู่ที่สนามบินแล้ว หนูจะไปรับเข้าค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

ชูเหลียนแปลกใจ “เขามาเร็วขนาดนี้เลยเหรอคะ?”

 

“เราไปกันเลยไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“โอ้ ได้ค่ะ” ชูเหลียนพูด

 

เธอขับรถพาซูเสี่ยวซวีไปที่สถานบินปักกิ่ง ซูเสี่ยวซวีไม่สามารถหุบยิ้มได้เลย

 

เด็กโง่ ชูเหลียนคิด “หมอหวังจะอยู่ที่ปักกิ่งกี่วันเหรอคะ?”

 

“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เขาจะอยู่กี่วันก็คงแล้วแต่เขา” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

ชูเหลียนไม่ได้ถามอะไรอีก และคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก เธอเชื่อว่า ถ้าหวังเย้าชวนไปนอนค้างในป่า เธอก็คงจะยินดีไปกับเขาอย่างแน่นอน

 

ฉันต้องบอกเรื่องที่หมอหวังมาถึงกับคุณผู้หญิงด้วย ชูเหลียนคิด

 

แม้จะเป็นช่วงเวลานี้ของวัน ท้องถนนของกรุงปักกิ่งก็ไม่เคยร้างรถ ปักกิ่งอาจจะเป็นเมืองที่วุ่นวายที่สุดในโลกแล้วก็ได้

 

“เฮ้อ! ช้าจังเลย!” นี่เป็นครั้งที่เจ็ดแล้ว ที่ซูเสี่ยวซวีบ่นเรื่องการเดินทาง “ตอนนี้ หมอหวังคงจะรอไม่ไหวแล้ว”

 

“หลังจากผ่านแยกนี้ไปได้ เราก็จะถึงสนามบินแล้วล่ะค่ะ” ชูเหลียนพูด

 

หวังเย้ากำลังรออยู่ที่สนามบิน เขาสามารถเดินทางไปที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งได้ด้วยตัวเอง แต่เป็นเพราะซูเสี่ยวซวียืนยันว่าจะมารับเขา เขาก็เลยต้องรอเธออยู่แบบนี้ เขาไม่มีอะไรให้ทำ จึงได้เดินวนอยู่ภายในสนามบิน แต่คิดไม่ถึงว่า การกระทำของเขาจะกลายเป็นที่สงสัยของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบิน เจ้าหน้าที่คอยจับตาดูเขาอยู่นานจนแน่ใจว่าเขาไม่มีอันตรายอะไรแล้วจึงละสายตาไป

 

“ปักกิ่งนี่ไม่เหมือนที่อื่นจริงๆ” หวังเย้าพึมพำ

 

“สวัสดีค่ะ หมอหวัง!” น้ำเสียงรื่นรมย์ดังขึ้น

 

เมื่อมองไปตามเสียง เขาก็เห็นหญิงสาวน่าตาสะสวยคนหนึ่ง เธอเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานและเสน่ห์ หลังจากที่ต้องเผชิญกับโรคร้าย เทพพระเจ้าก็ดูเหมือนจะมอบแต่สิ่งดีดีให้กับเธอเพื่อเป็นการชดเชย

 

“ขอโทษที่ทำให้ต้องรอนะคะ หมอหวัง” ซูเสี่ยวซวีแทบจะวิ่งออกมาจากลานจอดรถเพื่อมาหาหวังเย้า

 

“ไม่เป็นไร ขอบคุณที่มารับผมนะ” หวังเย้าพูด

 

“ยินดีต้อนรับสู่ปักกิ่งค่ะ หมอหวัง” ชูเหลียนพูด

 

“ขอบคุณครับ” หวังเย้าพูด

 

“เราไปกันเลยไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีพูดขึ้นมา

 

“โอเค” หวังเย้าพูด

 

หลังจากที่ขึ้นไปนั่งบนรถแล้ว ชูเหลียนก็รับหน้าที่เป็นคนขับเหมือนเดิม ส่วนซูเสี่ยวซวีและหวังเย้าก็นั่งอยู่ที่นั่งด้านหลังด้วยกัน

 

“คราวนี้ คุณจะอยู่กี่วันเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ประมาณอาทิตย์หนึ่ง” หวังเย้าพูด

 

“หนึ่งอาทิตย์เหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีเริ่มคิดแผนการโดดเรียนเพื่อที่จะได้ใช้เวลาอยู่กับหวังเย้าทั้งอาทิตย์ขึ้นมาทันที

 

“เธอมีเรียนหลายวิชารึเปล่า?” หวังเย้าถาม

 

“ไม่ค่ะ ไม่เยอะเลย” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“เชียนเชิงจะอยู่ที่กระท่อมเหมือนทุกทีไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ไม่ดีกว่า ผมจะไปอยู่ที่โรงแรมแทน” หวังเย้าพูด

 

“กระท่อมว่างสำหรับคุณเสมอนะคะ” ชูเหลียนพูด

 

สำหรับตระกูลซู หวังเย้าคือแขกคนพิเศษของพวกเขา พวกเขาต้องดูแลเขาอย่างดีที่สุด เหมือนกับตอนที่หวังเย้ามารักษาซูเสี่ยวซวีในครั้งนั้น ตอนนี้เธอหายเป็นปกติแล้ว และเริ่มคบหากับเขา พวกเขาก็ยิ่งอยากดูแลเขาให้ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ

 

“ไม่ดีกว่า ขอบคุณนะครับ ผมว่า คราวนี้ผมขอพักที่โรงแรมดีกว่า” หวังเย้าพูด

 

ชูเหลียนจึงจัดการจองห้องพักที่โรงแรมให้กับเขา