ฝ่ามือที่โอบเอวเธอนั้นร้อนผ่าว
เวลาไม่นาน
ไม่ถึงหนึ่งนาที
ริมฝีปากเฉิงเจวี้ยนก็เลื่อนไปด้านข้าง ลมหายใจไม่คงที่เล็กน้อย แต่ยังแนบที่มุมปากเธอ
หลุบตาลง แววตาลึกซึ้ง เขาค่อยๆ พูดอย่างช้าๆ และเยือกเย็น “ถึงแล้ว”
ติ๊ง——
ลิฟต์มาถึงชั้นแล้ว
**
ที่บ้าน เฉิงมู่ได้จัดเตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว
วันนี้ไม่มีใครมา มีแค่เฉิงมู่กับเฉิงจิน
หลังจากทุกคนทานข้าวเสร็จ เฉิงจินก็ถือจดหมายฉบับหนึ่งมาหาเฉิงเจวี้ยน
เฉิงเจวี้ยนไม่ได้เงยหน้าดู มือพลิกดูกองกระดาษA4ที่พิมพ์ออกมา “วางไว้”
เฉิงจินพยักหน้า เขามองเฉิงเจวี้ยนแวบหนึ่งก่อนจะพบว่ามีหัวข้อการประเมินห้องปฏิบัติการอยู่ในมือเฉิงเจวี้ยน
“นี่คือ…” เขาผงะ
ไม่ได้ถามเฉิงเจวี้ยน แค่ก้าวออกมาแล้วถามเฉิงมู่ที่กำลังชงชา “คุณหนูฉินจะเข้าห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์เดือนมีนาปีหน้าเหรอ?”
เฉิงมู่รินน้ำลงไปในถ้วยและนับใบชาเจ็ดใบอย่างระมัดระวัง
เขายังไม่ได้เงยหน้าขึ้น “เปล่า”
“งั้นก็ยังดี” เฉิงจินลดเสียงลงพลางชำเลืองมองไปทางเฉิงเจวี้ยน “ฉันยังคิดอยู่เลยว่าคุณหนูฉินเพี้ยนไปหรือเปล่าที่จะเข้าร่วมการประเมินเดือนมีนา”
การประเมินห้องปฏิบัติการ แน่นอนว่ากลุ่มของเฉิงจินก็เคยลองมาแล้ว แต่ละคนต่างก็เก็บกระเป๋ากลับบ้านกันหมดยกเว้นเฉิงหั่ว
เมื่อเห็นเฉิงมู่ชงชาเสร็จแล้ว เขาก็รับชาไปจากมือเฉิงมู่ต่อหน้าต่อตา ขณะกำลังจะเดินไปหาฉินหร่านกับเฉิงเจวี้ยน
น้ำเสียงไร้อารมณ์ของเฉิงมู่ก็ลอยมา “คุณหนูฉินจะเข้าร่วมการประเมินเดือนหน้าต่างหากล่ะ”
เฉิงจินชะงักเท้า
เฉิงมู่เหลือบมองเฉิงจิน จากนั้นก็ไปหยิบถ้วยชามาจากมือเฉิงจินด้วยความสุขุม เดินไปข้างๆ ฉินหร่านและวางถ้วยชาไว้ตรงหน้าฉินหร่านอย่างระมัดระวัง
ฉินหร่านกำลังดูวิดีโอห้องปฏิบัติการอยู่ เฉิงมู่ดูแล้วก็ดูไม่เข้าใจ เขาจึงเดินไปหาเฉิงเจวี้ยน เฉิงเจวี้ยนกำลังดูข้อมูลเชิงทฤษฎีที่คณบดีได้รวบรวมให้ฉินหร่าน จากนั้นก็ประเมินระบบและขอบเขตเนื้อหา
เฉิงมู่เหลือบดูก็ถึงได้รู้ว่าการประเมินเข้าห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์แบ่งออกเป็นสองรอบ คือสอบภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
จำนวนคนของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงกับมหาวิทยาลัยAที่เข้าร่วมการประเมินคิดเป็นหนึ่งในสาม ส่วนสี่ตระกูลหลักและสถาบันอื่นๆ ภายในประเทศแบ่งสัดส่วนจากส่วนที่เหลือของหนึ่งในสามนั้น
แต่ละปีมหาวิทยาลัยเมืองหลวงกับมหาวิทยาลัยAจะครองพื้นที่ซะส่วนใหญ่
แม้แต่สี่ตระกูลหลักก็ยังเสียเปรียบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถาบันอื่น
หนึ่งปีมีการประเมินอยู่สองครั้งคือต้นเดือนธันวาคมกับปลายเดือนมีนาคม แต่ละครั้งจะมีผู้เข้าร่วมการประเมินประมาณหนึ่งร้อยคน
แต่มีเพียงห้าสิบอันดับแรกที่เหลือจากการสอบภาคทฤษฎีเท่านั้นที่สามารถเข้าสอบภาคปฏิบัติต่อไปได้ การสอบภาคปฏิบัติจะแบ่งการทดลองออกเป็นหกระดับ เรียงระดับจากบนลงล่างเป็น S, A, B, C, D, E คนที่ทดลองตั้งแต่ระดับCขึ้นไปถึงจะได้อยู่ห้องปฏิบัติการ
ฟังดูเหมือนง่าย แต่ความเป็นจริงนั้นคนส่วนใหญ่ที่เข้ารับการประเมินมักจะพลาดตรงการทดลอง
ห้าสิบคน สามารถเข้าไปได้ครึ่งหนึ่งก็ถือว่าเยอะแล้ว
“สัดส่วนน่ากลัวจริงๆ ” เฉิงมู่อ่านแวบเดียวก็อดไม่ได้ที่ถอยออกไป สถานที่แบบนี้มีแต่พวกเทพๆ ที่เข้าไปได้
เฉิงเจวี้ยนช่วยฉินหร่านดูเอกสารกองนี้จนเสร็จ เขาใช้ปากกาแดงวาดจุดสำคัญให้ฉินหร่าน
“คุณชายเจวี้ยน คุณเคยเรียนฟิสิกส์ด้วยเหรอ?” เฉิงมู่คิดๆ ดูแล้วก็แน่ใจว่าเฉิงเจวี้ยนไม่เคยเรียนฟิสิกส์มาก่อน อย่างมากที่สุดเขาก็เคยเรียนการถ่ายภาพและวิชาเศรษฐศาสตร์ตอนที่อยู่มหาวิทยาลัยเท่านั้น
เฉิงเจวี้ยนตอบเบาๆ โดยไม่ได้เงยหน้า “อือ”
“งั้นคุณ…”
“แค่เน้นจุดสำคัญที่เธอต้องการแค่นั้นเอง ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เฉพาะทางอะไรขนาดนั้น” เฉิงเจวี้ยนเปิดกระดาษอย่างเอื่อยเฉื่อย พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “เรียนตอนม.ปลายก็พอแล้ว”
เฉิงมู่ “…”
เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องถามคำถามนี้ออกไป
หลังจากช่วยฉินหร่านเน้นจุดสำคัญของเนื้อหาการทดลองเสร็จ เฉิงเจวี้ยนก็กลับไปที่ห้องหนังสือ
เขาลากเก้าอี้ออกมาแล้วหยิบบุหรี่ออกมาจากลิ้นชักด้วยความเคยชิน ควันบางๆ ลอยอยู่ในอากาศ เขามองเฉิงจินผ่านกลุ่มควัน นัยน์ตาสีจาง “มีอะไร?”
