ด้านนี้
คณบดีเจียงได้จัดเตรียมห้องทดลองของภาควิชาฟิสิกส์ไว้หนึ่งห้อง เขาและอาจารย์หลายคนยังได้จัดแจงเนื้อหาการประเมินของห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์ไว้อีกด้วย
เมื่อฉินหร่านมาถึงห้องทำงานคณบดีเจียง เครื่องพิมพ์ยังคงกำลังพิมพ์เอกสารออกมา
โจวอิ่งยังไม่ได้ไปไหน ฉินหร่านเปลี่ยนมาถือหนังสือด้วยมือข้างเดียวพร้อมกับทักทายอย่างสุภาพ “คณบดีเจียง ด็อกเตอร์โจว”
คณบดีเจียงรออยู่ข้างเครื่องพิมพ์ มือข้างหนึ่งถือที่เย็บกระดาษ หลังจากพิมพ์เอกสารออกมาทั้งหมดแล้ว เขาก็เย็บเอกสารทีละชุดและจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยยื่นให้ฉินหร่าน
ฉินหร่านรับมาเปิดอ่านคร่าวๆ นี่คือข้อมูลภาคปฏิบัติและภาคทฤษฎีทางฟิสิกส์
“ฉินหร่าน เธอเข้ามหาวิทยาลัยมานาน เธอเคยได้ยินเรื่องห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์บ้างไหม?” คณบดีเจียงพูดด้วยน้ำเสียงลังเล จากนั้นก็ค่อยๆ พูดออกมา
ฉินหร่านจัดกองเอกสารอย่างไม่รีบร้อนก่อนจะพยักหน้า
ตอนที่ไปเซ็นข้อตกลงรักษาความลับที่ห้องทำงานอธิการบดีโจว เขาก็ได้อธิบายให้เธอฟังแล้ว
“งั้นฉันจะไม่พูดอะไรมาก อธิการบดีโจวข้ามหน้าข้ามตาพวกเราโดยส่งชื่อเธอลงสมัครรอบต้นเดือนธันวา” คณบดีเจียงหยิบกุญแจห้องทดลองเล็กที่เตรียมไว้มอบให้ฉินหร่าน “ฉันพิมพ์หัวข้อและการทดลองทั้งหมดลงไปในกระดาษหมดแล้ว ยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือน เธอต้องจดจ่ออยู่กับการวิจัย ไม่ต้องสนใจวิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์และวิศวกรรมอัตโนมัติอื่นๆ ”
พอได้ยินดังนั้น ฉินหร่านก็หลุบตาลง
เธอพอจะรู้สาเหตุที่คณบดีเจียงตามเธอมาแล้ว นั่นเพราะเธอคุยเรื่องการประเมินรอบเดือนธันวาคมกับอธิการบดีโจวเพียงคนเดียว ตอนนั้นอธิการบดีโจวยังชี้ข้อดีข้อเสียให้เธอฟัง
ขณะนี้…ดูจากท่าทีของคณบดีเจียงกับด็อกเตอร์โจวแล้ว คาดว่าพวกเขาคงคิดว่าเธอสอบการประเมินปกติไม่ผ่าน แต่การทดสอบภาคทฤษฎีเธอก็น่าจะผ่าน ทว่าการทดลองทางฟิสิกส์นั้นไม่ค่อยมีความเป็นไปได้…
เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาควิชาฟิสิกส์จึงเปิดห้องทดลองให้เธอคนเดียวหนึ่งห้อง
เมื่อฉินหร่านมองกองเอกสารที่อยู่ในมือ ไม่นานเธอก็ยิ้มออกมา “ค่ะ”
“กลับไปอ่านหนังสือเถอะ” คณบดีเจียงไม่อยากกดดันฉินหร่าน เขาจึงไม่ได้อธิบายอะไรให้ฉินหร่านฟังมากนัก “ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามด็อกเตอร์ ฉันพิมพ์รายชื่อด็อกเตอร์ทุกท่านไว้ที่หน้าสุดท้าย”
