หลังจากจิ่งเหวินไปแล้ว พี่เวินก็มองมาทางเถียนเซียวเซียว “เธอโง่หรือไง? แต่ก่อนบอกแสนนึงก็พอแล้ว พอมาตอนนี้ได้ห้าแสนเธอก็ไม่ขาย? อีกอย่างมันยังเป็นหนังของโปรดิวเซอร์ในวงการเลยนะ ถึงจะเป็นหนังวรรณกรรม แต่ถ้าขายออกไปมันจะช่วยเธอได้ในอนาคต…”
เธอยังคงเกลี้ยกล่อมเถียนเซียวเซียว
“เพลงนี้หร่านหร่านเป็นคนช่วยแก้ให้ฉัน อีกอย่าง ราชาเหยียนก็ไม่แนะนำให้ขาย” เถียนเซียวเซียวเงยหน้าขึ้นอย่างเหนื่อยหน่ายพลางกัดแอปเปิ้ล
เมื่อได้ยินชื่อฉินหร่านกับเหยียนซี พี่เวินก็ผงะแล้วรีบเปลี่ยนคำพูด “งั้นก็ไม่ขายแล้ว”
พอนิ่งไปสักพัก พี่เวินก็นั่งลงบนเก้าอี้มองเถียนเซียวเซียวกินแอปเปิ้ล “ทำไมราชาเหยียนถึงสนใจเพลงแบล็คกราวด์เธอ…”
พี่เวินหลุบสายตาลงพลางครุ่นคิดความสัมพันธ์ระหว่างฉินหร่านกับเหยียนซี ราวกับมีบางอย่างแวบขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตาม…
มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว….
**
ด้านล่าง ฉินหลิงกับฉินซิวเฉินทานข้าวเสร็จก็กลับไปที่ห้องพร้อมกัน คุณครูที่สอนฉินหลิงกำลังนั่งรออยู่ที่โต๊ะพร้อมกับคอมพิวเตอร์และหนังสือ
หลังจากคุณครูสอนเสร็จ ฉินหลิงก็เปิดคอมพิวเตอร์
เขาชำเลืองมองฉินหลิงแวบหนึ่งแล้วลดเสียงลงเพื่อส่งสัญญาณให้ฉินซิวเฉินตามเขาออกไปข้างนอก
“คุณพูดมาได้เลยครับ” ฉินซิวเฉินปิดประตูและพูดกับคุณครูของฉินหลิงด้วยความเคารพ
“พรสวรรค์ของเสี่ยวหลิงเกินความคาดหมายของผมมาก ตั้งแต่เกิดมาผมเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก แทบจะเรียกได้ว่าสอนไปนิดๆ หน่อยๆ ก็เข้าใจแล้ว” คุณครูของฉินหลิงมองไปทางประตู อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชื่นชม “อย่างมากที่สุดก็อีกหนึ่งเดือน ผมคงไม่มีอะไรใหม่ๆ จะสอนเขาแล้ว คุณเตรียมตัวหาครูคนใหม่ให้เขาได้เลย”
ฉินซิวเฉินถึงกับอึ้งเมื่อฟังจบ
เขาเดาว่าฉินหลิงมีพรสวรรค์ที่ไม่เลว แต่ไม่คิดมาก่อนเลยว่าคุณครูจะประเมินไว้สูงแบบนี้
เมื่อก่อนตระกูลฉินมีอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอยู่ไม่น้อย แต่ปัจจุบันอาจารย์เหล่านี้ต่างก็บากหน้าไปพึ่งบารมีคุณชายสี่ตระกูลฉินกันหมด ฉินซิวเฉินจึงทำได้แต่หาคนที่ไว้ใจได้จากข้างนอก
คนที่ฉินซิวเฉินไว้ใจมีจำกัด ถ้าเขาหาต่อไปอีกก็เกรงว่าเรื่องฉินหลิงจะถูกเปิดเผย…ข่าวที่เขากำลังหาอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญก็จะต้องถูกเปิดเผยเช่นกัน
“ขอบคุณครับ” ฉินซิวเฉินกำลังรวบรวมความคิด เริ่มใคร่ครวญปัญหาฉินหลิงในอีกหนึ่งเดือนต่อจากนี้
รายการวาไรตี้ได้ถ่ายไปแล้วครึ่งทาง ตารางงานฉินซิวเฉินต่อจากนี้ยังไม่แน่นอน
เขาก้มหน้าดูโทรศัพท์ ผู้จัดการส่งบทภาพยนตร์ให้เขาหลายเรื่อง เขายื่นมือปัดดู จนในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกบทในรัฐ M แล้วตอบกลับผู้จัดการโดยบอกว่าเลือกบทภาพยนตร์เรื่องนี้
ปลายนิ้วฉินซิวเฉินกดโทรศัพท์พลางหรี่ตาลง
กองกำลังคุณชายสี่ตระกูลฉินสามารถสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องภายในประเทศได้ แล้วรัฐ M ล่ะ?