“ไม่พบอะไรที่เป็นประโยชน์เลยครับ” เฉิงจินยื่นซองจดหมายให้เฉิงเจวี้ยน ชะงักไปสักพัก “หรือพวกเราจะลองไปหาโอวหยางเวยดู? เธอมีอำนาจใน129…”
การจะสืบหาอะไร ขอเพียงมีบันทึกข้อมูล ทุกคนก็จะนึกถึง129
“รออีกหน่อย” เฉิงเจวี้ยนคิดครู่หนึ่งก็ดับบุหรี่ เขาเปิดหน้าต่างระบายควันบุหรี่
เฉิงจินไม่ได้พูดอะไรมาก เขาถือซองจดหมายลงไปข้างล่าง
พบกับเฉิงมู่ที่ย้ายกระถางดอกไม้ไปที่ห้องฉินหร่านเรียบร้อยแล้ว
“ช่วงนี้นายได้ติดต่อกับโอวหยางเวยหรือเปล่า?” พูดถึง129กับโอวหยางเวยขึ้นมาพอดี เฉิงจินจึงลองถามเฉิงมู่
เฉิงมู่ส่ายหน้า “ช่วงนี้เธอไม่ได้ติดต่อกับฉันเลย”
เมื่อก่อนพอพูดถึงโอวหยางเวย เฉิงมู่ก็ตื่นเต้นเสียเต็มประดา ตอนนี้กลับไม่มีความรู้สึกแบบนี้แล้ว
“เธอจะสอบเป็นสมาชิกระดับกลาง” เฉิงจินเตือนเฉิงมู่ไปอีกประโยค
เฉิงมู่ผงะเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้า พูดอย่างว่างเปล่า “อ้อ”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินไปหยิบพลั่วอันเล็กๆ ที่ริมหน้าต่าง เช็ดจนสะอาดแล้วเก็บใส่ไว้ในกระเป๋า
เฉิงจินมองแผ่นหลังเขา “…”
**
ชั้นบน
ฉินหร่านเปิดคอมพิวเตอร์ ยังไม่ได้เปิดวิดีโอของซ่งลี่ว์ถิง
มีวิดีโอคอลสายหนึ่งเด้งขึ้นมา เป็นฉังหนิง
ฉินหร่านหยิบหูฟังรับสาย เธอวางหนังสือกับปากกาลง เงยหน้ามองฉังหนิง “มีอะไร?”
“ข้อสอบประเมินสมาชิกปีนี้ เธอจะคิดโจทย์ไหม?” ฉังหนิงที่อยู่ในสายวิดีโอคอลอีกด้านถือโทรศัพท์กำลังเดินลงมาข้างล่าง น้ำเสียงสบายๆ
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินหร่านก็กุมขมับ พูดอย่างปวดหัว “ไม่”
“ก็ได้” ฉังหนิงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ก็เป็นไปตามคาด การที่เชิญฉินหร่านมาออกข้อสอบของปีที่แล้วก็ถือว่าเกินความคาดหมายของเขาแล้ว “ยังมีอีกเรื่องนึง มีภารกิจใหม่จะรับไหม?”
“ไม่รับ” ฉินหร่านแทบจะไม่ฟัง มือขวากำลังถือปากกาเขียนอะไรบางอย่างอย่างเอื่อยเฉื่อย “ไม่มีอะไรจะวางแล้วนะ”
เธอตัดสายไปตรงๆ และเปิดวิดีโอของซ่งลี่ว์ถิงต่อ
**
เวลาครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมาฉินหร่านไม่ได้เข้าไปเรียนวิชาเอกวิศวกรรมนิวเคลียร์และไม่ได้เข้าห้องสมุดเลย เมื่อเทียบกับห้องสมุดแล้ว ห้องทดลองเงียบสงบเหมาะแก่การอ่านหนังสือมากกว่า
ห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์จะมีการประเมินในวันที่ 2 ถึงวันที่ 3 ธันวาคม เป็นเวลาสองวัน