ฉินหร่านไม่ได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงก็เพราะพานหมิงเย่ว์และซ่งลี่ว์ถิงอยู่มหาวิทยาลัยเมืองหลวงมาก่อน
พอมองคณบดีเจียงในเวลานี้ เธอก็สูดหายใจเข้าลึกๆ
ไม่ได้พูดอะไรกับคณบดีเจียงมากนัก เธอไม่ได้ทำการทดลองฟิสิกส์มานานกว่าสี่ปีแล้ว เธอไม่รู้ว่าการประเมินการทดลองของห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์จะยากสักแค่ไหน ขนาดซ่งลี่ว์ถิงยังต้องใช้ความตั้งใจขนาดนั้น ฉินหร่านเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถทำให้คณบดีเจียงสมปรารถนาได้หรือไม่…
เธอถือกุญแจที่คณบดีเจียงมอบให้ เดินไปที่ห้องทดลองเล็กที่ตึกรวม ด้านในมีการจัดวางอุปกรณ์การทดลองฟิสิกส์ไว้มากมาย
ไม่มีใครอยู่ในห้องทดลองเลย เธอใช้เครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็กทำการทดลอง
**
เวลาหนึ่งทุ่ม เฉิงเจวี้ยนจอดรถไว้ที่ข้างล่างตึกฟิสิกส์
ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว
ฉินหร่านยังไม่ลงมา
เฉิงเจวี้ยนเลิกคิ้ว เขาดึงกุญแจรถออก เปิดโทรศัพท์เพื่อดูห้องที่ฉินหร่านส่งมาก่อนหน้านี้แล้วเดินไปยังห้องทดลองที่ตึกรวม
ห้องทดลองอยู่ตรงมุมด้านในสุดชั้นสาม เงียบมาก
ประตูห้องปิดไว้ครึ่งเดียว ประตูเป็นกระจกใสขอบสีขาว จะเห็นได้ว่าฉินหร่านกำลังยืนอยู่ที่ป้ายโต๊ะทดลอง ปลายนิ้วเรียวขาวถือภาชนะแม่เหล็กรูปโลหะปิดสนิท เกรียวกลม โครงสร้างสลับซับซ้อน เธอใช้มือข้างหนึ่งใส่ฝาครอบกระจกให้มันอย่างระมัดระวัง
เธอหลุบตาลง จากมุมนี้จะเห็นได้ว่าขนตายาวของเธอกำลังพับลง แสงและเงาตกกระทบลงบนเปลือกตาจางๆ หน้าผากแสดงให้เห็นถึงความใจร้อนของคนวัยหนุ่มสาว เป็นแสงสว่างหนึ่งเดียวภายในห้องทดลอง
เฉิงเจวี้ยนรู้ว่าเธอน่าจะกำลังทำการทดลองทางฟิสิกส์ เขาจึงไม่ได้เข้าไปรบกวนเธอ เพียงแค่เดินเข้าไปสองก้าว ขายาวเหยียดขวางทางเดิน ยืนอยู่ริมหน้าต่าง สองมือยันที่ขอบหน้าต่าง ดวงตาดำขลับแฝงไปด้วยรอยยิ้มสบายๆ มองเธอด้วยสายตาอันพร่าเลือน
ฉินหร่านตั้งใจทำการทดลองมาก
เธอสังเกตดูความเปลี่ยนแปลงในเครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็ก หยิบปากกาขึ้นมาจดบันทึกลงบนเอกสารบันทึกผลที่อยู่ข้างๆ เพื่อบันทึกเป็นข้อมูลสถิติ
พอบันทึกแล้วดูเวลาก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มครึ่งแล้ว
เธอหันไปมองด้านนอกประตูโดยไม่รู้ตัว เฉิงเจวี้ยนกำลังยืนอยู่ที่หน้าต่าง คิ้วและดวงตาราวกับหยก รูปร่างสูงชะลูด