ฉินซิวเฉินเม้มริมฝีปากเล็กน้อย เก็บโทรศัพท์แล้วเดินกลับห้อง
**
วันจันทร์
ห้องทำงานคณบดีเจียง ขณะที่เขาค่อยๆ ยกถ้วยชาขึ้น
ก็เห็นโจวอิ่งรีบร้อนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนอกร้อนใจ
“นั่งสิ” ปัจจุบันภาควิชาฟิสิกส์มีซ่งลี่ว์ถิงที่เฉิดฉาย ปีนี้ยังมีนักศึกษาดีเด่นเพิ่มมาอีกคน คณบดีเจียงจึงอยู่ในช่วงลำพองใจ เมื่อเห็นสภาพโจวอิ่ง เขาก็เคาะนิ้วช้าๆ “มีเรื่องอะไรนายถึงดูลนลานแบบนี้? เป็นถึงศาสตราจารย์ต้องมีกิริยาท่าทางสุขุมลุ่มลึก”
“คุณส่งโควตาฉินหร่านเข้ารับการประเมินรอบต้นเดือนหน้าแล้วหรือครับ?” โจวอิ่งทำหน้าหม่นหมอง
มือที่จับถ้วยชาชะงัก รอยยิ้มบนใบหน้าคณบดีเจียงหายไปในพริบตา “อะไรนะ โควตาของฉินหร่านถูกส่งไปแล้ว? !”
ไม่ว่าจะเป็นการประเมินของสี่ตระกูลหลักหรือนักศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยหนึ่งมีโอกาสเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น
แม้ว่าคุณจะเป็นนักศึกษาทั่วไปหรือคนจากสี่ตระกูลหลักก็ตาม หากล้มเหลวก็จะเสียโอกาสในการเข้าห้องปฏิบัติการไปตลอดกาล ช่วงแรกๆ เฉิงเวินหรูก็ล้มเหลวจากการประเมินแบบทั่วไป เธอจึงไม่ได้เข้าสถาบันการแพทย์อีกเลย
ดังนั้นมหาวิทยาลัยดังๆ แต่ละแห่งจึงให้ความสำคัญกับการคัดเลือกคนที่เข้าร่วมการประเมินอย่างมาก ตอนที่ให้นักศึกษาเซ็นสัญญาข้อตกลงรักษาความลับหรือเอกสารยืนยัน ล้วนต้องยืนยันแล้วยืนยันอีกว่านักศึกษาคนนี้มีความรู้พื้นฐานรอบด้านและทำการทดลองมาหลากหลายรูปแบบจนทะลุขีดจำกัดไปแล้วถึงจะสมัครได้
รายชื่อนี้ยังได้มาจากการประเมินจากการประชุมของภาควิชาฟิสิกส์อีกด้วย
ทุกวันนี้คนที่มีความสามารถทางวิชาชีพมีน้อยลงเรื่อยๆ ภาควิชาฟิสิกส์ไม่ได้ทำเพื่อทรัพยากรของภาควิชาฟิสิกส์เท่านั้น แต่ยังต้องการอบรมบ่มเพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยเมืองหลวงเพื่อที่จะคัดเลือกคนเข้าห้องปฏิบัติการไปจนถึงเป็นตัวหลักของสถาบันวิจัย
หลายปีที่ผ่านมามีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเมืองหลวงเข้าห้องปฏิบัติการเป็นจำนวนมาก แต่ห้องปฏิบัติการเลือกตัวหลักได้เพียงไม่กี่คน มีเพียงมหาวิทยาลัยAเท่านั้นที่มีผู้รับผิดชอบในห้องปฏิบัติการหลายคน
ด้วยเหตุนี้ สถานภาพของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงจึงตกอยู่ในอันตราย ในแต่ละปีอธิการบดีโจวจึงหมกมุ่นอยู่กับการคว้าอันดับหนึ่ง