วันที่ 2 เป็นวันสอบภาคทฤษฎีตลอดทั้งช่วงเช้า ซึ่งคะแนนสอบภาคทฤษฎีจะออกช่วงเย็น ผู้ที่ติดห้าสิบอันดับแรกจะได้เข้าร่วมทำการทดลอง
วันที่ 1 ธันวาคม วันศุกร์
ในที่สุดฉินซิวเฉินกับฉินหลิงก็กลับมาจากอัดรายการที่เมือง C
ตอนที่ฉินซิวเฉินโทรหาฉินหร่าน ฉินหร่านยังทำการทดลองสุดท้ายที่ห้องทดลอง
“พี่ ผมกับคุณอากลับมาแล้ว” ฉินหลิงเพิ่งลงจากเครื่อง หน้าซ่อนอยู่ในหมวกเสื้อแจ็คเก็ต ดูตัวเล็กมาก “ตอนเย็นไปทานข้าวด้วยกันเถอะ ผมกับคุณอามีของขวัญให้พี่ด้วยนะ”
ฉินหร่านวางเครื่องปฏิกรณ์ลงในภาชนะและสังเกตการเปลี่ยนแปลงของพลังงาน พูดด้วยเสียงไม่เร่งรีบ “ได้”
หลังจากวางสายฉินหลิง ฉินหร่านก็ทำการทดลองเสร็จ เปิดโทรศัพท์ดูเวลา
ห้าโมงเย็น
เธอส่งข้อความให้เฉิงเจวี้ยนโดยบอกว่าเวลาหนึ่งทุ่มไม่ต้องมารับเธอ
เธอเก็บของทั้งหมดใส่ลงไปในกล่องแล้วออกจากตึก
เธอเจอรถของฉินซิวเฉินอยู่ที่หน้าประตู
ฉินซิวเฉินยังคงสวมผ้าปิดจมูกและชุดแจ็คเก็ตทรงถังน้ำยืนอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ สวมหมวกหนาๆ ที่ทำให้คนหายใจไม่ออกและไม่เป็นจุดสนใจ
จริงๆ แล้วดูสะดุดตามาก
ฉินหร่านนั่งเบาะหลัง
ผู้จัดการทักทายเธอสุภาพมาก ไม่ได้ทำตัวสบายๆ เหมือนแรกเจอ
ผู้หญิงที่ทำให้เจียงตงเยี่ยรินชาให้…ผู้จัดการทำตัวตามสบายไม่ออก
ทว่าหลายวันมานี้ เขายังคิดถึงคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นของฉินหลิงที่ไม่ว่าจะเล่นเกมอะไรก็ไม่ค้าง แต่ไม่กล้าถามฉินหร่าน
ดังนั้นเขาจึงมองไปที่ฉินซิวเฉิน
ฉินซิวเฉินเหลือบมองเขา จากนั้นก็ถอดเสื้อแจ็คเก็ตทรงถังน้ำออกอย่างใจเย็น “หร่านหร่าน คอมพิวเตอร์ของเสี่ยวหลิง เธอซื้อมาจากที่ไหน? ผู้จัดการอาก็อยากได้มาเล่นเกม”
ฉินหร่านกำลังก้มหน้าเล่นเกมอยู่ เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้น “ไม่มีขายแล้ว”
คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเธอประกอบอะไหล่เอง
มีแค่เครื่องนี้เครื่องเดียว
ผู้จัดการผงะ
“แต่ว่า…” ฉินหร่านคิดดูสักพัก “ถ้าคุณจะเอาไว้เล่นเกม ยังมีโน๊ตบุ๊กอีกเครื่องหนึ่งที่ไม่เลวเลยทีเดียว ราคาสองพัน”
เธอรวบการ์ดศัตรูด้วยความว่องไวโดยที่ปลายนิ้วไม่ออกห่างไปจากหน้าจอ
จากท่าทางที่ฉินหร่านพูดก็น่าจะเป็นราคาคอมพิวเตอร์ ผู้จัดการจึงรีบโอนเงินให้ฉินซิวเฉินทันที เขาไม่มีวีแชทฉินหร่านจึงให้ฉินซิวเฉินโอนให้แทน
แต่ว่า คอมพิวเตอร์เครื่องละ 2000 หยวน…เป็นคอมพิวเตอร์มือสองหรือเปล่า?