**
“ทำไมมาอยู่ที่ห้องทดลอง?” บนรถ เฉิงเจวี้ยนปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศสูงขึ้น
ฉินหร่านให้เขาเปิดไฟรถ จากนั้นก้มศีรษะเปิดดูข้อมูลที่เธอเพิ่งบันทึกไว้ การทดลองครั้งแรกกับเครื่องปฏิกรณ์ไม่ประสบความสำเร็จ มีแต่พลังงานที่เป็นไปตามที่เธอคาดการณ์เอาไว้ทั่วๆ ไป เธอเอนหลังพิงเบาะพูดเสียงขึ้นจมูก “มีการประเมินห้องปฏิบัติการน่ะ”
เธอพูดไปด้วยพลางเปิดดูข้อมูลที่บันทึกไว้
เมื่อพบข้อยากๆ เธอจะส่งข้อความไปหาศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมนิวเคลียร์
ในสาขาวิศวกรรมนิวเคลียร์ ศาสตราจารย์กำลังแก้ไขวิทยานิพนธ์SCIของเขาอยู่
บัญชีโซเชียลที่มุมล่างขวาบนคอมพิวเตอร์เด้งขึ้นมา ทันทีที่ศาสตราจารย์เปิดดูก็พบว่าเป็นฉินหร่าน ราชาหน้าใหม่ของภาควิชาฟิสิกส์
เขาเพิ่มเธอนานแล้ว แต่ฉินหร่านแทบจะไม่ถามคำถามกับเขาเลย
ศาสตราจารย์วางวิทยานิพนธ์ของตัวเองลง เปิดรูปโปรไฟล์ฉินหร่านแล้วอ่านคำถามที่เธอถาม ศาสตราจารย์อายุย่างห้าสิบแล้ว อยู่ในห้องปฏิบัติการมานานกว่ายี่สิบปี เขาจึงคุ้นเคยกับเนื้อหาการทดลอง
ในไม่ช้าเขาก็พบปัญหาของฉินหร่าน จากนั้นก็ส่งไปให้เธอ
เมื่อแน่ใจแล้วว่าฉินหร่านไม่มีคำถามอะไรแล้ว ศาสตราจารย์จึงทำวิทยานิพนธ์ต่อ เพิ่งแก้ไปได้ไม่กี่บรรทัดก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง…
“แปลกแฮะ…” ศาสตราจารย์เปิดบันทึกการสนทนาของฉินหร่าน อ่านอยู่หลายรอบก็พึมพำออกมาว่า “นี่มัน…ไม่ใช่…ไม่ใช่การทดลองระดับCนี่”
**
ด้านนี้ เฉิงเจวี้ยนจอดรถไว้ที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน
ที่จอดรถของถิงหลานใหญ่มาก มีสองชั้น พื้นที่กว้างขวาง ไฟตอนกลางคืนก็ไม่ได้มืดเท่าไหร่ ในตึกมีลิฟต์สี่ตัว ผู้อาศัยทั่วไปจะพักอยู่ที่ชั้นหนึ่งหรือชั้นสอง ลิฟต์จึงไม่ได้มีผู้คนใช้มาก
เฉิงเจวี้ยนถือหนังสือวิศวกรรมนิวเคลียร์ไว้ที่มือข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งกดปุ่มลิฟต์
ฉินหร่านเดินตามหลังเขาไปได้ครึ่งทาง มือยังถือโทรศัพท์ไว้เพื่อกลับไปดูคำอธิบายที่ศาสตราจารย์ส่งมาให้เธอด้วยความตั้งใจ ครุ่นคิดอย่างรอบคอบว่าตัวเองมีปัญหาที่ขั้นตอนไหน
ลิฟต์ลงมาจากชั้นสิบแปด
ติ๊ง——
ประตูเปิด ไม่มีคน
เฉิงเจวี้ยนเบี่ยงตัวมองคนที่ยังอยู่ข้างหลัง เอื้อมมือรวบเอวเธอแล้วลากเข้ามา
เขากดเลขชั้นนิ่งๆ “เจ๊หร่าน”
ฉินหร่านน่าจะรู้ทางแล้ว เธอเงยหน้าอย่างเอื่อยเฉื่อย พูดอย่างเชื่องช้า “ว่าไง”
เฉิงเจวี้ยนลดศีรษะลง ฝ่ามือกดเอวเธอไว้ แนบชิดกับริมฝีปากของเธอที่แฝงไปด้วยไอเย็นๆ