ปัจจุบันมีซ่งลี่ว์ถิงที่โดดเด่นมาก่อน และยังมีฉินหร่านอีกคน เหล่าคณาจารย์ตั้งแต่ระดับบนลงล่างในภาควิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงจึงให้ความสำคัญกับสองคนนี้มาก
มีด็อกเตอร์และบุคลากรกิตติมศักดิ์หลายคนในภาควิชาฟิสิกส์เคยเห็นคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยของฉินหร่านมาแล้ว ถึงขนาดเปิดประชุมเล็กใหญ่อยู่หลายครั้ง
ด็อกเตอร์ที่ประจำอยู่ในห้องปฏิบัติการถูกย้ายกลับไปที่ห้องทดลองไม่น้อยเพื่อดูแลให้คำแนะนำฉินหร่าน
เนื่องจากเคยมีซ่งลี่ว์ถิงมาก่อน คณบดีและคนอื่นๆ จึงได้จัดทำแผนงานให้ฉินหร่านเสร็จสรรพ
เดิมทีคณบดีเจียงวางแผนจะให้ฉินหร่านทำหัวข้อประเมินไว้ส่วนหนึ่ง ถ้าเธอทำได้ก็ให้เธอเริ่มทำการทดลองแม่เหล็กนิวเคลียร์โฟโตอิเล็กทริกของห้องปฏิบัติการ ถ้าไม่เลวไปกว่าซ่งลี่ว์ถิง
คณบดีเจียงก็จะสมัครห้องปฏิบัติการให้เธอในเดือนมีนาคมปีถัดไป
ฉินหร่านกับซ่งลี่ว์ถิงทำให้ภาควิชาฟิสิกส์เต็มไปด้วยความคาดหวัง เอาจริงเอาจังกับอนาคตของพวกเขาเพราะกลัวว่าพวกเขาจะเดินพลาด
เมื่อเขาที่จัดเตรียมทุกอย่างไว้เสร็จสรรพดีแล้วมาได้ยินที่โจวอิ่งพูดก็เทียบไม่ได้กับการโดนอสนีบาต
ฉินหร่านไม่เคยแตะเนื้อหาการประเมินมาก่อนและยังไม่เคยผ่านการทดลองสำคัญๆ หลายครั้ง…
คณบดีเจียงไม่มีแผนจะให้เธอเข้าร่วมการประเมินในเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้
ตอนนี้เหลือเวลาเพียงครึ่งเดือน อย่าว่าแต่หัวข้อการประเมินเชิงทฤษฎีเลย ลำพังแค่การทดลองแม่เหล็กไฟฟ้านิวเคลียร์ ฉินหร่านก็ยุ่งแล้ว
ถ้าถูกคัดออกคราวนี้ ปีหน้าฉินหร่านก็จะไม่มีโอกาสอีก…
คณบดีเจียงตระหนักถึงผลกระทบร้ายแรงของเรื่องนี้ เขาลุกนั่งตัวตรงแล้วหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานขึ้นมาเพื่อต่อสายหาผู้รับผิดชอบประจำห้องปฏิบัติการ
เมื่อผู้รับผิดชอบที่ประจำห้องปฏิบัติการได้ยินเจตนารมณ์ของคณบดีเจียง เขาก็ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ “โควตาของนักศึกษาปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยพวกคุณ อธิการบดีโจวเป็นคนส่งมา ตอนนั้นผมให้ผู้ช่วยโทรไปยืนยันกับเขามาหลายรอบแล้ว เรื่องสำคัญแบบนี้…พวกคุณยังรายงานผิดพลาด?”
อธิการบดี?
มิน่าล่ะถึงได้ข้ามหน้าข้ามตาเขาไปสมัครให้ฉินหร่านโดยตรง คณบดีเจียงพยายามข่มอารมณ์โกรธไว้ เขากดเสียงต่ำแล้วถามว่า “อธิการบดีโจวไม่เคยมาปรึกษากับผม ไม่ทราบว่าเพิกถอนรายชื่อของฉินหร่านได้ไหมครับ?”