ขณะที่ผู้จัดการคิดจะบอกว่าไม่เอาแล้ว ก็ได้แต่คิด ไม่กล้าพูดออกไป
เขากลัวซุปตาร์ฉินจะตีเขาตาย
พวกเขาไปทานข้าวที่ร้านอาหาร
ภายในร้าน ฉินฮั่นชิวกับพ่อบ้านฉินกำลังรออยู่ก่อนแล้ว
สำหรับพ่อบ้านฉิน ซุปตาร์ฉินเคยขอความเห็นฉินหร่านแล้ว เมื่อแน่ใจแล้วว่าฉินหร่านจะไม่โมโหที่พ่อบ้านฉินมาด้วย เขาจึงเชิญพ่อบ้านฉินกลับมา
“หร่านหร่าน เสี่ยวหลิง” เมื่อเห็นฉินหร่านกับฉินหลิง ฉินฮั่นชิวก็ตาเป็นประกายพร้อมกับลุกจากเก้าอี้
สายตาพ่อบ้านฉินมองมาที่ฉินหลิงก่อนเป็นอันดับแรก มือทั้งสองข้างที่ห้อยอยู่อดสั่นไม่ได้ หลังจากนั้นไม่นานก็มองมาทางฉินหร่าน ทักทายฉินหร่าน
ตระกูลฉินเป็นสิ่งที่พ่อบ้านฉินให้ความสำคัญมาก
ในที่สุดก็เห็นอนาคตตระกูลฉินแล้ว ดังนั้นพ่อบ้านฉินจึงมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ฉินหลิง
ฉินซิวเฉินสอบถามความเป็นอยู่ฉินหร่านในช่วงนี้ จากนั้นก็พูดถึงเรื่องรายการบางส่วน
ช่วงที่อัดรายการ ถ้าฉินหร่านไม่ได้กำลังทำการทดลอง ก็จะทำข้อสอบภาคทฤษฎี แม้แต่เฉิงเจวี้ยนยังมาช่วยเธอเตรียมข้อมูลอีกเป็นจำนวนมาก เธอจึงไม่มีเวลาคุยโทรศัพท์กับฉินหลิง
ฉินหลิงเองก็กำลังซึมซับความรู้ใหม่ๆ อย่างบ้าคลั่งตลอดทั้งเดือน ถ้าไม่เข้าใจก็ไปถาม “ครูลู่” ในวีแชท
พอพูดถึงรายการ ผู้จัดการก็เงยหน้าขึ้น
“จริงด้วย ทีเซอร์รายการออกมาแล้วนะ จะเริ่มออกอากาศวันเสาร์หน้า” บนโต๊ะอาหาร ผู้จัดการมองไปทางฉินหร่านพร้อมกับถามว่า “เธอมีเวยป๋อไหม? หรือเธอจะสมัครเวยป๋อสักแอคดี ฉันจะได้ให้กองถ่ายรายการแท็คเธอไปตอนที่ลงทีเซอร์รายการ พอถึงตอนนั้นเธอจะต้องมีแฟนคลับเพิ่มไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านแน่ๆ !”
ผู้จัดการอดตื่นเต้นไม่ได้เมื่อพูดถึงรายการ เขาสามารถจินตนาการได้ว่าพอรายการออกอากาศไป บนโลกออนไลน์จะต้องโหมกระแสกันอย่างบ้าคลั่งแน่นอน
เป็นไปได้ว่าแฟนคลับจะเพิ่มขึ้นหลังจากเหยียนซีกับซุปตาร์ฉินกดติดตามเธอ
“ไม่ต้อง” ฉินหร่านนั่งไขว่ห้าง พลันนึกถึงนามแฝงqrที่หลินซือหรานสมัครให้ เธอส่ายหน้า “ไม่อยากยุ่งกับวงการบันเทิง”
“โอเค” ผู้จัดการเหลือบมองฉินหร่านอย่างเสียดาย
พลางคิดว่าถ้าไม่ใช่เด็กเนิร์ดมหาวิทยาลัยเมืองหลวง เธอจะดังขนาดไหนถ้าไปอยู่ในวงการบันเทิง
ทั้งหมดทานข้าวเสร็จก็เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว
ด้านล่าง เมื่ออาเหวินกับอาไห่ได้ยินว่าฉินหลิงกลับมาแล้ว พวกเขาจึงอดตื่นเต้นไม่ได้ รอฉินหลิงกับฉินฮั่นชิวกลับบ้านจนแทบทนไม่ไหวอยู่ที่ชั้นล่างของร้านอาหาร จนกระทั่งทุกคนออกมากันแล้ว พวกเขาก็มาล้อมตัวฉินหลิง
เมื่อพ่อบ้านฉินเห็นอาไห่กับอาเหวิน ริมฝีปากก็อดสั่นไม่ได้ เขามองมาทางฉินซิวเฉิน “คุณชายหก คุณครูของคุณชายน้อย…”
สิ่งที่เขาจะพูดก็คือเรื่องครูคนต่อไปของฉินหลิง ครูคนนั้นที่สอนฉินหลิงที่เมือง C ได้ออกไปก่อนหน้านี้แล้ว เขาบอกเองว่าตัวเองไม่มีอะไรจะสอนฉินหลิงแล้ว
พอพูดมาได้ครึ่งทาง พ่อบ้านฉินก็นึกถึงฉินหร่านกับฉินฮั่นชิว เขาจึงยั้งปากไว้
เรื่องแบบนี้ไม่ควรแพร่งพรายออกไป ถ้าคุณชายสี่ตระกูลฉินรู้เข้า…
“ไปส่งหร่านหร่านก่อน” ฉินซิวเฉินบอก
พ่อบ้านฉินกับพวกอาเหวินต่างก็ใจร้อนอยากจะเห็นว่าฉินหลิงมีพรสวรรค์สูงมากเพียงใด พวกเขาจึงไม่คัดค้านการตัดสินใจของฉินซิวเฉิน รีบเดินกันทันที
ฉินหร่านให้พวกเขาจอดรถที่หน้าที่พักถิงหลาน
ฉินซิวเฉินและพวกพ่อบ้านฉินลงจากรถไปส่งเธอเข้าประตูที่พัก
นิ้วเธอรวบเสื้อกันลมหนาๆ และโบกมือให้ฉินหลิงกับฉินซิวเฉิน
ทันใดนั้นฉินฮั่นชิวก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เขามองไปยังแผ่นหลังฉินหร่าน “หร่านหร่าน พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ เสี่ยวหลิงก็อยู่บ้าน ลูกกับเสี่ยวเฉิงกลับมาทานข้าวที่บ้านด้วยกันดีไหม?”
ฉินหร่านติดกระดุมหมวกเสื้อกันลม
สองมือสอดกระเป๋า คิ้วและดวงตาสดใส เงยหน้าพูดอย่างเฉยชาเล็กน้อย “ไม่ล่ะ พรุ่งนี้มีสอบ”
แม้ฉินหร่านจะพูดมาแบบนี้ ฉินฮั่นชิวก็ไม่ได้รู้สึกหดหู่แต่อย่างใด
การที่ฉินหร่านคุยกับเขาอย่างตอนนี้ก็ถือว่าเกินความคาดหมายแล้ว ฉินฮั่นชิวรำพัน “พรุ่งนี้วันเสาร์ยังมีสอบอีกเหรอ? ไหนบอกว่าเข้ามหาวิทยาลัยจะสบายไง? ยุ่งยิ่งกว่ามัธยมอีก”
พ่อบ้านฉินยืนอยู่ข้างๆ คนอื่นๆ เมื่อได้ยินฉินหร่านบอกว่ามีสอบวันเสาร์ เขาก็แปลกใจเล็กน้อย มหาวิทยาลัยเมืองหลวงมีสอบวันเสาร์ด้วยเหรอ?
แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะไม่นานมานี้ฉินหลิงได้เข้าครอบงำจิตใจเขาแล้ว เขาเร่งฉินหลิงและคนอื่นๆ กลับบ้านประจำตระกูลฉิน ได้แต่รอฉินหลิงกลับไปอย่างใจจดใจจ่อ พ่อบ้านฉินทิ้งเรื่องที่ฉินหร่านจะสอบวันเสาร์ไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับการสอบของฉินหร่านนั้น ตอนนี้ไม่ได้สำคัญไปกว่าฉินหลิง