“ข้อตกลงรักษาความลับและใบสมัครส่งไปหมดแล้ว ระเบียบห้องปฏิบัติการเข้มงวดมากแค่ไหนคุณก็น่าจะรู้ ถึงจะเป็นคนตระกูลเฉิงก็เถอะ” ผู้รับผิดชอบส่ายหน้า
วางสาย
คณบดีเจียงนั่งลงบนเก้าอี้
โจวอิ่งที่อยู่ข้างโต๊ะทำงานเห็นสภาพคณบดีเจียงก็พอจะรู้แล้ว
“พ่อผมส่งไปใช่ไหม?” ผู้รับผิดชอบประจำห้องปฏิบัติการพูดเสียงดังอยู่อีกฝั่ง โจวอิ่งจึงได้ยินอย่างชัดเจน เขาเม้มริมฝีปาก “เขาจำเป็นต้องรีบร้อนอยากประสบความสำเร็จขนาดนี้เลย? พรสวรรค์ของฉินหร่านหาได้ยากในรอบศตวรรษ นี่เขากำลังเดิมพันอนาคตของคนคนหนึ่งไปอย่างส่งๆ เพียงเพราะความสำเร็จทางหน้าที่การงานที่น่าหัวเราะอย่างงั้นเหรอ?”
เมื่อได้ยินที่โจวอิ่งพูด คณบดีเจียงก็อ้าปากนั่งตัวตรง หรี่ตาลง “อธิการบดีโจวไม่ใช่คนที่ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ฉินหร่านเป็นคนฉลาด ให้เวลาเธอครึ่งเดือน เธอจะต้องผ่านการทดสอบภาคทฤษฎีอย่างแน่นอน”
“ผ่านการทดสอบภาคทฤษฎีแล้วยังมีภาคปฏิบัติอีกนะครับ ถ้าไม่ผ่านล่ะก็…” โจวอิ่งมองไปทางนอกหน้าต่าง ต้องฝึกฉินหร่านภายในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือนเพียงลำพัง
เวลากระชั้นชิดเกินไป
อย่างที่คณบดีเจียงบอก ให้เวลาฉินหร่านครึ่งเดือน เธอจะต้องผ่านภาคทฤษฎีได้แน่นอน พรสวรรค์ด้านฟิสิกส์ของเธอนั้นไม่ธรรมดา ด้วยเหตุนี้เอง โจวอิ่งยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้นไปอีก!
โจวอิ่งมีสีหน้าอึมครึม
เขาสงสัยเหลือเกินว่าพ่อของเขาเป็นสายลับที่มหาวิทยาลัยAส่งมาหรือเปล่า
คณบดีเจียงพยายามตั้งสติ เขายกโทรศัพท์ต่อสายหาฉินหร่านเพื่อให้เธอมาที่ห้องทำงานก่อน
ไม่ว่าจะอย่างไร ชื่อก็ลงทะเบียนไปแล้ว ภาควิชาฟิสิกส์จะทิ้งเธอไปไม่ได้
ทางด้านฉินหร่านยังอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องสมุด
เธอกดหูฟังแล้วเดินไปที่ทางเดินด้านนอก “คณบดีเจียง?”
“นักศึกษาฉินหร่าน ตอนนี้เธออยู่ไหน?” น้ำเสียงคณบดีเจียงฟังดูโรยราเล็กน้อย
“ห้องสมุดค่ะ” ฉินหร่านจับขอบหน้าต่างพลางมองไปที่รั้วมหาวิทยาลัย พูดด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อน
คณบดีเจียงชะงัก พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เธอมาที่ห้องทำงานฉันหน่อย”
**
ในเวลาเดียวกัน
ห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์ชั้นใต้ดินชั้นที่สอง หลังจากผู้รับผิดชอบวางสายเสร็จก็ทำหน้าอธิบายไม่ถูก
ผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้างได้ยินไม่หมด เขาจึงถามอย่างระมัดระวัง “ทางฝั่งมหาวิทยาลัยเมืองหลวงมีปัญหาเหรอ?”
“ได้ยินมาว่าสมัครผิดน่ะ ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อเลย ฝั่งภาควิชาฟิสิกส์ไม่รู้ว่าอธิการบดีโจวเอาชื่อนักศึกษาใหม่ของพวกเขาไปลงสมัคร” ผู้รับผิดชอบดันกรอบแว่นตาพลางส่ายหน้า
“มิน่าล่ะ ผมถึงได้บอกว่าราชาน้องใหม่คนนั้นสมัครเร็วเกินไป ภาควิชาฟิสิกส์ไม่ควรรีบร้อนขนาดนั้น เพิ่งเข้ามาเรียนได้สองเดือนเอง น่าจะเคยผ่านการทดลองมาได้ไม่เท่าไหร่” ผู้ช่วยดึงแบบฟอร์มตรวจสอบออกมาจากโต๊ะ นั่นคือคะแนนสอบกลางภาคของฉินหร่าน “เธอสอบกลางภาคได้คะแนนเต็มหมด ศักยภาพไร้ขีดจำกัดจริงๆ ”
ผู้รับผิดชอบส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ “น่าเสียดาย”